เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Novelber 2017fdfeefa
Day 19 Frost
  • Day 19 Frost

    “ไม่เป็นไรนะลูก ไม่เป็นไรแล้วเชื่อพ่อทุกอย่างจะผ่านไปได้ด้วยดี”

    นี่คือคำปลอบใจที่พ่อพูดซ้ำๆ ตั้งแต่ที่พ่อเห็นสภาพของแฟรงค์ในห้องพักเขาเองก็ไม่รู้ว่าพ่อต้องการที่บอกใครกันแน่ระหว่างเขาหรือตัวของพ่อเอง พ่อมาถึงหลังเวลาที่บอกเอาไว้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ตอนที่เขาลงไปยืนรอรับพ่อที่หน้าโรงพยาบาลเขาเห็นพ่อก้าวลงจากรถแท๊กซี่ด้วยท่าทางที่ค่อนข้างจะช้าและมีเพียงแค่กระเป๋าสะพายข้างใบใหญ่ใบเดียวติดตัวมาภาพนั้นมันทำให้เขายืนนิ่งเป็นหุ่นแช่แข็งเหมือนโดนสาบเอาไว้ ที่ผ่านมาเขาไม่เคยมองสังเกตุพ่อให้ดีถึงไม่เคยเห็นว่าพ่อของเขาแก่ลงมากแค่ไหนแล้วเขาในวันนี้ยังให้พ่อที่แก่ลงมากเดินทางมาหาเขาอย่างกระทันหันเพียงคนเดียวอีกความรู้สึกผิดที่ตีตื้นขึ้นมาทำให้เขาก้าวขาไปทางด้านหน้าไม่ออกไม่กล้าแม้จะสบตาไปตรงๆ ที่หน้าของพ่อ

    “ผมขอโทษครับพ่อ พ่อต้องมาลำบากเพราะผม”

    “พูดอะไรแบบนั้นแฟรงค์เองเขาก็ไม่มีใครที่ไหนแล้วเขาก็เหมือนเป็นลูกของพ่อคนนึงเหมือนกัน”

    “ครับพ่อ”

    เขาเล่าเหตุการ์ณที่เกิดขึ้นคร่าวๆ ให้พ่อได้ฟังไม่ว่าจะเป็นเรื่องอุบัติเหตุของแฟรงค์หรือเรื่องสิ่งที่เหนือกว่าธรรมชาติที่เกิดขึ้นกับเขาทั้งสองคนในระหว่างที่พวกเขากำลังเดินไปที่ห้องพัก ตอนแรกเขาก็กลัวว่าพ่อจะไม่เชื่อในสิ่งที่เขาพูดและคิดว่าเขาเครียดถึงได้คิดเรื่องราวเพ้อเจ้อแต่เปล่าเลยสิ่งที่พ่อทำคือพยักหน้ารับรู้ตั้งใจฟังในทุกคำพูดแถมยังบอกให้เขาพูดต่อไป

    “แฟรงค์เป็นหนักขนาดนี้เลยรึเนี่ย?”

    “ครับพ่อ ตั้งแต่เข้ามารับการรักษาตัวแฟรงค์จะเป็นแบบนี้ตลอดตื่นมาไม่นานแล้วก็หลับต่อ พยาบาลบอกว่าน่าจะเป็นผลมาจากอาการกระตุกที่ผมเล่าให้พ่อฟังนั่นแหละครับ”

    “เรื่องของคนที่ชื่อเดฟที่ลูกพูดถึง…”

    “ที่ผมเรียกพ่อมาด่วนเพราะผมต้องไปหาคำตอบแล้วผมก็คงทิ้งแฟรงค์ไปแบบนี้ไม่ได้ ผมคงต้องทิ้งพ่อไว้ที่นี่กับแฟรงค์”

    “ไม่เป็นไรทอมไม่ต้องห่วงทางนี้นะ”

    “พ่ออย่าลืมนะครับถ้าแฟรงค์กระตุกพ่ออย่ากดออดเรียกพยาบาลนะครับผมไม่อยากให้เขาโดนฉีดยาอีกแล้ว”

    “ลูกไปทำในสิ่งที่ลูกคิดว่าจำเป็นเถอะไม่ต้องห่วงทางนี้พ่อดูแฟรงค์ได้”

    “ขอบคุณครับพ่อ”

    ผ่านมาหนึ่งวันเต็มที่เขาไม่ได้ไปทำงานนั้นหมายความว่ามันคือหนึ่งวันที่เขาไม่ได้ไปที่ร้านกาแฟร้านนั้นแต่คุณจอห์นก็ไม่มีการติดต่อเขามา มันมีทางเป็นไปได้อยู่สองทาง หนึ่งคือคุณจอห์นยังไม่หายโกรธเรื่องที่คิดว่าเขาเป็นคนไปรื้อของส่วนตัว สองคุณจอห์นไม่สบายแล้วไม่ได้ไปทำงานเหมือนกับวันที่เกิดเรื่อง แต่ไม่ว่าจะเป็นทางไหนเขาก็จะไม่ยอมอยู่เฉยๆ รอการติดต่อจากคุณจอห์นแล้วปล่อยให้เวลาที่มีค่าของเขามันเสียเปล่า

    รู้ทั้งรู้ว่าเวลาสองทุ่มมันเป็นช่วงเวลาที่ไม่เหมาะที่จะบุกไปหาคนที่เพิ่งจะสนิทกันแต่ในเมื่อเขาได้พยายามโทรศัพท์ไปหาคุณจอห์นเพื่อขอนัดอยู่หลายครั้งช่วงแรกยังไม่มีคนรับแต่ช่วงหลังเป็นเหมือนการปิดเครื่อง มันจึงทำให้เขาไม่มีทางเลือกอื่นมากนักยกเว้นมาโดยที่ไม่ได้นัดและมาถึงบ้านที่พักของคุณจอห์น

    เกาะๆๆๆๆๆ “คุณจอห์นผมรู้ว่าคุณอยู่ในห้อง เปิดประตูให้ผมทีผมมีเรื่องที่ต้องคุยกับคุณ”

    เรื่องดีๆ ที่ยังพอเกิดขึ้นกับเขาในวันที่เขารู้สึกหมดหนทางก็คือหลังจากที่เขาเดินวนอยู่หน้าอพาร์ตเมนต์ของคุณจอห์นเพราะไม่มีการ์ดที่จะเข้าไปทางด้านในของตึกได้อยู่เกือบหนึ่งชั่วโมง ถุงใส่ของของหญิงชราจู่ๆ ก็ขาดและของทุกอย่างที่อยู่ในถึงนั้นก็ล่วงลงที่พื้นตรงหน้าของเขา โดยที่ไม่ต้องเสียเวลาคิดเขาวิ่งเข้าไปช่วยเธอเก็บก่อนที่ของทุกอย่างที่เธอซื้อมาจะล่วงลงถนน เขาไม่ได้ช่วยเพื่อหวังผลแต่เมื่อผู้หญิงคนนี้ออกตัวว่าพักอยู่ที่ตึกนี้เขาก็จะถือว่ามันคือคำขอบคุณจากหญิงชราคนนี้แล้วกัน

    “คุณอาศัยอยู่ตึกนี้ด้วยเหรอคะ? ดิฉันไม่เคยเห็นมาก่อนเลย”

    ความเป็นคนช่วยเหลือคนอื่นคงจะทำให้เขาได้ความไว้ใจจากหญิงชราคนนี้เพิ่มขึ้นถึง 80 เปอร์เซ็นต์แต่มันก็ยังมีส่วนที่ยังไม่เชื่อใจเหลืออยู่อาจเพราะเธอไม่คุ้นหน้าค่าตาของเขามาก่อน

    “ผมเพิ่งเข้ามาพักกับเพื่อนที่ห้อง 503 ได้ไม่นานครับ มาแบบ เอ่อ พักชั่วคราวถ้าคุณไม่เชื่อว่าผมอยู่ตึกนี้จริงเดี๋ยวผมแค่ส่งของเข้าไปให้ในตึกแล้วคุณปิดประตูเลยก็ได้ครับ หรือไม่คุณสามารถล่วงเอาคีย์การ์ดที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงทางด้านขวาของผมออกมาแตะที่ประตูก็ได้ครับ”

    “ไม่เป็นไรหรอกจ๊ะดิฉันก็แค่ถามดูไม่คุ้นหน้าเฉยๆ”

    ขอบคุณที่ทักษะในการแสดงละครของวิชาเลือกในมหาวิทยาลัยของเขายังดีอยู่เขาถึงสามารถผ่าเข้ามาภายในตึกนี้ได้อย่างง่ายได้ ก่อนที่จะขึ้นมาเขาไม่มีความแน่ใจเลยว่าคุณจอห์นจะอยู่ในห้องรึเปล่าเขาจึงคิดแผนยาวไปถึงว่าถ้าจะต้องยืนให้คุณจอห์นกลับมาเขาต้องไปรอที่ไหนเพื่อไม่ให้คนบนชั้นนี้สงสัยเขา

    แต่พอได้มาถึงที่หน้าห้องจริงเขาก็เบาใจและมีความมั่นใจเต็มร้อยว่าคุณจอห์นอยู่ในห้องนอกจากแสงไฟที่สามารอดออกมาที่ใต้ประตูห้องไอความร้อนที่เป็นสัญญาณว่าคุณจอห์นได้เปิดเครื่องทำความร้อนเอาไว้มันก็อีกสิ่งนึงที่ทำให้เขายังยืนเคาะประตูอยู่แบบนี้ แล้วในที่สุดความพยายามของการรอคอยของเขาก็เป็นผลเมื่อคุณจอห์นยอดมเดินมาเปิดประตูให้แก่เขา

    “คุณมีอะไรรึครับคุณทอม?”

    สภาพของคุณจอห์นทำให้เขาเกือบลืมว่าเขามาที่นี่ทำไม หน้าตาของคุณจอห์นซีดเซียวเหมือนคนไม่ได้พักผ่อนมาเป็นเวลาหลายวันแถมคุณจอห์นยังใส่เสื้อกันหนาวในห้องที่แค่เขาก้าวเท้าเข้ามาเขาก็อยากที่จะถอดแจ็คเก็ตตัวนี้ออกแล้ว แต่สิ่งที่มากไปกว่านั้นก็คือแววตา

    แววตาของคุณจอห์นที่ใช้มองเขาในตอนนี้มันดูเย็นชาไร้ความรู้สึกจนถ้าเขาใช้ความรู้สึกมองลงไปในดวงตาคู่นั้นเขานึกว่าเขากำลังมองเข้าไปในธารน้ำที่กำลังแข็งตัวอยู่มากกว่าดวงตาของคนที่มักจะมีแต่ความอบอุ่นและความสุขนั้นหายไปเหลือเพียงเกาะน้ำแข็งนั้นที่ถูกใช้เป็นกำแพงกันเขาไม่ให้เข้าไปในพื้นที่หวงห้าม

    “คุณดูไม่สบาย”

    “นิดหน่อยครับ”

    “งั้นผมขอรบกวนเวลาคุณเพียงไม่นานครับ ผมขอเข้าประเด็นเลยแล้วกัน ผมอยากรู้เรื่องเกี่ยวกับคนที่ชื่อเดฟครับ”

    “ผมไม่มีอะไรจะพูดเกี่ยวกับเขา” ขนของเขาลุกตั้งชันเมื่อเขารู้สึกได้ว่าความเย็นชาและไม่ใส่ใจในคำขอของเขากำลังสื่อความเย็นออกมาถึงตัวของเขา

    “ถ้าคุณจะมาเพราะเรื่องนี้ผมว่าคุณเดินทางมาที่นี่แบบเสียเวลาเปล่า และต่อไปนี้ผมไม่คิดว่าผมกับคุณจะต้องเจอกันอีก”

    “คุณจอห์นคุณฟังผมก่อนผมขอเวลาเพียงแค่ห้านาทีเท่านั้นถ้าห้านาทีนี้ผมยังไม่สามารถทำให้คุณฟังผมต่อได้ผมจะไม่รบกวนเวลาคุณอีกเลย”

    “…”

    คุณจอห์นไม่ได้ตอบรับเขาไม่ได้พยักหน้าไม่เอ่ยอณุญาตแต่ก็ไม่ได้พูดปฎิเสธออกมาเช่นกันดังนั้นเขาขอเข้าข้างตัวเองโดยการที่คิดว่าคุณจอห์นพร้อมที่จะฟังในสิ่งที่เขาพูดนี้

    “ผมเคยได้ยินเสียงของเขามาก่อนครับ เสียงของคนชื่อเดฟ”

    “ก็แน่นอนวันนั้นคุณเป็นคนเล่นวีดีโอนั้นด้วยตัวเองคุณก็ต้องได้ยิน”

    “ไม่ใช่ครับไม่ใช่ที่ผมเดินไปเล่นวีดีโอนั้นคุณอาจจะฟังว่ามันบ้าหรือเป็นข้อแก้ตัวที่ไม่เหมาะสมเอาซะเลยแต่ผมขอย้ำอีกครั้งว่าผมไม่ได้เป็นคนเดินไปเล่นวีโอนั้น”

    “…”

    “และรวมไปถึงว่าไม่ใช่ครับวันนั้นไม่ใช่วันแรกที่ผมได้ยินเสียงของเขา ไม่รู้ว่าคุณจะพอจำได้ไหมที่ผมมักจะพูดเสมอว่าผมนอนไม่หลับและนอนไม่พอจนผมเองยังคิดที่จะคอยไปหาหมอเพื่อรักษาอาหารนอนไม่หลับนี้”

    “ครับ”

    “ผมนอนไม่หลับก็เพราะมีคนทำให้ผมตื่นครับ ในทุกคืนช่วงหลังมานี้ผมจะฝันซึ่งเอาจริงผมจำไม่เคยได้เลยครับว่าผมฝันอะไรภาพทุกอย่ามันดูเบลอไปหมดผมเคยพยายามนึกถึงมันแล้วแต่นึกเท่าไหร่ผมก็นึกไม่ออกครับ”

    “…”

    “แต่ในทุกครั้งผมจะมีเสียงนึงในตอนท้ายของความฝันเป็นสียงที่ทำให้ผมตื่นเป็นเสียงที่คอยบอกให้ผมออกไป กลับไป ออกไป แล้วผมก็จำได้ดีว่ามันคือเสียงของคุณเดฟ”

    “ไม่จริง ไม่จริง คุณโกหก”

    “ผมจะโกหกคุณแล้วได้อะไรขึ้นมา? เสียงนั้นคือเสียงของคุณเดฟจริงๆ ผมได้ยินเสียงนั้นมาหลายคืนรวมเป็นอาทิตย์ๆ คุณว่าผมจะจำเสียงนั้นไม่ได้เลยรึไง?”

    “คุณอาจจะแค่สับสนพอคุณได้ยินเสียงนั้นคุณก็ทึกทักเอาเองว่าเป็นเดฟ”

    “ไม่ใช่ครับผมรู้ตัวดีว่าผมได้ยินอะไร คุณจอห์นกรุณาเถอะครับกรุณาเล่าเรื่องทั้งหมดให้ผมได้ฟังทีว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับคนที่ชื่อเดฟเพราะตอนนี้คนที่ผมรักที่สุดเขาต้องทนอยู่กับความทรมาณ คนที่ชื่อเดฟกำลังทำร้ายคนที่ผมรักครับ”

    ผลั่ก กำมือของคุณจอห์นแนบลงที่ใบหน้าของเขา เขาเซไปทางด้านหลังเล็กน้อยก่อนที่ทรงตัวให้กลับมานั่งดีๆ ได้อีกครั้ง ที่เขาเซไม่ใช่เพราะคุณจอห์นต่อยหนักแต่มันเป็นเพราะเขาไม่ได้ทันตั้งตัว โดยที่ไม่มีคำเตือนล่วงหน้าคุณจอห์นก็ลุกขึ้นจากที่นั่งแล้วก็ปล่อยหมัดตรงเข้ากับใบหน้าของเขา

    “เดฟไม่มีวันทำร้ายใครไม่มีวัน!!”

    “เขาไม่มีวันทำร้ายใครหรือคุณแค่ไม่เชื่อว่าเขาจะไม่ทำ”

    “ออกไปซะ ออกไป!!!”

    “ก็เพราะคุณเป็นอย่างนี้ยังไงละจอห์นเราเลยไม่เคยพูดกันรู้เรื่องสักที”

    คำพูดออกมาจากปากของผม เสียงเป็นของผม มือที่ยื่นไปลูบเบาๆ ที่แก้มของคุณจอห์นนั้นก็ของผมแต่มันไม่ใช่ผมที่กำลังควบคุมให้มันเป็นไปแบบนั้น ผมยังคงอยู่ในร่างกายนี้ยังคงมีความคิดแต่คนอีกคนที่เข้ามาใช้ร่างกายร่วมกับผมในตอนนี้กลับมีอำนาจคอยบ่งการให่ร่างกายของผมเป็นแบบนี้

    “คุณทอม!!!”

    “ทำไมบี้ถึงเรียกชื่อคนอื่นมาแทนชื่อผมละ?”

    “บี้ คุณไปเอาชื่อนี้มาจากไหนทอมจากไหน คุณไปรู้อะไรมา!!!”

    “บี้ ทำไมบี้จำผมไม่ได้ละครับ?”

    “บอกให้หยุดพูดไง บอกให้หยุดพูดไง มึงเป็นใคร มึงเป็นใคร!!!”

    ‘อึก’ ตอนนี้เขากำลังดิ้นรนหาทางเอามือของคุณจอห์นออกไปจากลำคอของเขา คนคนนั้นได้ออกไปจากตัวของเขาไปเรียบร้อยเราไม่ต้องใช้ร่างกายเดียวกันแล้ว

    แต่แรงของคุณจอห์นมันก็มีมากเหลือเกินเกินกว่าที่แรงของเขาจะต่อสู้ได้ หก่นอที่ลมหายใจของเขาจะหมดลงในสมองของเขามีแต่เรื่องที่วนเวียนไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เขาไม่น่าเลยบุกมาที่นี่โดยที่ไม่คิดแผนให้ดีกว่านี้เพราะนอกจากจะไม่ได้อะไรกลับไปแล้วเขาอาจจะต้องทำให้พ่อเสียใจ ‘พ่อ’ ที่ยอมมาหาเขาแบบไม่มีเงื่อนไขและอฟรงค์ที่กำลังรอความช่วยเหลือจากเขาอีก ทั้งคุ่ต้องรู้สึกเสียใจที่เหตุการณ์มันออกมาในรูปแบบนี้

    “ขอโทษครับพ่อ”

    แค่กๆ มือที่เหมือนคีมเหล็กของจอห์นได้หลุดออกจากคอของเขาไปแล้ว เขารีบใช้ช่วงที่คุณจอห์นกำลังนั่งแช่แข็งเหมือนกับคนที่ถูกสาปถอยตัวหนีออกมาจนใกล้กับประตูทางออกพร้อมกับพักหอบเอาอากหาศเข้าไปในปอดให้มากที่สุด ที่มายืนใกล้ประตูไม่ใช่ว่าเขาจะเปิดประตูยอมแพ้หันหลังกลับเขาแค่มายืนตั้งหลัก เช่น ถ้าเกิดอะไรไม่ชอบมาพากลอีกเขาจะได้ออกไปจากนี้ได้ง่ายขึ้น

    “คุณเป็นบ้าอะไรผมไม่รู้แต่ตัวตนเมื่อกี้ไม่ใช่ผม ผมรู้ว่าพูดไปคุณก็ไม่เชื่อแต่นั้นไม่ใช่ผมถ้าคุณจะหยุดคิดสักนิดผมที่เพิ่งรู้จักกับคุณจะไปรู้ได้ยังไงว่าใครใช้ บี้ เป็นตัวแทนระหว่างคุณกับเขา”

    “…”

    “ความจริงผมมีอยู่ฝันนึงแต่ผมก็รู้ว่ามันคือฝันจากอะไรผมเลยไม่เคยพูดกับคุณ แต่ถ้ามันจะช่วยให้คุณฟังผมบ้างผมก็จะพูดออกมา คนที่ชื่อเดฟเขาเสียชีวิตเพราะตกจากที่สูง ถ้าไม่ชั้นสองของบ้านก็บรรไดของบ้านใช่ไหมครับ?”

    สายตาที่คุณจอห์นมองเขามันกำลังเบิกกว้างมากขึ้นและค้างแข็งอยู่แบบนั้น แล้วนี่ก็เป็นบทสนทนาของวันที่ผมสามารถทำให้เขาหันมาสนใจในคำพูดของผมได้

    “วันนั้นคุณทะเลาะกันเรื่องที่บ้าน เรื่องแม่ของคุณ ใช่ไหมครับ?”

    “คุณรู้ได้ยังไง?”

    “เพราะผมเห็นมันไงคุณจอห์นผมเห็นเหตุการ์ณในวันนั้น คราวนี้คุณเชื่อผมบ้างรึยัง? คุณเชื่อผมบ้างรึยัง?”

    เราต่างคนต่างยืนในมุมของตัวเองโดยที่ใช้ความเงียบเป็นตัวทำให้เราทั้งสองคนสงบลงไม่ว่าเขาที่กำลังตื่นกลัวและคุณจอห์นที่กำลังนิ่งค้างเหมือนกำลังหลุดเขาไปในโลกของตัวเองที่ไม่ใช่ตรงนี้

    “สายตาของคุณเปลี่ยนไป”

    “ครับ?”

    “สายตาของคุณที่เรียกผมบี้มันเปลี่ยนไปมันเหมือนเป็นสายตาของเดฟที่ใช้มองผมอยู่เสมอ แต่ผมก็ยังคงไม่เชื่อผมคิดว่าคุณกำลังล้อผมเล่น ตอนที่ผมเอ่อ บีบคอของคุณ มันมีช่วงจังหวะที่สายตาของคุณก็กลับมาเป้นคนเดิมพร้อมกับพูดขอโทษคุณพ่อของคุณ เดฟไม่มีพ่อ”

    “คุณเลยปล่อยมือ?”

    “ครับ”

    “คราวนี้คุณเชื่อเรื่องที่ผมเล่าให้ฟังรึยัง?”

    “ผมก็ยังยืนยันคำเดิมว่าเดฟไม่มีวันทำร้ายใคร เขาไม่ใช่คนแบบนั้น แต่ผมพร้อมที่จะรับฟังคุณ”

    “แค่นั้นที่ผมต้องการ”

    เมื่อในที่สุดคุณจอห์นก็ยอมนั่งลงแล้วฟังเรื่องราวที่ออกมาจากปากของเขาบรรยากาศที่ร้อนเพราะเครื่องทำความร้อนก็ดูเหมือนว่าจะเย็นขึ้น พร้อมกับกำแพงน้ำแข็งที่เป็นกำแพงที่อยู่ในดวงตานั้นก็กำลังจะละลายลง

    การที่กำแพงน้ำแข็งของคุณจอห์นละลายและยอมนับฟังในสิ่งที่เขาพูดมันเป็นเพียงแค่จุดเริ่มเท่านั้น เพราะสิ่งที่จำเป็นที่สุดคือเขาต้องทำให้คุณจอห์นยอมละลายกำแพงที่หัวใจและยอมลบภาพของคุณเดฟที่มีคุณสมบัติของคนอ่อนโยน ใจ ดีที่ถูกผนึกเป็นเหมือนน้ำแข็งอยู่ในนั้นออกให้ได้เพื่อที่คุณจอห์นจะได้ยอมช่วยเหลือเขากับแฟรงค์เสียที


Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in