เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
My First Storyhashine_miharu
ในโลกแห่งนั้น ฝนตกทุกวันพฤหัส
  •        แกร่ก แกร่ก แกร่ก

           แปลกไหมถ้าฉันจะได้ยินเสียงเข็มนาฬิกาดังแบบนี้ ไม่ใช่ ติ๊ก-ต่อก-ติ๊ก-ต่อก แบบที่คนอื่นได้ยิน นาฬิกาโง่ ๆ ที่ซื้อมาจากร้านขายทุกอย่างหกสิบบาทของฉันไม่ได้ส่งเสียงเช่นนั้น หรือเพราะมันเป็นนาฬิการาคาแสนถูกกระมัง มันจึงส่งเสียงไม่เหมือนชาวบ้านเขา ฉันหันไปมองนาฬิกานั่น ทุกอย่างที่ประกอบขึ้นมาเป็นตัวนาฬิกาล้วนแล้วแต่ดูจืดชืด ทุกส่วนของมันกรีดร้องป่าวประกาศถึงความธรรมดาและความไร้รสนิยมอย่างที่สุด


           ถึงสีเหลืองแป๋นแหลนของมันจะดูทุเรศทุรังเฉิ่มเชยเพียงใด มันก็ยังคงวางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงของฉันอยู่อย่างนั้นโดยที่ฉันไม่คิดจะโยนทิ้ง แต่ก่อนที่คุณจะเดาทุกอย่างผิดไปไกล ฉันจะบอกไว้ตรงนี้ว่านาฬิกานี่ไม่ใช่ของสำคัญหรือมีเรื่องราวความทรงจำใด ๆ แฝงอยู่เลยสักนิด ใครมันจะบ้าซื้อนาฬิกาทุเรศอย่างนี้ให้กันเป็นของขวัญ ในนาทีที่นาฬิกานี้ถูกหยิบลงตะกร้าใส่ของช้อปปิ้งนั้น สาบานได้ว่าไม่มีการใช้เซลล์สมองสักเซลล์ให้เปลืองเปล่า


           อย่างไรเสีย เจ้านาฬิกานี้ก็มีข้อดีของมันอยู่เหมือนกัน ในตอนเช้า ฉันมักตั้งปลุกไว้ และเวลาที่ฉันป่ายมือเปะปะด้วยความงัวเงีย พยายามอย่างยิ่งที่จะหยุดเสียงกรีดร้องที่ไม่น่าฟังพอ ๆ กันกับหน้าตาของมันที่ไม่น่าดู ในตอนนั้นเองฉันมักจะทำมันหล่นลงพื้นเสมอ อันที่จริง เสียงที่ปลุกฉันขึ้นจากนิทรารมณ์ได้อย่างแท้จริงน่าจะเป็นเสียงนาฬิกาหล่นกระทบพื้นมากกว่าที่จะเป็นเสียงปลุกโดยตัวมันเอง ถ้าเป็นนาฬิกาแพง ๆ ฉันคงจะตีอกชกหัวตัวเองตายไปนานแล้ว แต่ด้วยความที่มันเป็นนาฬิกาอัปลักษณ์นี่ ฉันจึงไม่ต้องใส่ใจมันมากเท่าไหร่ น่าประหลาดที่แม้มันจะตกพื้นนับครั้งไม่ถ้วน แต่มันก็ยังไม่พังสักที


           เข็มนาฬิกาบอกให้รู้ว่าเหลือเวลาอีกครึ่งชั่วโมง วันนี้ก็จะสิ้นสุดลง วันที่ฉันจะมาทำกิจวัตรเดิม ๆ ซ้ำ ๆ ในทุกปี เหมือนเป็นพิธีกรรมสำคัญอะไรบางอย่าง พิธีกรรมที่ว่านั่นก็คือการจ้องมองบนหน้าจอโทรศัพท์อย่างโง่เง่า


           ฉันยังอยู่ในอิริยาบถเดิม คือนอนอยู่บนฟูกนอน มือสองข้างตั้งท่าจะพิมพ์ข้อความในโทรศัพท์ แว่วเสียงฟ้าร้องครืน ๆ ดังมาจากที่ไกล ๆ ฝนโปรยปรายตลอดวันและยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด


           เคยเขียนหนังสืออะไรต่อมิอะไรมามากมายก็หมดความหมายลงในวันนี้เอง ฉันนึกอเนจอนาถใจที่พิมพ์ข้อความออกมาไม่ได้แม้สักประโยค แต่ลึก ๆ ในใจฉันรู้ดี ปัญหาอาจไม่ได้อยู่ที่ทักษะในการเขียน แต่เป็นเพราะอิทธิพลจากชื่อคนที่ฉันกำลังจะส่งข้อความไปถึงต่างหาก


           ตัวอักษรธรรมดา ๆ ที่เรียงกันอยู่ไม่ถึงห้าตัวทรงพลังพอที่จะก่อความโกลาหลขึ้นภายในจิตใจ


           หลังจากความพยายามครั้งที่ล้านกว่าล้มเหลว ฉันโยนโทรศัพท์ลงบนเตียงอย่างหงุดหงิด ลุกขึ้นเดินไปยืนริมระเบียง จ้องมองสายฝนรินอยู่เงียบ ๆ


           ทุกอย่างดูเป็นสีทึมเทาไปหมด แม้จะมีแสงไฟเรื่อเรืองสว่างอยู่บ้างในบางที่ แต่แสงไฟเล็กกระจ้อยร่อยเหมือนหิ่งห้อยเหล่านั้นก็ไม่อาจต่อกรกับความอึมครึมหม่นมืดที่ฤดูฝนนำมามอบให้มหานครแห่งนี้ได้ แสงเล็กจ้อยรังแต่จะริบหรี่ลงเรื่อย ๆ


           พระเจ้า เทพีแห่งฤดูฝน พระพิรุณ พญาแถน หรืออะไรก็ตามคงจะรักเมืองนี้น่าดูชม ถึงได้ขยันเทห่าฝนลงมาทุกวันขนาดนี้ ฉันหัวเราะให้กับความคิดของตัวเอง


           ช่างประชดประชันเสียเหลือเกินนะ เสียงของใครบางคนแว่วมา ดังขึ้นในอีกโลกหนึ่ง หาใช่ในโลกแห่งความเป็นจริง


           ในโลกแห่งนั้น ฉันพูดประโยคที่คล้ายกันนี้ แต่ไม่ใช่ด้วยความรู้สึกที่ต้องการประชดเสียดสีหรือระบายความหงุดหงิด


           ในโลกแห่งนั้น ฝนตกทุกวันพฤหัส


           เทพเจ้าจากปกรณัมใดจะเป็นผู้นำพาสายฝนมา ฉันไม่ได้ใส่ใจเท่าไรนัก สายฝนอาจนำพามาซึ่งความหนาวเหน็บ แต่ถ้าเป็นสายฝนในวันพฤหัส แม้หนักหน่วงเนิ่นนานเพียงใดก็เป็นเพียงแค่ความเย็นสบาย


           ทั้งไออุ่นจากมือที่กอบกุม และจากผิวกายที่เฉียดกันไปมาภายใต้ร่มคันเดียวกันเพียงพอที่จะลบเลือนความเหน็บหนาว นึกอยากโยนร่มยิ้มเย้ยให้กับผู้นำพาสายฝน ผู้แพ้พ่ายเนื่องจากไม่อาจพาเอาความเหน็บหนาวชำแรกผ่านความอบอุ่นนี้มาได้แม้เพียงกระผีกริ้น แต่การกระทำนั้นคงไม่เกิดประโยชน์อันใดนอกจากความสาแก่ใจ เหตุใดจึงต้องทำเช่นนั้นในเมื่อมีสิ่งอื่นที่น่าทำมากกว่า ประสาทสัมผัสเปิดรับรู้สิ่งต่าง ๆ รอบตัว ค่อย ๆ ถักทอร้อยรัดเป็นความทรงจำ สลักทุกรายละเอียดลึกลงในห้วงสำนึก คงทนแน่นนานยิ่งกว่าจารึกใด ๆ


           ความทรงจำเกี่ยวกับกลิ่นเป็นความทรงจำที่แปลกกว่าความทรงจำประเภทอื่น ความเป็นกลิ่นต่าง ๆ ดูเหมือนปราศจากความหมายสมบูรณ์ในตัวเอง หากจะให้อธิบายกลิ่นสักกลิ่น นอกจากการนิยามอย่างกว้าง ๆ ว่าเป็นกลิ่นที่หอมหรือเหม็น จำเป็นต้องยึดโยงตัวตนของกลิ่นนั้น ๆ เข้ากับสิ่งอื่น ๆ เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน แต่น่าแปลกที่สิ่งซึ่งมีตัวตนอันพร่าเลือนล่องลอยเช่นนี้กลับปรากฏแจ่มชัดในมโนสำนึก ชัดเจนยิ่งกว่าภาพความทรงจำชิ้นใด กลิ่นหอมกำจายของน้ำยาปรับผ้านุ่มที่ติดอยู่บนเสื้อสีขาวของเธอในวันนั้นกลบกลิ่นดินชื้นที่ไม่น่าอภิรมย์เสียสิ้น เป็นกลิ่นที่ชวนให้รู้สึกสบายใจ ชวนให้นึกถึงความเยาว์วัย สะอาด บริสุทธิ์และแสนสดใส


           ตัวเราทั้งสองในโลกแห่งนั้นยังเยาว์นัก ฉันมองตัวฉันอีกคนในนั้นกระทำการละเล่นโง่เง่า เริ่มด้วยการจับมือของเธอขึ้นมา ประสานมือเราสองเข้าด้วยกันแล้วคลายออก ก้มดูลายมือ เห็นว่าลายมือของเราเรียงเป็นเส้นยาวต่อกัน นัยน์ตาคู่นั้นมีความลิงโลดดีใจอยู่เล็ก ๆ เพราะนั่นคือความเชื่อที่ฉันเคยได้ยินมา หากประสานมือกันแล้วคลายออก ถ้าเห็นเส้นลายมือเรียงต่อกันก็หมายถึงเป็นเนื้อคู่กัน


           ฉันส่ายหน้าเบา ๆ


           ในตอนนั้น อาจจะเป็นฉันเพียงคนเดียวก็ได้ที่ยังเยาว์และแสนซื่อ


           วันเวลาในโลกใบนั้นผ่านไปอย่างเชื่องช้า จนฉันไม่เคยคิดถึงวันที่โลกนั้นจะแตกดับ คุณเคยจินตนาการถึงการสูญสลายของอะไรบางอย่างบ้างหรือไม่ สิ่งของรอบตัว ต้นไม้ที่คุณปลูก สัตว์ที่คุณเลี้ยง คนในครอบครัวของคุณ อะไรก็ตามที่คุณเห็นอยู่ทุกวัน คุณรู้ไหม การได้เห็นอยู่ทุกวันแบบนั้นนั่นแหละคือภัยร้ายที่ซ่อนตัวอยู่อย่างเงียบเชียบ เป็นเหมือนกับดักที่หลอกให้คุณตายใจ


           ทุกคนรู้ดีว่าไม่มีอะไรอยู่ยืนยง แต่จะมีสักกี่คนที่จับเค้าลางแห่งความสิ้นสูญและรับมือได้ทันท่วงที ภายใต้ห้วงปกติวิสัยที่ดำเนินอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เป็นไปได้หรือไม่ว่าสิ่งต่าง ๆ อาจกำลังส่งสัญญาณอะไรบางอย่างถึงเราทุกคนอยู่เงียบ ๆ อาจเป็นเพียงจุดดำเล็ก ๆ บนใบสีเขียว อาจเป็นความเคลื่อนไหวที่ผิดแปลกไปเพียงนิด อาจเป็นรอยแตกเล็ก ๆ ขนาดเท่าเส้นผมที่ปรากฏบนถ้วยกระเบื้องเคลือบ แต่ด้วยความที่เห็นสิ่งเหล่านั้นจนเจนตา ทำให้เราไม่ใส่ใจจะพินิจในรายละเอียดปลีกย่อย กว่าจะรู้ตัว ทุกอย่างก็พลันสูญสลาย


           โลกที่มีฝนตกในทุกวันพฤหัสของฉันก็ไม่ต่างกัน


           จุดจบมาถึงโดยที่ฉันไม่คาดคิด ไม่มีเวลาให้อาลัยคร่ำครวญ เหมือนละครที่เล่นอยู่แล้วจู่ ๆ ก็มีใครดึงม่านปิดเอาเสียดื้อ ๆ ทิ้งไว้เพียงความสับสนงุนงง ในตอนนั้นฉันไม่ทันรู้เลยด้วยซ้ำว่านั่นเป็นเวลาที่ควรจะเศร้า กว่าที่จะประมวลความรู้สึกได้ เวลาก็ล่วงเลยผ่านไปนาน


           หลังจากนั้นเอง ฝนที่เคยตกทุกวันพฤหัสในโลกแห่งนั้น ก็ย้ายมาตกในใจฉันโดยสมบูรณ์


           เธอเดินจากไปพร้อมกับร่มในมือ ไออุ่นพลันจางหาย เสียงฝีเท้าที่ค่อย ๆ เบาลงแต่ละก้าวกรีดลึกในโสตสัมผัส ดังก้องสะท้อนในใจไม่รู้จบ


           เธอไม่เคยหวนกลับมา


           ฉันผู้เคยถือดียิ้มเยาะสายฝนในวันนั้นกลายเป็นผู้พ่ายแพ้อย่างหมดรูปในวันนี้ ห่าฝนและความหนาวเหน็บถาโถมเข้าหาราวกับเคืองแค้นตัวฉันผู้หยิ่งผยอง


           บ่อยครั้งที่ฉันล่องลอยไปยังโลกที่มีฝนตกทุกวันพฤหัส เฝ้าเวียนวนตามหาสิ่งที่ไม่เคยมองเห็นอยู่ร่ำไป สิ่งใดคือจุดแปรผัน สิ่งใดนำมาซึ่งการล่มสลายของโลกใบนี้ อาจเป็นรอยร้าวเล็กในแววตาของเธอที่ฉันไม่เคยสังเกตเห็นมาก่อน อาจเป็นความบิดเบี้ยวในรอยยิ้ม ความแปร่งในน้ำเสียงยามเอ่ยถ้อยคำ แต่ก็ไม่เคยพานพบ ภาพของเธอในโลกใบนั้นเจิดจ้าเรืองรองเปล่งประกาย


           เราเคยเจอกันโดยบังเอิญ มีความกระอักกระอ่วนปั่นป่วนโรยตัวอยู่รอบเราสองคน เธอพูดถึงเรื่องหนังสือที่ฉันเคยให้เธอยืม เธอต้องการจะนำมาคืน ฉันปฏิเสธ บอกปัดไปว่าไม่เป็นไร ถือว่าให้ไปเลยแล้วกัน ทั้ง ๆ ที่จริงมีเหตุผลซ่อนอยู่ในการกระทำนั้น


           นั่นเป็นการแก้แค้นเล็ก ๆ ของเด็กน้อยคนหนึ่ง ฉันหวังเพียงว่าทุก ๆ ครั้งที่เธอมองไปบนชั้นหนังสือ หนังสือเล่มนั้นจะย้ำเตือนให้เธอนึกถึงโลกที่มีฝนตกทุกวันพฤหัส หวังให้มันรบกวนเธอ กวนตะกอนความขุ่นข้องภายใต้ก้นบึ้งแห่งจิตใจให้ฟุ้งกระจาย ให้เธอวุ่นวายใจจนต้องกระเสือกกระสนย้อนกลับไปในโลกแห่งนั้นเหมือนกับฉันบ้าง


           ระหว่างบทสนทนาธรรมดา ๆ ที่กำลังดำเนินไป หลายครั้งที่ฉันสบสายตาเธอ ฉันพยายามสืบเสาะหาร่องรอยของโลกที่มีฝนตกในวันพฤหัสในดวงตาคู่นั้น ทว่าเมื่อจ้องมองลึกลงไป ฉันกลับไม่พบร่องรอยใด ๆ อย่างที่หวังไว้


           ราวกับว่าโลกแห่งนั้นไม่เคยมีอยู่จริง


           ในตอนนั้นฉันตระหนักได้ทันทีว่ามีตัวฉันเพียงผู้เดียวที่ไม่เคยเติบโตขึ้นเลยแม้เพียงนิด ฉันยังเป็นเด็กน้อยคนเดิมคนนั้นที่ประสานมือเข้ากับมือของเธอเพื่อหาเส้นลายมือ เด็กน้อยที่ยังยึดติดกับไออุ่นที่เคยได้รับ 


           แม้โลกที่มีฝนตกในวันพฤหัสจะสูญสลายไปนานแล้ว แต่ฉันยังคงหนาวเหน็บด้วยฝนที่ตกต้องเป็นนิจนิรันดร์ในใจ อีกทั้งไหลหลั่งจากสองตา ยิ่งไปกว่านั้น ฟ้าเบื้องบนยังกระหน่ำซ้ำเติมอย่างไร้ซึ่งความปรานี 


           แล้วฉันจะทำอะไรได้นอกจากอ้าแขนรับมันไว้ 


           ทว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา ฉันไม่เคยรู้สึกชินหรือรู้สึกว่าตัวเองกล้าแกร่งพอที่จะต้านทานความหนาวได้เลย


           ฉันเพียงเรียนรู้ว่าความหนาวเหน็บอาจเลวร้าย แม้ทำให้เนื้อตัวเย็นเยือก สั่นเทาจนก้าวเดินต่อไปข้างหน้าได้อย่างยากลำบาก แต่กายที่ยังไหวระริก เสียงสะอื้นที่เล็ดลอดจากริมฝีปาก ความรู้สึกวูบโหวงในอก รวมถึงความเจ็บแปลบที่แล่นไปทั่วสรรพางค์กาย ทุกอย่างล้วนเป็นเครื่องย้ำเตือนว่าฉันยังมีชีวิตอยู่ และฉันยังคงต้องก้าวเดินต่อไปแม้ไม่รู้ว่าจุดมุ่งหมายอยู่ที่แห่งหนใด



Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
notnutdanai (@fb8062996460736)
I wish you the best always.