“งั้นเรากลับบ้านกันเถอะครับอุบ แฟรงค์ คุณ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆ”
ตั้งแต่ตอนที่แฟรงค์ก้าวเดินออกมาจากห้องน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมตัวจะกลับที่พักของเขาเขาก็พยายามอย่างมากที่จะกลั้นเสียงหัวเราะของตัวเองเอาไว้เพราะเขาไม่อยากให้แฟรงค์เดินออกจากห้องนี้โดยที่ไม่มีความมั่นใจแต่แล้วความพยายามนั้นของเขาก็ต้องสิ้นสุดลงทันทีเมื่อแฟรงค์พยายามจะเอื้อมมือไปช่วยพ่อของเขาหิ้วเป้แล้วต้องค้างแขนเอาไว้กลางอากาศไปไม่ถึงเป้ใบนั้นเพราะติดกับความตึงของเสื้อตรงช่วงหัวไหล่ภาพนั้นทำให้เสียงหัวเราะที่เขาพยายามเก็บเอาไว้มันหลุดออกมาด้วยเสียงที่ดัง
“คุณหัวเราะอะไรทอม?”
เขาเกือบจะรีบเอ่ยปากขอโทษตอนที่เห็นว่าคิ้วของแฟรงค์ขมวดติดกันจนจะเป็นรูปโบแต่พอเขาเห็นริ้วสีแดงที่ขึ้นสีตรงแก้มของแฟรงค์เขาก็เลยไม่ยอมขอโทษเจ้าตัวแถมยังถือโอกาสแซ็วเพิ่มขึ้นอีก
“เปล๊า”
“มันตลกใช่ไหม?เอ่อ ขอโทษครับพ่อผมไม่ได้หมายถึงว่าชุดของพ่อตลกแต่พอมันมาอยู่ในตัวผมมันแบบทุกอย่างมันรั้งไปหมดมันดูเข้ารูปผมไม่ค่อย..”
“ไม่เป็นไรๆแฟรงค์พ่อเข้าใจเรา ส่วนทอมพอแล้วน่าลูกไปแซ็วแฟรงค์อยู่ได้”
เพราะไม่ได้คิดว่าจะได้ออกจากโรงพยาบาลวันนี้เขาเลยไม่ได้กลับไปที่พักเพื่อไปเตรียมเสื้อผ้าให้แฟรงค์พอบอกให้รอกันอยู่ที่นี่ก่อนพ่อของเขารีบหยิบเอาชุดของตัวเองออกมาพร้อมทั้งยืนยันว่าไซส์เสื้อผ้าของพ่อกับแฟรงค์นะเท่ากัน
มันก็ใช่ที่หลายปีที่แล้วพ่อกับแฟรงค์สามารถใส่เสื้อผ้าไซส์เดียวกันได้แต่ตอนนี้พ่อของเขาแก่ตัวลงขนาดเสื้อผ้าก็ต้องหดลงตามไซส์ของตัวเป็นเรื่องธรรมดาแล้วเขาผิดตรงไหนที่เขาขำกับภาพที่เขาเห็น?
“โอเคๆครับผมหยุดก็ได้ขอโทษครับ แต่ขอถ่ายรูปหน่อยได้ไหม?”
“ทอม!!”
“โอเคๆๆ”
เมื่อเก็บของทุกอย่างและทำเรื่องชำระค่ารักษาพยาบาลเป็นที่เรียบร้อยทั้งหมดก็มุ่งหน้าไปยังห้องพักของเขาความจริงในห้องนี้ควรมีคุณจอห์นอยู่ด้วยอีก 1 คน แต่ตอนเช้าพอเขาตื่นขึ้นมาเขาก็ไม่เห็นคุณจอห์นอยู่ในห้องแล้วกลับเจอแค่เพียงกระดาษโน๊ทเล็กๆใบนึงที่วางเอาไว้ที่ข้างหมอนของเขาว่า ‘ผมไปก่อนนะครับผมไม่อยากให้คุณแฟรงค์เห็นผมเดี๋ยวจะชักไปอีก’
สงสัยว่าคุณจอห์นคงคิดและเข้าใจว่าที่แฟรงค์ชักก็เพราะว่าเห็นหน้าของตนเองซึ่งเมื่อคืนเขารู้แล้วว่ามันไม่ใช่แบบนั้นเลยมันไม่ใช่ว่าเพราะแฟรงค์เห็นใครแต่มันขึ้นอยู่กับว่าใครเป็นคนทำแบบนั้นต่างหากเขาอยากจะรีบไปอธิบายกับคุณจอห์นให้เข้าใจจะได้เลิกโทษตัวเองแต่ตอนนี้พอเขาเห็นความเหนื่อยล้าของพ่อเอาขอพาทุกคนกลับบ้านให้เรียบร้อยก่อนแล้วกันก่อนที่จะไปแก้ความเข้าใจผิดของคุณจอห์น
“ผมเจอคุณเดฟตรงนั้น”
“เดี๋ยวขึ้นไปคุยกันที่ห้องดีกว่า”
“อื้ม”
ตอนที่ขึ้นมาถึงห้องพ่อกับแฟรงค์เดินสำรวจรอบห้องเล็กน้อยสีหน้าของคนทั้งสองหลังจากที่สำรวจเป็นจนที่พอใจต่างแสดงออกมาถึงความสุขพ่อดูมีความสุขดีที่เห็นว่าห้องของเขาสะอาดสะอ้านแถมที่พักก็โอเคไมได้ลำบากส่วนแฟรงค์นั้นสีหน้าก็แสดงออกถึงความดีใจที่ห้องนี้ไม่มีสัญญาณของใครคนอื่นยกเว้นเขาเพียงคนเดียวเขาเอ่ยบอกให้ทั้งสองไปทำความสะอาดร่างกายเพราะเพิ่งกลับมาจากโรงพยาบาลส่วนเขาเดินเข้าครัวไปเพื่อไปเตรียมอาหารเช้าแบบง่ายๆรองท้องให้กับทุกคนแล้วจะค่อยเข้าไปอาบน้ำทีหลัง
“ฮัลโหลครับ”
คลืนๆเสียงสั่นของโทรศัพท์ที่ถูกวางเอาไว้กับเค้าท์เตอร์ครัวดังขึ้นในช่วงระหว่างที่เขากำลังเตรียมทำอาหารเช้าพอเหลือบตาดูก็เห็นเป็นสายเรียกเข้าของคุณจอห์นเขาเลยวางมือที่กำลังวุ่นวายกับการตระเตรียมข้าวของแล้วกดรับสาย
“พวกคุณออกจากโรงพยาบาลแล้วเหรอครับ?ผมมาแล้วไม่เจอใคร”
“คุณกลับไปที่โรงพยาบาลเหรอ?ขอโทษทีผมตั้งใจเอาไว้ว่าผมจะบอกคุณตอนสายกว่านี้สักหน่อย ครับตอนนี้ทุกคนมาอยู่ที่ห้องผมแล้ว”
“งั้นถ้ามีอะไรคืบ...”
“ให้ผมช่วยอะไรไหมคุณ?คุณไปอาบน้ำต่อจากพ่อได้แล้วล่ะ”
เสียงสดใสของแฟรงค์ตะโกนแทรกเข้ามาโทรศัพท์สงสัยพอได้อาบน้ำคงจะสบายตัวขึ้นถึงได้อารมณ์ดีแบบนี้พอแฟรงค์เดินเข้ามาในสายตาของเขาเขาก็คิดอะไรขึ้นมาได้
“คุณมาที่ห้องผมหน่อยสิครับคุณจอห์น”
เสียงที่เรียกชื่อของอีกฝ่ายทำเอาความสดใสบนใบหน้าของแฟรงค์หายไปแล้วไอ้คิ้วนั้นก็กลับมาขมวดกันอีกครั้งเขาจึงยื่นมือไปนวดคลึงที่ตรงหว่างคิ้วนั้นให้กับแฟรงค์พร้อมกับขยับปากปบบไม่ส่งเสียงไปว่า ‘เดี๋ยวก็หน้าย่นหมดหรอก’แฟรงค์ถึงได้ยอมคลายปมคิ้วนั้นลง
“แฟรงค์คุณจำอะไรได้บ้างไหม?”
คุณจอห์นมาถึงห้องของเขาในอีก30 นาทีต่อมาพร้อมด้วยกาแฟ 4 ถ้วยทุกคนลงมือจัดการอาหารตรงหน้าของตัวเองอย่างรวดเร็วแล้วหลังจากที่ทุกคนอิ่มกับอาหารเช้าง่ายๆเช่น ขนมปัง แฮม กับไข่ดาวไปเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาก็มานั่งรวมตัวกันที่โซฟาหน้าทีวีโดยที่มีชาร้อนเป็นเครื่องดื่มที่ทำความอุ่นให้กับร่างกายแล้วก็เริ่มซักถามเกี่ยวกับเรื่องที่แฟรงค์พูดในรถแท๊กซี่
“ผมจำได้ว่าผมเดินเข้าไปทักเขาก่อน”
“คุณเห็นเดฟแบบพูดคุยได้?...ขอโทษครับ”
คุณจอห์นถามขัดขึ้นมากลางปล่องทำให้แฟรงค์หยุดเล่าและทุกคนก็ต่างหันไปมองหน้าของคุณจอห์นอย่างพร้อมเพรียงพอรู้ตัวว่าตัวเขาเองกำลังขัดการเล่าของแฟรงค์เขาจึงเอ่ยคำขอโทษพ่อส่ายหน้าให้กับคุณจอห์นเพื่อเป็นการส่งสัญญาณว่าไม่เป็นไรแล้วพยักหน้าให้แฟรงค์เล่าต่อ
“ใช่ผมเดินไปถามเขาเพราะผมเห็นว่าเขาเดินตามคุณกับคุณแฟรงค์มา ดูจากสายตาที่เขาใช้มองผมค่อนข้างมั่นใจว่าเขารู้จักคุณทั้งคู่”
“คุณคุยอะไรกับเขาบ้าง?”
“ผมถามเขาว่ารู้ไหมสองคนนั้นเป็นอะไรกันเขาถามผมกลับว่าผมอย่างรู้ใช่ไหม? พอผมบอกว่าใช่ตอนนั้นมันก็เหมือนทุกอย่างดับวูบไปหมดผมจำอะไรหลังจากนั้นไม่ได้เลย”
“...”
“รู้สึกตัวอีกทีตัวเองก็ตื่นมาอยู่ที่สวนอะไรแห่งนึงมันมึนงงไปหมดของก็หายไม่มีอะไรติดตัวผมเลยโชคยังดีที่ยังเหลือที่อยู่ของคุณในกระเป๋ากางเกงผมเลยเอากระดาษใบนั้นที่ผมจดที่อยู่ของคุณไปเดินถามทางคนแถวนั้นดูแต่กลับกลายเป็นว่าไม่มีใครยอมคุยกับผมแถมเดินเข้าไปก็มีแต่คนเดินหนี”
“ตอนแรกผมก็นึกว่าเขากลัวผมแต่ผมเพิ่งมารู้ว่าไม่ใช่ก็ตอนที่มีเด็กผู้หญิงชี้นิ้วมาที่ทางด้านหลังของผมแล้วกรีดร้องก่อนที่จะวิ่งหนีผมไป”
“ผมรู้ตัวแล้วว่ามันต้องมีอะไรที่ไม่ปกติอยู่ทางด้านหลังของผมแต่ผมก็ยังไม่กล้าที่จะหันกลับไปมองผมยังคงเดินถามทางไปเรื่อยๆ จนกระทั่ง...”
“แฟรงค์หยุดเล่าแล้วหายใจก่อนครับสูดลมหายใจเข้าลึกๆ”
ผมเอื้อมมือไปกุมมือของแฟรงค์และเพิ่มแรงบีบเพื่อให้กำลังใจในตอนนั้นแฟรงค์คงตื่นตระหนกมากสินะที่ต้องไปเจออะไรแบบนั้นเพราะเพียงแค่เล่าถึงมันตัวของแฟรงค์ก็เกร็งไปหมดจนผมทนไม่ได้ที่ต้องบอกให้เขาหยุดเล่าเรื่องเหล่านี้แฟรงค์ใช้เวลาพักและปรับความเกร็งตัวเพียงไม่นานก็กลับมาเล่าเรื่องอีกครั้ง
“อากาศก็เริ่มหนาวมากขึ้นมากจนเผมเหมือนว่ากำลังโดนแช่แข็งผมจึงเลือกที่จะเดินไปที่มินิมาร์ทเพื่อที่จะซื้อซองร้อนมาพกติดตัว...ประตูทางเข้ามินิมาร์ทเป็นประตูบานเลื่อนเป็นกระจกเลื่อนผมไม่ได้เงยหน้าตลอดการเดินแต่เพราะประตูบานเลื่อนนั้นไม่ยอมเลื่อนแถมยังมีเงาดำอีกเงาคอยตัดผ่านที่หางตาของผมเสมอและผมเห็นเงานั้นเคลื่อนไหวอยู่ตลอด”
“ผมไม่แน่ใจว่าเงานั้นมาจากคนที่ต่อเข้ามินิมาร์ทรึเปล่าผมเลยเคลื่อนตัวออกจากหน้าประตูเพื่อให้เขาเห็นว่าประตูมันเสียไม่ใช่เพราะผมเอาแต่ยืนขวางแต่แล้ว...แต่แล้วก็ไม่มีใครเดินผ่านตัวของผมไปพอผมหยุดเงานั้นก็หยุดพอผมเดินเงานั้นก็เดินตามผม ด้วยความโมโหปนกับความหนาวผมจึงเงยหน้าขึ้นมาผม...เห็นเงาสะท้อนที่อยู่ในนั้นเป็นเงาสะท้อนของคนที่กำลังก้มหน้าลง”
“เมื่อผมเห็นเงาผมก็มั่นใจว่าเขาคือคนผมจึงเคลื่อนตัวหนีให้เขาผ่านไปได้อีกแต่ว่าเขาก็ยังคงเอาแต่เคลื่อนตัวตามผมอยู่อย่างนั้นผมทนไม่ไหวผมเลยหันหลังกลับไป...แต่ผมไม่เจอใครยืนอยู่ข้างหลังผมเลยแถมความหนาวนั้นยังค่อยๆจางไปอีกด้วยไม่มีทางที่ใครสักคนจะวิ่งหลบได้เร็วขนาดนั้น ความตกใจทำให้ผมรีบเดินออกมาจากตรงนั้น”
“แต่สุดท้ายเงาดำนั้นก็กลับมาอยู่ที่ทางข้างหลังของผม...ผมพยายามแล้วที่จะไม่หันหลังกลับไปแต่...ความเย็น...ใช่ความเย็นที่แผ่มาจากทางด้านหลังมันหนาวมากเลยทอมผมหนาวกว่าครั้งแรกมือของผมที่ถือกระดาษที่อยู่ของคุณเอาไว้มันสั่นเพราะความหนาวกระดาษแผ่นนั้นจึงล่วงลงพื้นและปลิวไปทางด้านหลัง”
“ผมรับหันไปก้มเก็บกระดาษแผ่นนั้นเพราะผมกลัวว่าลมจะพัดมันปลิวไปไกลแล้วผมก็เห็นเขา ผมเห็นผู้ชายคนนั้นเดฟ”แฟรงค์หยุดเรื่องเล่าเอาไว้ตรงนี้พร้อมกับเลื่อนสายตาไปทางคุณจอห์นที่สะดุดลมหายใจที่ได้ยินชื่อนั้น
“คุณเล่าต่อเถอะผมโอเค”
“แต่ภาพที่ผมเห็นเขาครั้งใหม่นี้มันไม่เหมือนกับภาพแรกที่พบเจอเขาครั้งนี้หน้าตาของเขาเต็มไปด้วยเลือด เลือดที่เอาแต่ไหลออกจากมุมปากและดวงตาของเขามันมีแต่เลือดทอม ผมตกใจเลยรับวิ่งออกมาโดยที่ไม่ได้ดูรถทำให้...”
“ไม่จริงไม่จริง มันต้องมีอะไรที่ผิดพลาด ไม่จริง!!”
“เดี๋ยวสิคุณจอห์นแฟรงค์ยังเล่าไม่จบฟังต่อก่อนสิคุณ”
“ต่อให้เล่าต่อมันก็ไม่ใช่อยู่ดีคุณแฟรงค์เห็นเดฟครั้งแรกก็เพราะว่ามาดักเจอเราสองคน”คุณจอห์นหันไปสบตากับแฟรงค์โดยตรงพร้อมกับตะโกนขึ้นด้วยเสียงอันดัง
“คุณเหนื่อยจากการเดินทางคุณเข้าใจผิด คุณหึงแล้วคุณก็คิดไปเอง!!”
“เฮ้ยแต่ผม...”
“เดฟไม่ได้เป็นคนแบบนี้เขาไม่เคยจะทำร้ายใคร!!ยิ่งกับคนไม่รู้จักอย่างคุณเขายิ่งไม่มีวันเข้าไปยุ่ง!!”
“อย่ามายุ่งกับผม!!”
“คุณจอห์น” //“เฮ้ยคุณมันจะมากเกินไปแล้วนะ”
ปลัก!! คือเสียงที่คุณจอห์นปัดมือของเขาออกหลังจากที่เขาพยายามที่จะปลอบให้คุณจอห์นใจเย็นลงกว่านี้แล้วฟังเรื่องราวทั้งหมดให้จบแต่แรงนั้นมันคงแรงจงเกินไปทำให้มือของเขาที่ถูกสบัดออกนั้นมันปัดไปโดนที่ตัวของพ่อของเขาแฟรงค์ลุกขึ้นยืนพร้อมด้วยท่าทางที่พร้อมจะปกป้องพ่อของเขาอย่างเต็มที่แต่ก็เป็นพ่อของเขาเองนี่แหละที่ดึงแขนของแฟรงค์เอาไว้พร้อมกับบอกว่าพ่อไม่ได้เป็นอะไร
“ผมขอตัว” หน้าของคุณจอห์นบ่งบอกถึงความตกใจคงไม่คิดว่าแรงสบัดมันจะแรงขนาดนั้นยังไม่ทันที่ใครจะได้พูดอะไรคุณจอห์นก็เดินออกไปจากห้อง
เขาไม่ได้รั้งตัวคุณจอห์นเอาไว้เพราะเขาเองก็ไม่เคยเห็นคุณจอห์นในอารมณ์นี้มาก่อนเช่นกันคุณจอห์นที่เคยเป็นคนที่ใส่ใจคนอื่นมีแววตาของความอบอุ่นเขาก็ไม่รู้ว่าคุณจอห์นเพื่อนของเขาคนนั้นอยู่ที่ไหนตั้งแต่ที่คุณจอห์นเริ่มไม่สบายและเกิดเรื่องวุ่นวายนี้ขึ้นคุณจอห์นก็ ‘แปลงร่าง’เปลี่ยนไปเป็นคนละคนเป็นอีกคนที่เขาไม่รู้จัก
หรือว่าที่จริงแล้วตัวตนที่แท้จริงของคุณจอห์นคือคนนี้คนที่เขาไม่คุ้นเคยแต่มาเปลี่ยนแปลงแปลงร่างของตัวเองใหม่? แล้วแบบนี้เขาจะรู้ได้อย่างไรว่าใครคือคุณจอห์นตัวจริงแล้วใครคือคนที่‘แปลงร่าง’ มา
แล้วคุณเดฟละตัวตนที่แท้จริงคือคนไหนระหว่างคนที่คุณจอห์นพร่ำบอกว่าเป็นคนที่เก็บตัวเงียบเป็นคนจิตใจดีหรือ กับคนที่เขาและแฟรงค์คนที่พร้อมจะทำร้ายคนอื่นเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ?คือคนไหนกันแน่?
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in