นวนิยายเรื่อง ก่อนตะวันรอน
ตอนที่ นาวาน
ผู้แต่ง งามดอกบัว
สงวนลิขสิทธิ์
บ่าวเขื่อนได้ทรงผมใหม่ตามที่ต้องการ โดยมีช่างทองผู้ชำนาญการตัดผมจาก “ร้านทองบาร์เบอร์” เป็นผู้ตัดให้ บ่าวเชิดเองก็หล่อเหลาไม่แพ้กันเลย ทั้งสองยังครองตำแหน่งบ่าวส่าบ่าวลือแห่งดอนผักหวานเช่นเดิม
“ป้าด! อ้ายเชิดเจ้าคึหล่อแท้? ” เสียงนกแก้วร้องทักบ่าวเชิดมาแต่ไกล หลังจากที่เฝ้าสังเกตมาสักพักว่าชายหนุ่มที่กำลังเตะตะกร้ออยู่สนามกีฬาโรงเรียนนั้นคือบ่าวเชิดจริง ๆ
“ฮ่า ..ฮ่า..” บ่าวเชิดไม่ตอบได้แต่หัวเราะแก้เขิน ที่เด็ก ๆ มาชมแบบนี้
“หึย! ออกหน้าออกตาแท้ดอกเพิ่น” กรีนนี่ขัดคอ
“อ้ายเขื่อน! มะผู้จบผู้งามแท้อ้าย หล่อเข้มตาคม โอ๊ย! หล่อ” กรีนนี่ไม่ยอมอวยส่งบ่าวเขื่อนผู้ชายในสเปคของหญิงสาวหลาย ๆ คนในดอนผักหวานและหมู่บ้านใกล้เคียง
“ว่าแต่มู หึย! ผู้เพิ่นบ่ออกหน้าออกตา” นกแก้วเบ้ปากใส่กรีนนี่ ไม่พอใจที่มาว่าตัวเอง
“อย่ากรี้ดมันคักหลายเด้อน้องหล่า มันสิเหมิดหล่อก่อนเข้าหอเด้” บ่าวเชิดแซวเด็ก ๆ
“เงียบไปเลยมึงหมอ เด็กเล็กเด็กน้อยเขาสิไปฮู้หยังกับผู้ใหญ่” บ่าวเขื่อนทำท่าทางจะเตะเจ้าเพื่อนปากไว
“ถึงสิเป็นเด็กน้อย ข่าวล่ามาแรงกะบ่มีพลาดเด้อค่ะเด้อ” กรีนนี่จีบปากจีบคอพูด ทำสีหน้ารู้ทันบ่าวเขื่อน
“ข่าวหยังวะหญิง? ” นกแก้วดึงแขนเสื้อกรีนนี่เข้ามาถามใกล้ ๆ
“เอ๋า! กะข่าวอ้ายเขื่อนเพิ่นพาผู้ใหญ่ไปขอเอื้อยต้อยนั่นเดะหญิง” กรีนนี้ส่ายหัวกับความล่าช้าของเพื่อนสาว
“เอ้าติ! โอย..ฉันตกข่าวตั้วหนิ” นกแก้วทำตาโต
“เดี๋ยวพ้อหญิงเดอลาข่อยถามอีก” กรีนนี่เสริม
“มื้ออื่นเลย ! แม่นางมาบอกแม่เฮาอยู่ว่าเพิ่นวานหมู่ไปดำนา พ้อกันอยู่นาหญิงเดอลาเด้อ” นกแก้วนัดแนะกับกรีนนี่
กรุ๊งกริ๊ง! กรุ๊งกริ๊ง! กรุ๊งกริ๊ง!
เสียงกระดิ่งฝูงควายของตาสีดังไปทางทุ่งนาฝั่งห้วยแดง ที่นั่นมีต้นขี้เหล็กขึ้นเองตามธรรมชาติเยอะแยะเลย มียอดอ่อนแตกออกมาให้ชาวดอนผักหวานได้เก็บกินกันตลอดทั้งปี ป่าขี้เหล็กแห่งนี้พื้นที่ไม่ใหญ่มากนัก เกิดอยู่บนดอนสันทรายตรงโค้งของห้วยแดงพอดี ชาวบ้านเลยเรียกป่าตรงนี้ว่า “ดอนขี้เหล็ก" จากคอกควายที่อยู่ใต้ถุนบ้านของเดอลาใช้เวลาเดินมาถึงดอนขี้เหล็กไม่นานนัก ราว ๆ สักสิบนาทีแต่ที่ช้าหน่อยก็เห็นจะเป็นฝูงควายของตาสีพ่อของเดอลานี่แหละ ที่คอยยื่นปากตวัดลิ้นรัดยอดหญ้าตามข้างทางไปด้วย ตวัดหญ้าทีเสียงกระดิ่งก็ดังที กรุ๊งกริ๊ง ๆ กันสุดทาง โดยเฉพาะ “อีด่อน” ควายเผือกคู่ใจของเดอลา ชอบแทะเล็มหญ้ามาก ๆ จะแก่จะอ่อนก็">ชอบกิน
เสียงกระดิ่งดังตั้งแต่ต้นทางจนถึงที่หมายของตาสี นั่นก็คือ “ดอนขี้เหล็ก” แต่กว่าจะถึงใช่ว่าจะมีแค่เสียงกระดิ่งเท่านั้น หมาบ้านใกล้เคียงทั้งเห่าทั้งหอน บรรดาไก่ตัวผู้ก็เริ่มขันรับกัน เอ้ก อี้ เอ้ก ! เอ้ก ! ผู้คนแถวนั้นก็ตื่นกันพอดี หลังจากที่ตาสีไล่ฝูงควายมาถึงดอนขี้เหล็กก็รีบจัดการผูกควายไว้กับต้นขี้เหล็กทันที โดยแต่ละตัวให้อยู่ห่าง ๆ กะว่าไม่ให้เชือกควายพันกัน
“เขื่อนไปคาดไฮใหญ่เลยเด้อหล่า มื้อนี้คนสิมาหลายยุ ลุงไถไว้แล้วมื้อแลงวานหนิ ผูกควายแล้วเดี๋ยวลุงไปคาดซอย คาดกับแอกกะอยู่ตาก้าข้างไฮใหญ่หนั่นหล่ะ” ตาสีชี้ไม้ชี้มือบอกบ่าวเขื่อนทำหน้าที่คราดนา
“บ่แล้วกะแป๋แล้วหล่ะเนาะพ่อลุงมื้อหนิ มูข่อยกะสิมาหลายยุ” บ่าวเขื่อนพูดด้วยน้ำเสียงมีความสุข ก่อนที่จะเอาแอกและคราดมาใส่ที่ควายแม่ใหญ่ของตาสี
บ่าวเขื่อนและตาสีคราดนาได้ไม่เท่าไหร่ ชาวดอนผักหวานก็เริ่มทยอยกันมาถึงนาผืนที่จะปักดำต้นกล้าแล้ว ส่วนมากผู้ที่มาก่อนจะเป็นหนุ่ม ๆ สาว ๆ มาถึงที่หมายก่อนก็จะมีเวลาจีบกันเยอะหน่อย ส่วนกลุ่มผู้ใหญ่ส่วนมากจะตามมาทีหลัง ต้องรอให้เสร็จข้าวปลาอาหารมื้อเช้าก่อน
“ว่าที่เขยใหม่คือดู๋คือหมั่นแท้น้อ? ” ตาน้อยร้องแซวบ่าวเขื่อนที่กำลังคราดนาอย่างขะมักเขม้น
“เสี่ยวเขยใหม่กะดู๋กะหมั่นคือกันเด้อลุงน้อย พุ้น! กำลังหาบกล้ามาพุ้น” บ่าวเขื่อนหัวเราะเอิ๊กอ๊ากพอใจกับคำพูดของตน ทุกคนก็พลอยหัวเราะชอบใจไปด้วย
ตุ๊บ!
ที่เสียงมัดกล้าข้าวที่ถูกบ่าวเชิดวางลงในนาที่พร้อมสำหรับปักดำแล้ว โชคดีที่รากของต้นกล้ายึดกับโคลนตมพอดี ไม่อย่างนั้นคงล้มแน่ ๆ
“วางค่อย ๆ แนบักหล่า กล้าสิคอหักเหมิดหล่ะ” ตาน้อยร้องบอก
“บ่หัก ๆ ลุง ข่อยกะคักแล้ว ฮ่า..ฮ่า..” บ่าวเชิดมั่นใจ
“เอ้า ๆ ฟ้าวมา เบิดเจ๋อเบิดเจ้ออยู่หนั่น” ตาน้อยบอกกับทุกคน ก่อนที่ตัวเองจะเดินไปหยิบมัดกล้ามาและเริ่มปักดำ
“อ้ายเชิด! ข่อยไปเฮ็ดแนวกินซ่อยป้านางก่อนเด้อ” สาวขาวร้องบอกบ่าวเชิดคนรัก
“ฟ้าวไป ฟ้าวมาเด้ออ้ายคิดฮอด โอ๊ะ! อ้ายหิวข้าว ฮ่า..ฮ่า” บ่าวเชิดหัวเราจะพอใจ
“หึย! จะแมนสูคักน้อ อายฟ้าอายดินแดนเด้อ ผู้เขาสิได้เป็นใภ้เป็นเขยกันแล้วกะยังบ่ออกหน้าออกตาป่านนี้ ฮึสิแต่งให้มันแล้วพร้อมกันโลดสูหนิ” นายดำผัวรักนางเอ็ดแซวบ่าวเชิด ก่อนที่จะเดินไปเอามัดกล้ามาปักดำข้าง ๆ ตาน้อย
ทางฝั่งแม่ครัวก็กำลังเร่งมือทำกับข้าวกันยกใหญ่ โดยมีแม่นางและสาวต้อยเป็นแม่งาน นางเอ็ด สาวขาวและเดอลาเป็นลูกมือ
“ต้อยเอาผักเอาหญ้าไปล้างอยู่ส่างโลดเด้อค่อยสำบาย ใกล้ ๆ นึงดอก” แม่นางแนะนำสาวต้อย เพราะเห็นว่าล้างผักต้องใช้น้ำค่อนข้างเยอะ ถ้าล้างที่บ้านน้ำคงหมดไหแน่ ๆ
“แม่หนูไปตักน้ำมาใส่ไหให้เด้อแม่” เดอลาอาสาแม่
“เอ้า! ไปกะไป น้ำใกล้สิเหมิดแล้ว” แม่นางตอบก่อนส่งยิ้มหวานให้ลูกสาว
“หญิง! ให้พวกเฮาซ่อนหยัง? ” กรีนนี่และนกแก้วร้องเสนอตัวช่วยงานเพื่อน
“เฮากำลังสิไปตักน้ำ มาทันเวลาพอดีเลย” เดอลายยิ้มแฉ่งด้วยความดีใจ
“หญิงฟ้ามาบ่? ” เดอลาถามเพื่อน ๆ หลังจากที่กวาดสายตาไปรอบ ๆ แล้วไม่มีวี่แววของม่านฟ้า
“มา! แต่นางบอกว่าสิไปดอนหลบภัยก่อน จักอิหยังดอก สงสัยไปหาเก็บเห็ด บ้านอยู่ใกล้ป่าเห็ดกะจั่งสิหล่ะ ฮ่า..ฮ่า..” นกแก้วอธิบายให้เพื่อน ๆ ฟังเพราะเมื่อเช้าเธอผ่านหน้าบ้านม่านฟ้าพอดีและเห็นม่านฟ้ากำลังหิ้วตะกร้าเดินตรงไปยังดอนหลบภัยฝั่งใกล้บ้านม่านฟ้า
“ปะ! ไปตักน้ำกัน ตักแล้วสิได้ซ่อยอิแม่เอาสาดไปปูกินข้าว” เดอลาบอกกับเพื่อน ๆ ก่อนที่จะคว้าหาบครุขึ้นบ่าเดินไปทางบ่อน้ำ ซึ่งมีต้อยกับขาวกำลังล้างผักอย่างขะมักเขม้นวันนี้แม่นางโชว์ฝีมือการทำลาบเป็ดและต้มเป็ดให้ทุกคนที่มานาวานได้กินกัน กว่าที่ทางฝั่งแม่ครัวจะตระเตรียมกับข้าวเสร็จ ทางทุ่งนาก็ดำนาไปได้เยอะแล้ว
“พ่อ ๆ เอาสาดไปปูไสพ่อ? ” เดอลาร้องถามตาสีพ่อของเธอในขณะที่แขนสองข้างกำลังหอบเสื่อจะหล่นแหล่ไม่หล่นแหล่อยู่แล้ว
“เอามาปูใต้ต้นสำสาใหญ่หนิลูกหล่า” ตาสีชี้ไม้ชี้มือบอกลูกสาว
เดอลา กรีนนี่และนกแก้วรีบลงมือปูเสื่อต่อ ๆ กันหลายผืน เพื่อที่จะให้ลุงป้าน้าอาที่มาดำนาวานได้มีที่นั่งบนเสื่อกันทุกคน ซึ่งปรกติก็จะนั่งหันหน้าเข้าหากันเป็นแถวยาวเหยียดเลย กับข้าวก็จัดแบ่งให้แต่ละคนเอื้อมถึงถ้วยจานได้ไม่ยาก แน่นอนว่าวงกับข้าวของผู้ใหญ่และวงของเด็กแยกกันต่างหาก
“โอ๊ย! หญิงฟ้า ฉันนึกว่าเธอสิมานาวานเกี่ยวข้าวติ มาหยังก็สวยแท้? ” กรีนนี่พูดกระแนะกระแหนม่านฟ้า
“จ่มหยังดอก แต่เจ้าภาพคะเจ้ายังบ่จ่มเลย” นกแก้วอดที่จะกัดกรีนนี่แทนม่านฟ้าไม่ได้
“มา ๆ หญิง มาปูสาดซ่อยกัน ใกล้แล้วพอดี” เดอลาเรียกม่านฟ้ามาช่วย เป็นการตัดบทที่เพื่อน ๆ เริ่มเถียงกันแล้ว
“นกแก้วบอกว่าโตไปดอนหลบภัย.. บ่ย่านบ่หญิง?" เดอลาทำสีหน้าอยากรู้อยากเห็น
“บ่เดะหล่ะ นาเฮากะอยู่หนั่น” ม่านฟ้าตอบเสียงเรียบ
เดอลาเคยได้ยินแต่ผู้เฒ่าผู้แก่พูดถึงดอนหลบภัย บ้างก็ว่าเป็นป่าลับแล บ้างก็ว่าเป็นป่าผีสิง บ้างก็ว่าเป็นที่ซ่อนตัวของชาวบ้านในสมัยสงครามโลก หลายต่อหลายเสียงพูดเหมือนกันบ้างไม่เหมือนกันบ้างเธอเองก็ไม่รู้จะเชื่อใครดี แต่ที่แน่ ๆ เธอยังไม่เคยก้าวย่างเข้าไปถึงป่าทางเข้าสถานที่ที่เรียกว่า “ดอนหลบภัย" นี้เลย วันไหนที่เธอได้ยินเพื่อน ๆ ว่าม่านฟ้าเข้าไปในดอนหลบภัย เธอก็อดที่จะเสียวสันหลังไม่ได้
“เป็นหยังหญิงคือเงียบแท้? ” ม่านฟ้าถามเดิมลาหลังจากที่เห็นเพื่อนสาวเงียบไปสักพัก
“หือ …” เดอลาสะดุ้งตื่นจากภวังค์ หลังจากที่โดนม่านฟ้ากระตุกเสื่ออีกฝั่ง จนเธอรู้สึกตัว
“มื้อหน้าถ้าว่างไปใส่บาตรพระอยู่ดอนหลบภัยนำเฮาบ่? ” ม่านฟ้าเหมือนรู้ว่าเดอลาคิดอะไรอยู่ เธอจึงชวนเดอลาไปใส่บาตรด้วยเพื่อบอกให้รู้เป็นนัยว่าที่ดอนหลบภัยมีพระสงฆ์ ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด
“ใส่บาตร! พระมาแต่ไสหญิง? ” เดอลาแปลกใจเรื่องที่มีพระอยู่ที่ดอนหลบภัย
“พระธุดงค์ มาแต่ฝั่งลาวพุ้น เพิ่นเทียวไปเทียวมา มื้อหน้าไปนำกันสิพาไปกราบเพิ่น” ม่านฟ้าอธิบายถึงที่มาที่ไปของพระธุดงค์
แต้ ..แต..แล่นแต้!
แต่.. แล่นแต..! แล่นแต.. แล่นแต้..!
“หมอลำคำก้อน!” เสียงนกแก้วกับกรีนร้องอุทานขึ้นมาพร้อมกันหลังจากได้ยินเสียงพิณ “แต่ แล่นแต” มาแต่ไกล ทั้งคู่ไม่รีรอ รีบวิ่งเข้าไปฟังกลอนลำของหมอลำคำก้อนใกล้ ๆ ทันที ส่วนเดอลากับม่านฟ้าที่กำลังคุยกันเรื่องพระธุดงค์ ที่ปักกลดอยู่ในดอนหลบภัยอยู่นั้นก็ต้องหยุดชะงักทันที เพราะเสียงร้องวี้ดว้ายของกรีนนี้และนกแก้วนี่แหละ
“ได้การหล่ะมื้อหนิหมอ ลุงคำก้อนมาเปิดฮ้านหมอลำนำป่านหนิ เอ้า! หย่าว ๆ ไทพี่น้องหย่าว” บ่าวเชิดไม่พูดปล่าว มือไม้ที่ถือต้นกล้าอยู่ก็เริ่มยกขึ้นฟ้อน ส่วนเอวก็เด้งหน้าเด้งหลังตามจังหวะแคนของหมอลำคำก้อน คนอื่น ๆ ที่เห็นก็ลุกขึ้นมาฟ้อนรำกับบ่าวเชิดด้วย เมื่อกลอนลำของหมอลำคำก้อนร้องจบลง ทุกคนก็ช่วยกันตั้งหน้าตั้งตาดำนากันไป
ตุ้ม ! ตุ้ม ! ตุ้ม !
เสียงกลองเพลของหลวงตาที่วัดดังขึ้นในระหว่างที่บรรดาแม่ครัวทำกับข้าวเสร็จพอดี แม่นางเตรียมอาหารสำหรับถวายเพลด้วย โดยวานให้นางเอ็ดลูกพี่ลูกน้องของเธอนำไปถวายเพลหลวงตาแทน ส่วนแม่นาง สาวต้อย สาวขาวและเด็ก ๆ ก็พากันนำกับข้าวไปเลี้ยงพี่น้องชาวดอนผักหวานที่มาช่วยดำนา และกำลังรออยู่ดอนขี้เหล็กในตอนนี้
“มาเด้อพ่อตู้แม่ตามากินข้าวเด้อ!” แม่นางของเดอลาร้องเรียกให้แขกเหรื่อที่มาช่วยดำนาในงาน “นาวาน” ของตนมากินข้าว
“ไปหมอ! ล้างตีนล้างมือกัน” บ่าวเขื่อนร้องเรียกบ่าวเชิด ให้ไปล้างไม้ล้างมือที่ริมห้วยแดงด้วยกัน คนอื่น ๆ ก็ทยอยตามมาด้วย
ห้วยแดงเป็นลำห้วยที่ตื้นเขิน หน้าแล้งทุกปีน้ำจะแห้งขอด บางจุดที่ลึกหน่อยก็พอจะมีน้ำให้วัวให้ควายได้ดื่มกินบ้าง ชาวบ้านดอนผักหวานก็อาศัยมาวิดน้ำและจับปลาที่ในลำห้วยนี้แหละกิน ส่วนที่แห้งขอดได้ถูกแดดแผดเผาฆ่าเชื้อไปตลอดทั้งหน้าแล้งแล้ว แต่พอเวลาถึงหน้าฝนน้ำจะหลาก ทำให้สิ่งสกปรกต่าง ๆ ตามลำห้วยจะถูกซะล้างไปหมด เวลาหน้าฝนทีไรชาวบ้านดอนผักหวานก็จะมีน้ำในลำห้วยที่ใสสะอาดไว้ใช้ สาว ๆ แทบทุกครัวเรือนจะจะนัดกันมาซักผ้าที่ลำห้วยแห่งนี้ แล้วตามด้วยการอาบน้ำที่นี่ด้วย เดอลาจำได้พ่อสีของเธอหัดให้เธอรู้จักการดำน้ำก็ในลำห้วยแดงนี่แหละ
“หญิง! ไปล้างมือกัน” เดอลาเรียกเพื่อน ๆ ในแก๊งให้ตามไปล้างมือที่ลำห้วยกับผู้ใหญ่ด้วย
“โอ้ว! เห็นปลาบ้อนบ่ทางพุ้น!” บ่าวเขื่อนชี้มือให้ทุกคนดูน้ำที่กระเพื่อมเป็นวงกลมขยายใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ และราบเรียบลงจนเท่ากับระดับผิวน้ำส่วนอื่น ๆ
“ได้การหล่ะมื้อแลง ดำนาวานแล้วเลยไปหาเหงี่ยใส่เบ็ดมื้อแลงเฮา” บ่าวเขื่อนบอกกับเพื่อนเกลอ
“บ่! มีพลาดขอรับ ฮ่า ..ฮ่า..” บ่าวเชิดพูดไปหัวเราะไป ก่อนที่จะกวักน้ำใส ๆ เย็น ๆ จากลำห้วยแดงขึ้นมาล้างโคลนออกไปจากแข้งขา
“มาแล้วเด้อพี่น้อง ไผบ่ทันมีหม่องนั่งมาทางพี้เด้อ เหลือสาดหลายอยู่หนิ แนวกินแนวอยากกะหย่ายมาไว้แล้ว” แม่นางร้องบอกทุกคนอีกครั้งวงพาข้าวเวลามีคนเยอะ ๆ แบบนี้ก็จะปูเสื้อเป็นแนวยาวทุกคนหันหน้าเข้าหากัน ผู้เฒ่าผู้แก่จะนั่งใกล้ ๆ กัน หนุ่ม ๆ ก็จะรีบจับจองให้ได้ที่นั่งใกล้ ๆ กับสาว ๆ ที่ตัวเองแอบหมายปอง พอที่จะได้หยอดคำหวานให้สาวเจ้าง่าย ๆ ส่วนเด็ก ๆ เองก็จับกลุ่มใกล้ ๆ กันไม่ต่างจากผู้ใหญ่ กินไปคุยกันไปหัวเราะกันไป
ใต้ต้นสำสาริมห้วยแดง ณ เวลานี้อบอวลไปด้วยความสุข เสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะดังไปทั่วดอนขี้เหล็กเลยทีเดียว ทุกคนกินมื้อเที่ยงนาวานด้วยลาบเป็ดและต้มเป็ดอย่างเอร็ดอร่อย ก่อนที่จะไปดำนาต่อ ถึงแม้ว่าวันนี้นาของพ่อสีและแม่นางของเดอลาจะไม่แล้วเสร็จ แต่ก็เหลืออีกไม่เยอะคนที่บ้านปักดำกันเองอีกวันสองวันก็เสร็จแล้ว
ส่วนบ้านไหนจะวานเพื่อนบ้านไปดำนาช่วย ก็จะเกริ่นในนาวานที่กำลังช่วยกันนี่แหละ หลังจากนั้นผู้ใหญ่ในบ้าน ส่วนมากก็จะเป็นพ่อกับแม่ ก็จะตามไปบอกกล่าวเป็นทางการอีกทีที่บ้าน ว่าตัวเองจะดำนา อยากจะวานให้ไปช่วยเหลือหน่อย อย่างที่บ้านของเดอลาวันนี้ ที่พ่อสีและแม่นางของเธอได้วานเพื่อนบ้านมาช่วยดำนานั่นเอง พ่อสีและแม่นางได้ทำลาบเป็ดกับต้มเป็ดเลี้ยงเป็นการตอบแทนน้ำใจทุกคนที่มาช่วยดำนา ซึ่งเป็นการแลกเปลี่ยนน้ำใจซึ่งกันและกัน โดยไม่ต้องเสียเงินเลย ชาวบ้านดอนผักหวานพึ่งพาอาศัยกันแบบ นี้มาโดยตลอด ถึงไม่ร่ำรวยเงินทองแต่ก็ไม่ขัดสน ในน้ำมีปลาในนามีข้าว ใครอยากจะทำอะไรก็ไหว้วานกันได้
ตอนนาวานนี้ผู้อ่านจะได้สัมผัสชีวิตของชาวไร่ชาวนาที่พึ่งพาอาศัยกัน โดยการใช้น้ำจิตน้ำใจ น้ำพักน้ำแรงของชาวดอนผักหวานเอง
นาวาน คือ การไหว้วานญาติสนืทมิตรสหายไปช่วยทำนานั่นเอง
---- จบตอน ----
แล้วพบกันใหม่นะคะ
ด้วยฮัก งามดอกบัว
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in