นวนิยายเรื่อง : ก่อนตะวันรอน
ตอนที่ 7 บ้านเกิดเมืองนอน
บนขบวนรถไฟสายอีสาน
ครอกฟี้ ! ครอกฟี้ !
เสียงกรนของต้อยที่นั่งคอพับคออ่อน เพราะกำลังหลับลึกอยู่ม้านั่งฝั่งตรงข้ามบ่าวเขื่อน บนโบกี้รถไฟสายที่กำลังมุ่งหน้าไปสู่แดนอีสานบ้านเกิดของพวกเขา
ยามที่เธอหลับแบบนี้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ไร้พิษสงลงไปเยอะเลย ใบหน้าที่ไร้การแต่งแต้มใด ๆ ทำให้น่ามองมากขึ้น ยิ่งมองยิ่งน่าหลงใหล ชายหนุ่มไม่สามารถละสายตาไปจากใบหน้างามนั้นได้เลย ผมบ๊อบสั้นได้กลายเป็นเอกลักษณ์ของสาวเจ้าไปแล้ว แม้ว่าแฟชั่นทรงผมของสาว ๆ เขาจะฮิตกันทรงไหน แต่หญิงสาวก็ยังคงมั่นในรักกับทรงผมบ๊อบสั้น ๆ ของเธอ
ทุกครั้งที่ต้อยสัปหงก ปอยผมด้านข้างของเธอจะตกลงมาปกคลุมใบหน้างาม ทำให้เขื่อนรำคาญไม่น้อย จนอดที่จะยื่นมือไปปัดออกให้พ้นทางสายตาคมนั้นไม่ได้
มือใหญ่หนาของชายหนุ่มยังคงเคล้าเคลียกับปอยผมและใบหน้างามของหญิงสาว
โดยหารู้ไม่ว่าสาวเจ้าตื่นและรู้สึกตัวสักพักแล้ว แต่ยังแกล้งหลับต่อ
มืออ้ายเขื่อนจับผมเบา ๆ เฮาคือรู้สึกว่ามันหนักแท้วะ สิมืนตากะย่านเพิ่นรู้ว่าตื่นแล้ว ถึงสิหนักแต่สัมผัสของอ้ายเขื่อนก็เฮ็ดให้เฮาตื่นเต้นดี หญิงสาวคิดในใจจนเผลอยิ้มออกมา ทำให้เจ้าของมือที่กำลังคลอเคลียแก้มสาวอยู่นั้นรู้ว่าเจ้าเธอตื่นแล้ว
“โอ๊ย! เฮ็ดอิหยังอ้ายเขื่อน!” ต้อยร้องตะโกนด้วยความตกใจ หลังจากโดนชายหนุ่มดึงจมูกน้อย ๆ ของเธอ
“สมน้ำหน้าทำท่าหลับดีหลาย" เขื่อนหัวเราะชอบใจที่แกล้งสาวต้อยได้สำเร็จ
“บ่อยากตื่นซือ ๆ หนิ บ่อยากเบิ่งหน้าคน" ต้อยแกล้งบ่นให้บ่าวเขื่อน แต่ในใจลึก ๆ แล้วเธออยากมองใบหน้าหล่อเหลานั่นจะตาย แต่ทำได้แค่แอบมองเวลาเขาเผลอเท่านั้น จะไปมองตรง ๆ ได้ยังไง เดี๋ยวได้ใจ อ้ายเขื่อนผีบ้า
“บ่อยากเบิ่งอิหลีติ" เขื่อนยื่นหน้าทะเล้นเข้ามาใกล้ จนสัมผัสได้ถึงกลิ่นกายหอม ๆ ของหญิงสาว
“หยับออกไป ! บักเขื่อนผีบ้า !” ต้อยอายหน้าแดง รีบยกมือผลักใบหน้าของชายหนุ่มให้ออกไปไกล ๆ จากใบหน้าของเธอ ที่อยู่ห่างกันไม่ถึงคืบ
“เอ๊า ! หว่างได๋ยังเอิ้นอ้ายเขื่อนดี ๆ อยู่" เขื่อนหัวเราะอย่างพอใจ พร้อมขยับใบหน้าออกห่างหญิงสาวแต่โดยดี
ต้อยไม่ตอบแต่ทำตาเขียวปั๊ดใส่
“เห็นแต่เขาจูบเย้ยจันทร์ หมู่เฮาจูบเย้ยพระอาทิตย์ โอ้ว คัก ๆ หมอ" เชิดที่นั่งอยู่ข้าง ๆ หัวเราะเอิ้กอ้ากหลังจากได้พูดแซวเพื่อนเกลอ
“พระอาทิตย์บ้านมึงติ อีเกิ้งเพ่อเว่ออยู่นั่น บ่เห็นบ่ ? จูบ เจิบ อิหยังนั่นนำ มึงกะเว้าไปเดี๋ยวน้องนุงเขาเสียหาย” เขื่อนทำเสียงดุกำชับให้เชิดระวังคำพูด
“กูกะเว้าหยอกซือ ๆ หนิหล่ะ คันแมนจูบอีหลีกะผิดผีทอนั่นแหล่ว งานแต่งคือสิมีสองคู่วะบ้านเฮา ต้อยน้อยกับต้อยใหญ่ ฮ่า ฮ่า" เชิดยังพูดเล่นไม่ยอมเลิก
“เจ้าคือกันเด้อบักอ้ายเชิด สมพ้อได้เป็นหมู่กัน ผีบ้าทั้งคู่เลย คันบ่เซาสิเอากำปั้นยัดปากละบานหนิ" ต้อยโกรธจนหน้าแดง เพราะเชิดพูดเกินเลยไปมากแล้ว
“ครับ ครับ เซาแล้ว เซาแล้ว" เชิดรับคำแต่ก็ไม่วายที่จะพูดด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง
ปึ๊ก !
โอ๊ย !
เสียงขาวชกหน้าอกเชิดเข้าเต็มรัก ตามด้วยเสียงร้องโอดโอย
“วอนหาเรื่องคัก มันต้องได้กินจักหมัด บ่สั่นบ่แล้ว" ขาวพูดด้วยน้ำเสียงสะใจ เพราะเธอหมั่นไส้ท่าทีกะล่อนของเชิดมาสักพักแล้ว
“ผู้สาวหยังวะ ตีนหนักมือหนักขนาด" เชิดบ่นอุบ
“รึสิเอาอีก อันนั้นมือ ถ้าตีนเจ้าบ่ได้มานั่งเว้าอยู่หนิดอก" ขาวขู่ฟ่อ
“ครับ แม่ครับ บ่กล้าแล้วครับ" เชิดทำเสียงหงอ เกรงว่าจะทำให้ขาวไม่พอใจ พาลไม่อยากคบกับเขาต่อ
“โหดทั้งคู่เลยว่ะหมอผู้สาวเฮา" เชิดหันไปกระซิบกับเขื่อนใกล้ ๆ เกรงว่าสาว ๆ จะได้ยิน ทั้งคู่ได้แต่ปิดปากหัวเราะกันเบา ๆ
ต้อยและขาวมองหน้ากันอย่างระอากับท่าทีของสองหนุ่มที่กวนไม่เลิก
“เอาจนสุดสายน้อผู้บ่าวผู้สาวทางนั้น” ตานายร้องทักมาทางฝั่งที่เขื่อน เชิด ต้อยและขาวนั่งอยู่คนละฟาก
หนุ่ม ๆ สาว ๆ มองหน้ากันแล้วหัวเราะเบา ๆ เกรงจะโดนตานายดุอีก
“ฮอดบ้านละเด้อ พากันเตรียมข้าวเตรียมของ" ตานายกำชับทุกคนอีกรอบ
ปู๊น ปู๊น! ปู๊น ปู๊น!
รถไฟเริ่มลดความเร็วลง เพื่อเข้าจอดที่ชานชาลา บรรยากาศภายนอกคลาคล่ำไปด้วยพ่อค้าแม่ขาย และเหล่าบรรดาสามล้อถีบ ส่วนผู้โดยสารที่รอขึ้นรถไฟมีไม่มากนัก เพราะสถานีนี้เป็นสถานีเกือบสุดท้ายแล้ว
เมื่อรถไฟจอดเทียบชานชาลา ผู้ที่โดยสารมากับรถไฟขบวนนี้ก็เริ่มทยอยหอบข้าวของลงไปรวมกลุ่มกันด้านล่าง ชาวบ้านดอนผักหวานก็เช่นกัน
“มากันเหมิดไป๊ อีนางแดงเอิ้นเอามูเอาพวกมา สิได้ไปต่อรถบัสอีก เดี๋ยวมันสิบ่ทันรถเที่ยวนี้”
“มาครบเหมิดแล้วจ้า” แดงตอบยายเผื่อน หลังจากที่เห็นขาวและเพื่อน ๆ กำลังเดินมาสมทบ
ชาวดอนผักหวานมาทันขึ้นรถบัสที่จะต่อไปยังปากทางเข้าหมู่บ้านพอดี กว่ารถบัสจะเคลื่อนตัวออกจากตัวจังหวัดก็ใช้เวลาเกือบ 20 นาที เบาะสองนั่งสามคนหรือสี่คนถ้ามีเด็กด้วย เป็นอะไรที่ผู้โดยสารชินชากันแล้ว ไม่ใช่เพราะว่ามีผู้คนสัญจรเข้าออกตัวจังหวัดวันละเยอะ ๆ แต่เป็นเพราะรอบรถที่แล่นผ่านเส้นทางแต่ละเส้นมีน้อยนิดเหลือเกิน คนที่เดินทางเลยต้องจัดสรรที่นั่งที่ยืน ให้ได้เดินทางไปในรถรอบเดียวกันให้ได้
แสงจันทร์สาดส่องลงมา พอให้เห็นเงาตะคุ่ม ๆ ตามสองข้างทางอยู่ห่างกันประปราย สำหรับชาวไร่ชาวนาอย่างผู้คนดอนผักหวานเดาได้ไม่ยาก ว่าวิวทิวทัศน์ที่รถบัสแล่นผ่านไปนั้นคือท้องทุ่งนา อีกไม่กี่อึดใจ พวกเขาก็จะได้ไปเดินเหยียบย่ำน้ำย่ำโคลนที่ดอนผักหวานกันแล้ว
ตอนนี้มีเพียงกลิ่นหอมของไอดินและกลิ่นหญ้าที่พึ่งผ่านการราดรดของน้ำฝนหลงฤดูเมื่อค่ำคืนที่ผ่านมา กระตุ้นให้คนที่เดินทางมาจากเมืองบางกอกอยากให้ถึงบ้านเกิดเมืองนอนไว ๆ
---- จบตอน ----
แล้วพบกันใหม่เด้อจ้า
ด้วยฮัก งามดอกบัว
ผู้แต่ง งามดอกบัว
สำนักพิมพ์ Diary On Tour
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in