เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Novelber 2017fdfeefa
Day 26 ข่าวลือ
  • Day 26 ข่าวลือ


                   “ทอมคุณเงียบแบบนี้ผมใจไม่ดีเลย”

     

                   หลังที่เขาได้ฟังเรื่องทั้งหมดจากปากของแฟรงค์ตั้งแต่วันแรกที่สองคนเขาเจอกันจนมาถึงวันก่อนที่แฟรงค์จะมาหาเขาที่เมืองนี้เขาก็ไม่คิดว่าเขาจะสามารถคิดถึงคำพูดที่ใช้แทนความรู้สึกของเขากับเรื่องราวนี้ได้

     

                   “ผมไม่รู้ว่าจะพูดว่าอะไร”

     

    จากแค่นั่งเฉยอยู่ในอ้อมกอดและฟังเรื่องราวตอนนี้เขากลับเอาหัวที่หนักอึ้งของเขาถูไปตามหัวไหล่ของแฟรงค์แฟรงค์คงรู้ถึงความหนักใจของเขาแฟรงค์จึงเพิ่มแรงที่โอบกอดเขาเอาไว้ให้แน่นขึ้นพร้อมกับเอาปลายคางมาถูลงด้านบนของศรีษะของเขาไปตามแรงโยกของเขา

     

                   “ไม่เป็นไรทอมไม่เป็นไร แค่วันนี้คุณยอมฟังผม ผมก็ดีใจมากแล้ว”

     

                   เขากับแฟรงค์นั่งกันอยู่ที่ระเบียงของห้องตั้งแต่เช้าจนเวลาเริ่มเข้าเป็นของช่วงบ่ายของวันโดยปล่อยให้ความคิดที่ยังไม่ถูกจัดให้เป็นระเบียบปลิวไปตามแรงของลมเขาทั้งสองคนนั่งกันอยู่ตรงนี้จนมีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นบอกว่าอาหารกลางวันสำหรับพ่อมาส่งทางด้านล่างของตึกแล้วแฟรงค์ถึงได้ยอมละอ้อมกอดและอาสาลุกไปทำอะไรง่ายๆเป็นมื้อกลางวันสำหรับเขาทั้งสองคนในขณะที่เขาหลังจากลงไปเอาข้าวทางด้านล่างของตึกก็ตรงไปที่ห้องแล้วหวังว่าจะปลุกให้พ่อขึ้นมาทานข้าว

     

                   “พ่อครับ...อ้าวผมก็นึกว่าพ่อนอนอยู่”

     

                   “นอนไปแล้วเพิ่งตื่นมานั่งอ่านหนังสือไม่นานเอง”

     

                   “งั้นออกไปทานข้าวกลางวันกันเถอะครับพ่อข้าวมาแล้ว”

     

                   พ่อของเขาปิดหนังสือที่กำลังนั่งอ่านอยู่ที่หัวเตียงลงแล้วตบมือลงบนเตียงที่ข้างๆเป็นสัญญาณบอกให้เขาเดินเข้าไปหา พ่อจะทำแบบนี้ทุกครั้งถ้ามีเรื่องที่ต้องการที่จะคุยกับเขาเขาเคยถามว่าทำไมพ่อไม่เรียกชื่อแล้วสั่งให้เขานั่งละมันออกจะง่ายกว่าและพ่อใครๆก็ทำกันตอนนั้นพ่ออธิบายกับเขาว่าสำหรับพ่อการเรียกชื่อเพื่อให้เข้ามาคุยโดยเฉพาะมันอาจจะทำให้เขาเกิดความกังวลและพอเขามีความกังวลเขาก็มักจะไม่ยอมในสิ่งที่คิดซึ่งมันเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยได้สังเกตุตัวเองมาก่อนเลยแม้มันจะเป็นเรื่องของเขาเอง

     

                   “เป็นยังไงบ้างลูกได้คุยเรื่องของเรากับแฟรงค์เขาแล้วรึยัง?”

     

                   “พ่อได้ยินเหรอครับ?”

     

                   “เปล่าพ่อไม่ได้ได้ยินที่ลูกสองคนคุยกันแต่พ่อรู้เรื่องที่แฟรงค์จะมาพูดกับลูก”

     

                   “แฟรงค์เขาบอกพ่อหมดแล้ว”

     

                   เสียงที่เขาใช้เปล่งประโยคนี้มันชั่งเบาจนเหมือนว่าเขาต้องการที่จะพูดกับตัวเองมากกว่าที่จะพูดกับคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับเขา 

     

                   “พ่อครับแฟรงค์บอกว่าเขาจะช่วยคุณลิสเลี้ยงลูกถ้าเกิดผมยินยอมแบบนี้ถ้าผมไม่ยินยอมเพราะผมกลัวว่าเขาสองคนจะมีเหตุการ์แบบนั้นเกิดขึ้นอีกก็เท่ากับว่าผมเป็นต้นเหตุที่ทำให้เด็กคนนั้นมีครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์ใช่ไหมครับพ่อ?”

     

                   “...”

     

                   “วันนั้นแฟรงค์เขาเล่าอะไรให้พ่อฟังบ้างครับ?แล้วพ่อ...เชื่อเขาไหม?”

     

                   “รู้ไหมสำหรับพ่อแล้วอะไรที่น่ากลัวที่สุดสำหรับการใช้ชีวิต?”พ่อยกมือขึ้นมาลูบหัวของเขาก่อนที่จะเอ่ยคำถามที่เขาไม่รู้ถึงที่มาของคำถามนั้นเลยด้วยซ้ำเขาจึงใช้เวลาคิดก่อนที่จะตอบคำถามของพ่อ

     

                   “พ่อหมายถึงชีวิตคู่เหรอครับ?”

     

                   “พ่อหมายถึงเรื่องทั่วๆไปนะ”

     

                   “อื้มม....”

     

                   นั้นสินะสำหรับพ่อแล้วอะไรคือสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในการใช้ชีวิต?การไม่มีเงินเหรอ? ก็ไม่น่าใช่ การที่อยู่โดยไร้ญาติขาดมิตร?มันก็ไม่ใช่อีกนั้นแหละ แล้วนั้นสิมันคืออะไรเมื่อพ่อเห็นว่าเขาเงียบไปนานพ่อจึงเป็นคนเฉลยคำตอบขึ้นมาเอง

     

                   “สำหรับพ่อคือเรื่องการไม่คุยกันต่อหน้ารู้ไหมว่าทำไม?”

     

                   “...”เขาส่ายหน้าเป็นคำตอบให้กับพ่อว่าเขาไม่แน่ใจว่าเขากำลังเข้าใจในสิ่งที่พ่อกำลังจะสื่อและที่สำคัญมันเกี่ยวกับเรื่องของเขาอย่างไร

     

                   “การไม่คุยกันมันไม่ได้ช่วยให้ความอยากรู้ของเราน้อยลงนิจริงไหมลูก?”

     

    “...”

     

    “งั้นก็หมายความว่าเราก็ต้องไปตามหาสิ่งที่เราอยากรู้จากที่อื่นในกรณีของลูกตอนนี้ลูกกำลังมาหาข้อมูลเพิ่มเติมจากพ่อว่าพ่อรู้ไหมว่าแฟรงค์เขาคิดยังไงแล้วถ้าเกิดคนนั้นไม่ใช่พ่อละลูกจะเชื่อที่คนอื่นพูดทั้งหมดเลยเหรอ?ถ้าเขาบอกว่าแฟรงค์คิดแบบนี้บอกเขาแบบนี้ลูกก็จะเชื่อคนอื่นคนนั้นเหรอ?”

     

                   “...”

     

                   “การที่ลูกฟังคนอื่นมันต่างอะไรที่ลูกไปฟังเอา‘ข่าวลือ’ ที่คนอื่นเขาแค่ได้ยินมาแถมบางทีข่าวลือนั้นอาจมีการแต่งเติมเสริมแต่งความเห็นของเขาลงไปด้วย”

     

                   “ผมก็แค่...ไม่สามารถฟังเขาได้คนเดียวผมกลัวเขาโกหก ผมกลัวเขาปิดบังเหมือนที่ผ่านมา ถ้าเป็นแบบนั้นการฟังเขาแค่เพียงคนเดียวก็เท่ากับว่าผมกำลังปิดตาของตัวเองผมกลัวว่าผมจะโง่และตัดสินใจพลาดครับ”

     

                   “ฟังพ่อนะทอมเรื่องแบบนี้ไม่มีใครสามารถเข้าใจและรู้เรื่องราวทั้งหมดไปได้ดีไปกว่าคนที่ได้อยู่ในเรื่องราวอย่างเรื่องนี้ก็มีเพียงแค่ลูกแฟรงค์และคุณลิสเพราะฉะนั้นถ้าลูกอยากรู้ความจริงไม่อยากตัดสินใจผิดพลาดลูกก็ต้องทำใจให้เป็นกลางลองเปิดใจรับฟังเรื่องจากเขาทั้งสองคนและลองเอามาคิดกันว่าควรทำอย่างไรต่อไป”

     

                   “...”

     

                   “แล้วถ้าถึงเวลานั้นเวลาที่ลูกได้ฟังความจริงจากปากของทุกคนโดยที่ไม่ผ่านการแต่งเติมมาจากใครคนอื่นแล้วลูกยังคิดไม่ออกว่าจะทำอย่างไรต่อไปวันนั้นพ่อสัญญาว่าพ่อจะเป็นคนที่อยู่ข้างๆ ลูกช่วยลูกคิดเอง”

     

                   “ขอบคุณครับพ่อ”

     

                   “ไปกินข้าวกันเถอะป่านนี้ข้าวเย็นหมดแล้วมั้ง”

     

                   หมับก่อนที่เขาจะปล่อยพ่อไปทานมื้อกลางวันเขาก็คว้าตัวของพ่อมากอดเอาไว้ ทันทีที่เขาได้ความอบอุ่นจากพ่อเขาก็คิดได้ว่ามันนานมากแค่ไหนแล้วนะที่เขาไม่ได้กอดพ่อแบบนี้โชคดีของเขาจังที่เขามีใครสักคนเข้าใจและคอยให้คำแนะนำเขาซึบซับเอาความอบอุ่นนี้เอาไว้ก่อนที่จะออกไปประเชิญกับความเป็นจริงต่อ

     

                   หลังจากมื้อกลางวันผ่านพ้นไปพ่อก็เอ่ยปากขอตัวออกไปเดินเล่นแถวที่พักคนเดียวโดยให้ข้ออ้างว่าถ้าพวกเขาไปด้วยพ่อจะไม่กล้าเดินตามใจตัวเองและต้องคอยมาพะวงพวกเขาที่ต้องมาเดินตามมีแต่แฟรงค์ที่คอยตื้อพ่อว่าอยากจะไปด้วยเพราะเป็นห่วงถ้าพ่อต้องเดินคนเดียวกลัวว่าจะหลง

     

                   “ทอมคุณเราตามพ่อไปกันเถอะ”

     

                   “ไม่เป็นไรหรอกให้พ่อไปคนเดียวเถอะ”

     

                   แต่เพราะผมรู้ว่าพ่อต้องการเปิดทางให้ผมได้พูดคุยและเคลียร์เรื่องตรงนี้ให้จบผมเลยไม่ได้ขวางพ่อเอาไว้ได้แต่ส่งมือถือของตัวเองที่เช้คดูแล้วว่ามีแบตเหลือมากกว่าครึ่งให้พ่อพร้อมกับกดเบอร์ของหอพักเอาไว้เป็นเบอร์แรก

     

                   “เดินเข้าไปในซอย5 นาที มีร้านกาแฟอร่อยมาก ขอบคุณครับพ่อ”พ่อหัวเราะเสียงดังใส่ผมก่อนที่จะเดินออกไป

     

                   “แฟรงค์...คุณให้ผมคุยกับคุณลิสได้ไหม?”

     

                   “ได้สิได้คุณสามารถโทรตรงจากเครื่องของคุณได้เลย”

     

                   แค่เพียงพ่อกันหลังออกไปจากประตูห้องพักเขาก็ไม่รอช้าหยิบโทรศัพท์ของแฟรงค์ขึ้นมากดโทรตรงไปที่เบอร์ของคุณลิสพร้อมกับเดินออกมาที่ระเบียงโดยที่ไม่ให้แฟรงค์ออกมาด้วยเพียงเสียงเรียกเข้าดังขึ้นไม่กี่ครั้งคุณลิสก็กดรับสายของเขา

     

                   “สวัสดีแฟรงค์คุณมีอะไร?”

     

                   “สวัสดีครับผมทอมนะครับผมมีเรื่องอยากคุยกับคุณ...”

     

    “...”

     

    “เรื่องของคุณกับแฟรงค์และลูกของคุณทั้ง2 คนไม่ทราบว่าคุณสะดวกคุยไหมครับ?”

     

                   “ได้ค่ะ”

     

                   เรื่องเล่าที่ออกมาจากปากของคุณลิสไม่มีส่วนไหนที่แตกต่งางจากเนื้อเรื่องที่ออกมาจากคำบอกเล่าของแฟรงค์เลยสักนิดเขาใช้เวลาพูดคุยเพียงไม่นานเขาก็วางสายจากเธอ สายตาที่แฟรงค์มองมาที่เขาจากในห้องเป็นสายตาของคนรอคอยคำตอบแต่ไม่ใช่สายตาของคนที่เป็นกังวลถ้าให้พูดกันตามจริงแล้วหลังจากวันนั้นที่เขาจับได้ว่าแฟรงค์กำลังโกหกเขาหลังจากวันนั้นเขาก็ไม่เคยเห็นสายตาแบบนั้นของแฟรงค์อีกเลยสายตาของคนกลัวและกังวลว่าจะมีใครรู้ความลับของตัวเอง

     

    และด้วยสายตาอันนี้วันนี้ของแฟรงค์นี่เองที่ทำให้เขามั่นใจได้ว่าแฟรงค์ไม่ได้ปิดบังอะไรเขาอีกแล้วคราวนี้ก็เหลือแค่เขาแล้วละว่าจะสามารถให้อภัยกับคนรักของเขาที่ทำพลาดไปได้รึไม่

     

                   ‘คุณเดฟ’

     

    ม่านตาของเขาขยายพิ่มขึ้นเมื่อภาพในสายตาของเขาในตอนนี้ที่เก้าอี้โซฟาตัวนั้นไม่ได้มีเพียงแค่แฟรงค์อยู่เพียงคนเดียวแต่ยังมีใครอีกคนที่ยืนอยู่ทางด้านหลังของแฟรงค์และกำลังมองตรงมาที่เขาภาพนั้นที่เขาเห็นทำให้เขารีบวิ่งกลับเข้าไปทางด้านในห้องเพราะเขากลัวเหลือเกินว่าคุณเดฟจะทำร้ายแฟรงค์เหมือนที่ผ่านมาแต่เขาก็ต้องชักมือออกจากที่จับบานเลื่อนของประตูระเบียงเพราะมันหนาวจัดเหมือนเขากำลังสัมผัสไปที่ก้อนน้ำแข็ง

     

    แต่เมื่อเขาได้มองเข้าไปทางด้านในอีกทีเขาก็รู้สึกได้ว่าวันนี้มันไม่เหมือนกับวันอื่นๆบรรยากาศที่อยู่รอบตัวของคุณเดฟนั้นมันไม่ได้เป็นบรรยากาศของการจ้องจะทำร้ายกันอย่างที่ผ่านมาแต่มันเป็นบรรยากาศของความยินดี

                  

                   “คุณโอเคไหมทอม?”

     

                   แฟรงค์คงเห็นเขายืนอยู่จังกาอยู่ที่หน้าประตูแต่ไม่ยอมเปิดเข้ามาเสียทีถึงได้เดินมาเปิดประตูและดึงตัวเขาเข้ามาทางด้านในเขากำลังจะเอ่ยปากบอกกับแฟรงค์ว่าเขาเห็นคุณเดฟอยู่ตรงนั้นแต่ทันทีที่เขาเข้ามาด้านในของตัวห้องคุณเดฟก็หายไปจากตรงนี้แล้ว

     

                   “ไม่มีอะไร...ผมโอเค”

     

                   “แล้วทอมคุณ...”

     

                   “เอาเป็นว่าตอนนี้ผมเชื่อในสิ่งที่คุณพูดแฟรงค์ผมเชื่อคุณ”

     

                   “ขอบคุณครับขอบคุณ”

     

                   แฟรงค์ดึงตัวเขาเข้าไปกอดเอาไว้แน่นด้วยความดีใจน้ำตาที่ไหลออกมาจากความโล่งอกของแฟรงค์กำลังเปียกชื้นไปเต็มพื้นที่ที่หัวไหล่ของเขาแต่เขาก็ไม่คิดที่จะเช็ดมันออกหรือผลักตัวของแฟรงค์ออกไปเขาปล่อยให้แฟรงค์ได้ระบายความอึดอัดความกังวลลงที่ไหล่ของเขา

     

                   “แต่ผม...ยังไม่ได้แน่ใจ100 เปอร์เซ็นต์เรื่องว่าผมจะกลับไปเป็นเหมือนเดิม”

     

                   “ทอม คุณหมายความว่าคุณจะเลิก..?”แรงกอดมันถูกรัดแน่นขึ้นจนเขาเกือบหายใจไม่ออกแต่เขาก็ไม่ได้พยายามที่จะแกะหรือบอกให้แฟรงค์ผ่อนแรงกอดลง

     

                   “ผมไม่ได้พูดว่าจะเลิกแฟรงค์”เขาเอามือข้างนึงที่กำลังกอดตอบยกขึ้นลูบหัวของแฟรงค์เพื่อให้แฟรงค์ใจเย็นลง

     

    “แต่การให้ผมลืมไปทุกอย่างแล้วกลับมาเป็นเหมือนเดิมโดยทำเหมือนว่าที่ผ่านมาไม่มีอะไรเกิดขึ้นแบบนั้นผมไม่รู้ว่าผมจะทำได้ดีแค่ไหนอีกอย่างคุณต้องเลี้ยงดูลูก”

     

    “...”

     

    “แฟรงค์คุณต้องให้เวลาผม ผมอาจจะไม่สามารถลืมเรื่องที่เกิดขึ้นในภายในวันนี้อาทิตย์นี้ แต่ผมจะพยายาม...คุณละคุณจะพยายามอดทน จะรอจนกว่าผมจะกลับมาเป็นทอมคนเดิมของคุณได้ไหม?”

     

    “ได้สิได้ ได้สิที่รักผมรอได้แค่เพียงคุณบอกว่าคุณยอมให้โอกาสผมผมยอมได้หมด”

     

    “อีกเรื่อง...เรื่องลูก...ผมโอเคนะและผมก็ยินดีที่คุณจะช่วยกันกับลิสเลี้ยงดูผมไม่มีปัญหาขอแค่เพียงคุณรับปากว่าคุณจะไม่...ทำแบบนั้นกับผมอีก”

     

    “ผมรับปาก ผมรับปาก ผมจะไม่ทำแบบนั้นอีก ผมจะไม่มีวันทำพลาดแบบนั้นเป็นครั้งที่สองแล้วทอมที่รักมันจะไม่มีวันนั้น”

     

    ในขณะที่เขายังอยู่ในอ้อมกอดของแฟรงค์สายตาของเขาก็หันไปเจอกับสายตาของพ่อที่กำลังยืนดูเหตุการณ์อยู่ที่หน้าประตูห้องเขาขยับปากเป็นคำว่า ‘ขอบคุณครับ’แบบไม่มีเสียงส่งออกไปให้กับพ่อ พ่อพยักหน้ารับรู้ก่อนที่ชูแก้วกาแฟอีก 2แก้วขึ้นโชว์ให้เขาดู

     

    “แฟรงค์ พ่อกลับมาแล้วแนะ”

     

    แฟรงค์ยอมปล่อยอ้อมกอดจากเขาเดินไปล้างหน้าล้างตาแล้วก็เดินกลับมาร่วมวงบทสนทนาที่พ่อกำลังเล่าเกี่ยวกับการเดินเล่นให้ฟังระหว่างนั้นเขายังพูดขอบคุณพ่ออีกครั้ง แต่ไม่ได้ขอบคุณกาแฟที่ได้ฝากมากจากร้านนั้นแต่เขาขอบคุณที่พ่อพลักดันให้พูดคุยกับความจริงแทนที่จะไปพึ่งการตัดสินใจจากข่าวลือ

     

     

     

    B
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in