เคยประสบพบเจอความกลัวกันใช่มั้ยคะ แต่ละช่วงอายุแต่ละประสบการณ์ของแต่ละคน ความกลัวอาจจะแตกต่างกันออกไป บางคนกลัวเข็ม บางคนกลัวสัตว์เลื้อยคลาน บางคนกลัวแมลงสาบ และบางคนกลัวฝรั่ง (ฝรั่งที่เป็นผลไม้ นะคะไม่ใช่ชาวต่างชาติ) แต่นั้นมันก็ขึ้นอยู่กับเหตุผลและประสบการณ์ของคนที่กลัวสิ่งเหล่านั้น
เมื่อเวลาผ่านพ้นไปจากวัยเด็กสู่วัยผู้ใหญ่ บางคนอาจจะชนะความกลัวเหล่านั้น ได้บ้างไม่ได้บ้างเราเองก็เช่นกัน เมื่อตอนเป็นเด็ก มีความกลัวหลาย ๆ อย่างมากมาย แต่เมื่อต้องเจอกับมันบ่อยครั้งเข้า มันก็จะกลายเป็นความชินชาไป
มีคนว่ากันว่า ถ้าอยากหายกลัวจากเรื่องใด ๆ ก็ตามเราต้องกล้าที่จะเผชิญหน้ากับมัน อาจจะฟังดูตลก ๆ ก็กลัวนะเว้ยจะไปกล้าได้ยังไงล่ะ ใช่ค่ะ ก็ในเมื่อกลัวอยู่ แล้วมันจะไปเอาความกล้ามาจากไหนส่วนใหญ่ ความกล้าที่มาตอนที่ต้องเผชิญกับความกลัวมันอาจจะเป็นความกลัวที่ยิ่งกว่า ผลักดันให้เรากล้าในสิ่งที่กลัวที่ต้องเผชิญอยู่ตรงหน้าก็เป็นได้
เรามีโรคไทรอยด์เป็นโรคประจำตัวตั้งแต่อายุได้ 7 ขวบจากเด็กอวบ ๆ อ้วน ๆ ที่น่ารัก กลายมาเป็นเด็กผอมแห้ง หนังติดกระดูก แต่กินเก่งชิบหายเดี๋ยวหิว ๆ จน ป้า ๆ บอกว่ามันต้องมีพยาธิแน่ ๆ เลย ให้กินยาถ่ายพยาธิตลอดไม่อร่อยเลย ขอบอก จืด ๆ แล้วก็ต้องเคี้ยว แต่กระนั้นเลย อาการหิวบ่อยก็ยังคงมีอยู่ต่อไป แล้วทวีคูณกับอาการใจสั่น มือสั่น แม่เราก็ว่ามันไม่ใช่ละ พยาธิคงไม่ได้อาการรุนแรงขนานนี้ เลยพาไปหาหมอที่โรงพยาบาล กลายเป็นเคสศึกษาของคุณหมอเด็กโรงพยาบาลนั้นไปเลยเพราะว่าไม่เคยเจอเด็กอายุ 7 ขวบเป็นโรคนี้มาก่อนสมัยเมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้ว
สรุปคือเราต้องไปหาหมอทุก 1-3 เดือน เพื่อไปติดตามอาการด้วยการเจาะเลือดหาค่าฮอร์โมน เด็กอายุ 7 ขวบตอนนั้นร่าเริงมาก เพราะเวลาไปหาหมอต้องไปวันธรรมดาช่วงบ่าย และนั่นคือการได้ออกจากโรงเรียนก่อนเพื่อน ๆ ขี้เกียจเรียนไง ทุกวันพฤหัสบดีที่จะต้องไปหาหมอ ชีวิตเราจะดีดมาก ๆ เพราะว่าไม่ต้องอยู่เรียนช่วงบ่าย เดี๋ยวแม่ก็มารับ
แต่พอไปถึงโรงพยาบาลความกลัวของเด็กอายุ 7 ขวบมันเริ่มตรงที่ หมอสั่งให้ไปเจาะเลือด เฮ้ย...ขนาดฉีดวัคซีนที่โรงเรียนน้ำตายังซึมเลยอะ ยังจำอารมณ์ตอนนั้นได้อยู่เลย ต่อแถวถกแขนเสื้อเปิดไหล่ แอลกอฮอล์เย็น ๆ กระทบผิวแล้วเข็มก็ทิ่มแทงเข้ามาที่ไหล่ข้างขวา อารมณ์ตอนที่รอต่อแถว โคตรตื่นเต้นเลย มือเหงื่อออก ใจเต้นรัว แล้วนี่คือไร จะต้องเอาเข็ม มาดูดเลือดเราออกจากแขนเราร้องไห้ไม่หยุด แค่จะก้าวเข้าห้องเจาะเลือดยังไม่กล้าเลย แม่ต้องคอยดันหลังให้เข้าไป เรานั่งรอพร้อมแม่อยู่ที่เก้าอี้ในห้องเจาะเลือดสีเงิน ๆ กลม ๆ มองดูคนไข้ที่กำลังเจาะเลือดอยู่ตรงหน้า ความรู้สึกไม่ต่างจากการรอฉีดยาที่โรงเรียน แต่ที่ต่างออกไปคือเราเจ็บอยู่คนเดียว ไม่มีเพื่อน ๆ เจ็บด้วยกันต่อแถวรอด้วย
นางพยาบาลเรียกคนไข้รายต่อไปซึ่งก็คือเราเอง แม่บอกว่าเจาะเลือดอยู่ตรงนี้ได้ไหม เดี๋ยวแม่ต้องไปทำธุระเรื่องยา มันแน่นอนค่ะว่าคำตอบตอนนั้นก็เราคือ “ไม่ได้” แม่ต้องอยู่ด้วยแล้วน้ำตาก็เริ่มไหลปริ่มออกมาอีกรอบ ตอนนั้นจำได้เลยว่า พยาบาลจับแขนเรายื่นออกไปวางบนหมอนใบเล็กเพื่อรัดสายยางเราทำได้อย่างเดียวคือเอาแขนอีกข้างกอดเอวแม่ไว้อย่างแน่นแล้วก็เอาหน้าซุกไว้ไม่อยากมองแล้วความรู้สึกเย็น ๆ ของแอลกอฮอล์ก็มากระทบที่ข้อพับแขนข้างขวา แขนข้างซ้ายเรายิ่งกระชับแน่น เอวแม่อีก เสียงโฮร้องไห้ด้วยความกลัวดังลั่นห้องเจาะเลือด พยาบาลบอกแค่อย่างเดียวว่า แป็ปเดียวเนอะ เหมือนมดกัด บอกได้เลยว่าตอนนั้นมันไม่ได้เหมือนกับมดกัดเลยซักนิดเดียวและแล้วความเจ็บก็เข้ามาขณะที่นางพยาบาลจรดเข็มแทงเข้าที่ข้อพับของเราเสียงร้องดังกว่าตอนที่แอลกอฮอล์ โดนแขนอีก
เหตุการณ์แบบนี้ เจอซ้ำ ๆ ทุกสามเดือน ช่วงปีแรกที่มาหาหมอแล้วต้องเจาะเลือด เราให้แม่เข้าห้องด้วยตลอด มีอยู่ครั้งหนึ่งเนื่องจากเรามาหาหมอทุกวันพฤหัส ซึ่งเป็นวันที่โรงเรียนเราให้แต่งชุดลูกเสือเนตรนารี ตอนนั้นเป็นลูกเสือสำรอง ใส่ผ้าพันคอ เข้าห้องเจาะเลือดพยาบาลบอกว่าเอ้าเป็นลูกเสือ เค้าต้องอดทนไม่ร้องไห้นะ เราแอบเถียงอยู่ในใจ มันเจ็บนะคะพี่ ถึงห้ามยังไงมันก็ร้องออกมาเองอยู่ดี พอเข้าปีที่สองแม่คงคิดว่าเราคุ้นชินกับพยาบาลในห้องเจาะเลือดแล้ว เลยให้เราเข้าไปเจาะเลือดเองคนเดียวเพราะว่าแม่ต้องไปจัดการเรื่องยา และใบนัดต่อให้เราด้วยความที่เป็นคนขี้เบื่อของเราด้วย ความกลัวก็ทำให้เราเบื่อเหมือนกัน พอถึงคิวที่ต้องไปเจาะเลือด พยาบาลทักเรา ว่ายังไงลูกเสือวันนี้เข้ามาคนเดียวเหรอเราก็ตอบไปว่า ค่ะ แล้วยื่นแขนขวาออกไปตามหน้าที่ ความรู้สึกวันนั้นคือ ความเบื่อกับความชินชา บวกกับความอยากรู้อยากเห็นมันมารวมตัวกัน อย่างไม่ตั้งใจทำให้เราอยากรู้ว่า ขั้นตอนที่พยาบาลเจาะเลือดเรานั้นเค้าทำกันยังไง เพราะว่าปกติเราไม่กล้ามองเลย วันนี้แหละ เราจะดูมัน!
พยาบาลทำหน้างงว่าทำไมวันนี้นั่งมองตาแป่ว แซวว่าไม่กลัวแล้วเหรอ เราพยักหน้า นึกอยู่ในใจ จัดมาเลยค่ะพี่อยากรู้อยากเห็น เราเห็นทุกขั้นตอน ที่พยาบาลทำกับแขนของเรา ตั้งแต่รัดสายยาง จับหาเส้น เช็ดแอลกอฮอล์ ฉีกเข็มออกจากซอง แล้วบรรจงเสียบเข็มเข้าไปที่แขนของเราเลือดของเราวิ่งไหลเข้ามาในสลิงค์ตามแรงดึงของหลอดจนได้ปริมาณตามที่กำหนดไว้ พยาบาลเอาสำลีมากดปากแผล แล้วค่อย ๆ ดึงเข็มออกจากแขนของเรา เอาสก๊อตเทปมาแปะทับสำลีแล้วจับแขนเราพับเข้าหาตัว “เสร็จแล้ว วันนี้สลูกเสือเข้มแข็งจังเลย ไม่ร้องไห้” จิตใจเราอิ่มแอมกับคำชมของพยาบาลเดินออกจากห้องเจาะเลือดไป แม่เรานี่งงไปเลย ลูกชั้นไม่ร้องแล้วเหรอ
มันอาจเป็นความชินชา ที่เราต้องเจอเหตุการณ์บ่อย ๆ เราอาจจะกลัวว่าเราจะไม่หาย เราอาจจะเบื่อว่า ก็รีบ ๆ ทำให้เสร็จกลัวไปยังไงก็โดนอยู่ดี อะไรหลาย ๆ อย่าง ณ วันนั้นทำให้เราหายกลัวจากการเจาะเลือดไปตลอดกาลจนกระทั่งตอนนี้ เราเปลี่ยนโรงพยาบาล เรายังคงต้องเจาะเลือดเหมือนเดิมแต่ด้วยความที่เรามีประสบการณ์เจาะเลือดมาตั้งแต่เด็ก ทำให้เราไม่เคยกลัวมันอีกเลย
ความกลัว มันจะคงอยู่กลับเราตลอดไป ถ้าเราไม่เผชิญกับมัน เราค้นพบว่าความกลัวมันมีอายุสั้นหรือยาวขึ้นอยู่กับตัวเรา มันอายุสั้นแค่ 5 นาทีในตอนที่เราเริ่มเผชิญกับมัน หลังจากนั้นมันจะหายไปเมื่อเราได้เผชิญกับมันแล้ว แต่มันจะเป็นนิรันดร์ก็ต่อเมื่อเราไม่เผชิญกับมันแล้วยังคงหลีกหนีมันอยู่เรื่อยไป
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in