เทอมนี้ขึ้นปี 2 มาเจอวิชาเอกอังกฤษแบบจริงๆ จังๆ ครั้งแรก นาทีที่ยื่นเอก รู้สึกปลงมากอะ เสียวด้วย กลัวเป็นการเลือกมาตาย T v T ปรากฏว่าวิชาเอกเทอมแรกก็ไม่ได้หนักหนาสาหัสเท่าที่คิด (พูดไม่ได้เต็มปากจริงๆ เพราะเกรดยังไม่ออก ทุกอย่างเคว้ง) สนุกก็มีบ้าง แต่ถ้าความยากอะแน่นอน เรารู้สึกว่าต้องใช้เวลาปรับตัวอย่างมากกับทุกๆ คลาส ต้องตามอาจารย์ให้ทัน และต้องหัดแบ่งเวลา ซึ่งเราไม่ชินกับการจัดระเบียบชีวิตเลย แต่ไม่จัดเดี๋ยวชีวิตจะชิบหายวายป่วงไปกว่านี้... เทียบกันแล้ววิชาโทมีความสุขและบันเทิงกว่ามากๆ ช่วยชุบชีวิตในแต่ละสัปดาห์ orz ปิดเทอมแล้วก็เป็นเวลาของรีวิว มีมิชชั่นจะรีวิวทุกเทอมไปจนเรียนจบ ใครที่เคยอ่านแล้วอ่านต่ออีกเทอมก็อย่าเพิ่งเบื่อกันไป หรือเบื่อก็ได้ ไม่บังคับจิตใจ ๕๕๕๕๕๕
*คำเตือน: รีวิวเป็นเพียงความเห็นส่วนบุคคล และ "...คนที่อ่านรีวิวพึงตระหนักที่ส่วนนี้ แล้วถ้าเชื่อตามนั้นแล้วผลไม่ตรง อย่าโวยวาย ปัจจัยเยอะแยะที่จะทำให้ผลออกมาไม่เหมือนกัน รีวิวจะให้ผลซ้ำได้ใกล้เคียงสุดก็ต้องทำให้ทุกอย่างแทบจะเหมือนกัน...อย่าลืมว่าการใช้รีวิวเป็น inductive reasoning เท่านั้น" (อ.วศิน,2017)
1. Plants and Humanity (GEN-ED หมวดสหศาสตร์)
2. Thai Civilization (ไทยซีฟ)
✎ สอบข้อช้อยส์ 40 ข้อ เขียนอีกราวๆ 5 ข้อ มีมิดเทอมกับไฟนอล คะแนนส่วนอื่นมาจากรายงานกลุ่มและการไปทริปทัศนศึกษา
✎ เรียนอารยธรรมไทยทุกด้าน ครึ่งเทอมแรกเน้นศิลปะ สถาปัตยกรรม การปกครอง สังคม ฯลฯ ของช่วงทวารวดีไปจนสิ้นสุดอยุธยา และครึ่งเทอมหลังเน้นไปที่การเมือง เศรษฐกิจ ของประเทศไทยยุคหลังอยุธยา ผสมกับพาร์ทอื่นๆ เช่น การร้องรำ วรรณกรรม วิถีชีวิตไทย ฯลฯ
เรียนห้องใหญ่ 503 อาจารย์ผลัดกันมาสอนหลายท่านมาก แต่คนที่สอนเป็นเรื่องเป็นราวสุดคือ อ.ดินาร์ ในขณะที่พาร์ทศิลปะนั้นพังมาก บรรยายงงไม่ปะติดปะต่อเลย จะจดลงสมุดยังยากเลยอะ orz กลายเป็นไม่ได้เรียน มา miracle เอาตอนใกล้ๆ สอบ มันไม่เหมือนอีสซีฟหรือเวสซีฟที่ยังพอมีความสนุก แต่วิชานี้เรียนกันยาวๆ ไป 3 ชั่วโมง อยากประท้วงมากว่าให้เวลาเยอะแต่ก็ไม่ได้เรียนกันหร--
ในส่วนของข้อสอบ ออกแบบปนๆ กัน ทั้งในหนังสือและในสไลด์ ตามวิถีคนเทก็เลยพึ่งเลกเชอร์สรุปพี่มายด์จากร้านพี่ดาว ๕๕๕๕๕ เราชอบมาก พี่มายด์สรุปดี ช่วยชีวิตเราไว้ได้จริงๆ
ครึ่งเทอมแรก เนื้อหาเยอะ ข้อสอบช้อยส์หลอกเยอะ ข้อสอบเขียนไม่ค่อยยาก ค่อนข้างตรงกับที่อ่านมา
ครึ่งเทอมหลัง เนื้อหาสนุกขึ้น หลากหลายขึ้น ข้อสอบช้อยส์ตรงไปตรงมา แต่ว่าข้อเขียนไร้ปรานีมาก ตั้งโจทย์ซะกว้างงงง ตอบกันไม่ถูกเลย เวลา 2 ชม. ช้อยส์ 40 ข้อ เขียนอีก 5 ข้อ เขียนมือหงิก มีข้อนึงเหลือแค่ 10 นาทีในการเขียนตอบ (และเพื่อนบางคนก็เพิ่งเริ่มข้อสุดท้ายใน 5 นาที...) แถมที่บอกให้ไปอ่านก็ไม่ออก หลอกกันนี่นา โหดเหี้ยมเว่อ
แต่ถ้าพูดกันเรื่องความยากง่ายรวมๆ คิดว่าอ่านๆ มาก็ทำได้บ้างแหละ...เนอะ ได้เถอะ บอกตัวเอง T w T
ครึ่งเทอมแรก = ความทรมาน เพราะอาจารย์เน้นสถาปัตยกรรม ศิลปะไทย เหมือนฟังอาจารย์อธิบายไปเรื่อยๆ ไม่ประทับใจแรง
ครึ่งเทอมหลัง ดีขึ้นมาหน่อย อาจารย์ดินาร์สอนโอเค เค้าอธิบายค่อนข้างเคลียร์ แถมเป็นส่วนของการเมือง ซึ่งสนุกด้วยตัวมันเอง แต่พอเป็นอาจารย์คนอื่นสอนเราก็กลับมาเหี่ยวๆ แห้งๆ แหะๆ ไปกันไม่รอดจริงๆ
ปัญหาหนักสุดในวิชานี้คือความไม่สนใจของเราเอง ความไม่มีแรงจูงใจจะเรียน ยิ่งเรียนยิ่งเบื่อ ไทยซีฟคะ น้องไม่ใช่เดอะเฟส
3. Introduction to English Sound System and Structure (ซาวน์สตรัค)
เนื้อหาและรายละเอียดคร่าวๆ
เทอมก่อนบอกว่าจะไม่ลงสายภาษาศาสตร์อีก หนีไม่พ้นค่ะ... วิชาเอกบังคับเรียน i_i วิชาที่ทำคนบ่นกันว่าตาแตก ทั้งอ่านทั้งฟัง เมาไปหมด
✎ สอบ written exams มิดเทอมและไฟนอล สอบ listening และ pronunciation อีก 10% มีคะแนน attendance มาจากการส่งงาน (วิชานี้แบบฝึกหัดเยอะ) การเข้าเรียน และอื่นๆ
✎ เนื้อหาคือมาทำความรู้จักระบบเสียง (Phonology) เรียนการ transcribe (ถอดศัพท์ออกมาเป็นคำอ่านอังกฤษนั่นแหละ) word stress, intonation, ระบบหน่วยคำ (Morphology) ครึ่งเทอมหลังเรียน Syntax เบื้องต้น ส่วนต่างๆและ function ของมันในประโยค
การเรียนการสอน
เราเรียนเซค อ.ปรีมา ผู้เป็น Course co ของวิชานี้ และเป็นหัวหน้าภาคอิ้ง แต่สอนตลกนะ ตลกเป็นธรรมชาติ เหมือนเรียนกับผู้หญิงวัยกลางคนที่ใจดี มีอ๊องๆ นิดนึง ๕๕๕๕ แต่พอท้ายๆ เทอม เราเริ่มเรียนแบบง่วงๆ Syntax ใช้สมาธิเยอะเกินไป กลับบ้านไปฝึกเองสมองจะ active กว่า T v T ถามว่าสอนดีไหม อาจารย์สอนไวอะ หัวต้องตื่น พร้อมจะรับแล้ว ไม่งั้นจะตามไม่ทัน แต่อธิบายและยกตัวอย่างดี ชอบบอกข้อสอบ ให้ข้อสอบมาทำด้วย ใจดีมากๆ และถ้าโดนเค้าด่าจงคิดว่าเค้าก็ด่างี้ทุกคนแหละ แม้แต่ตอนด่าเด็กยังตลกเลย ๕๕๕๕
สำหรับพาร์ท Phonology ทุกอย่างดูไปเร็ว transcription ก็ต้องไปฝึกเอง ในห้องได้แตะนิดเดียว มี quiz (ไม่เก็บคะแนนความถูกต้อง แค่ส่ง) สัปดาห์ละ 1-2 ใบงาน เน้นฟังและถอดเสียงให้ถูก ซึ่งยากมากสำหรับเราที่ไม่ได้คุ้นเคยกับการสปีคอิ้งขนาดนั้น
พาร์ท Syntax แม้จะน่าเบื่อแต่ชีวิตดีขึ้นมาพอสมควร มันใช้ความรู้เรื่อง grammar เดิมมาช่วยได้ พูดตรงๆ ว่า Syntax เหมือนเรียนเอาไปสอนพิเศษเด็กอะฮือ ๕๕๕๕๕๕ ส่วนตัวชอบ Morphology เป็นพิเศษ แยกหน่วยคำย่อยแล้วย่อยอีก สนุกดี
ข้อสอบเหมือนแบบฝึกหัดที่เค้าให้มาทำอยู่เรื่อยๆ เป็นวิชาที่ไม่โลดโผนนัก
ความคิดเห็นส่วนตัว
❥ ความยาก
ยากสำหรับเรา ยากสุดในบรรดาวิชาเอกเทอมนี้ พอเข้าช่วงสอบเราจะเครียดซาวน์มากกก เพราะเนื้อหาเยอะ เนื้อหาแน่น ข้อสอบสารพัดนึก มีหลายสไตล์ที่ต้องเจอ หลายหน้าด้วย ไฟนอล 11 หน้าเลยทีเดียว ครึ่งเทอมแรกยากจริง พาร์ท transcription และพาร์ทวงกลมว่าคำไหนสระ/พยัญชนะต่างจากข้ออื่น แล้วคะแนนหักกันแหลกมาก ตรวจยิบย่อย
แต่ครึ่งเทอมหลังไม่ค่อยทำร้าย พอเข้าใจวิธีแยกส่วนประโยคว่าอันนี้ structure ไหน function อะไรแล้ว ก็จะพบว่าแบบฝึกหัดกับข้อสอบคล้ายๆ กัน เนื้อหาซ้ำๆ เดิมๆ เปลี่ยนวิธีหรือเปลี่ยน focus ในการถามเฉยๆ ในขณะเดียวกันบางคนก็เบื่อ syntax มาก แต่เราว่า phonetics ยากกว่าเยอะ ใช้บุญเก่า orz
❥ ความชอบ
ให้เป็นวิชาเอกที่ประทับใจค่อนข้างน้อย เรียนได้นะ ไม่ได้แย่ ย้อนแย้งอะ คือไม่อยากเรียนภาษาศาสตร์ต่อแล้ว จำเยอะ แต่ก็มีบางชั่วแวบที่อยากลง Syntax หรือ Phonetics ตัวต่อไป อย่างไรก็ตาม การเรียนตัวภาษาอังกฤษลึกแบบนี้เหมาะกับสายนักวิชาการ สายอาจารย์ ไม่ปฏิเสธว่าช่วยในเรื่อง skills แบบองค์รวม แต่ถามว่าจำเป็นไหม คิดว่าเรียนตัวอินโทรก็พอ อันนี้พูดแบบโนสนโนแคร์กระแสหลักเลยนะที่ชอบบอกให้ลงๆๆๆๆๆ เพราะถ้าไม่ชอบจะไปนั่งซัฟเฟอร์ทำไมอะเนอะ T v T
ในด้านการเรียนการสอน รวมๆ จอย แต่ไม่ถึงกับว้าว เราหลับไปตั้งสองสามคาบ หลับแบบชีวิตนี้ไม่เคยง่วงขนาดนี้
สิ่งที่สนุกสุดในวิชาคือแบบฝึกหัด พอเราเข้าใจกลไกบางอย่างแล้วเราก็ปลดล็อกด่านต่อไปเรื่อยๆ เหมือนเล่นเกมอะ ๕๕๕๕๕๕๕
❥ ข้อความสุดท้ายถึงวิชานี้
แนะนำให้ลง เป็นวิชาเอกที่เปิดโลกสุดในเทอม แต่ขอเถอะ ซาวน์สตรัคอย่าโหดร้ายให้มันมากไป
4. English Reading skills (อิ๊งรี้ด)
เนื้อหาและรายละเอียดคร่าวๆ
✎ Pop quizes 2 ครั้ง สอบ reading tests 2 ครั้ง vocab อีก 2 ครั้ง summary/assignment อีก 2 งาน สอบ external reading ซึ่งปีนี้เราได้อ่าน Before the fall ของ Noah Hawley มี oral discussion 2 ครั้งเกี่ยวกับเรื่องนี้นี่แหละ มีสอบไฟนอลยาวๆ ไป 3 ชม. ยังไม่รวมงานและแบบฝึกหัดที่ต้องไปทำเพื่อเรียนแต่ละคาบ
✎ เรียนการอ่านบทความในเวลาอันสั้น ส่วนใหญ่ก็เป็นบทความตาม New York Times, The Guardian เว็บข่าวทั้งหลาย เรียนจับใจความมาเขียน summary กับ Textual analysis สรุปว่าก็อ่าน อ่าน อ่าน และท่อง vocab เข้าไป
การเรียนการสอน
ดูๆ แล้ว ก็เหมือนจะเป็นวิชาที่ยุ่ง งานเยอะ ซึ่งก็เข้าใจถูกแล้ว เราเรียนเซคเจนนี่ ซึ่งต้องชมว่าบรรยากาศการเรียนดีมาก เจนนี่ชอบให้ "Talk to your partner" เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น อะไรแบบนั้น เป็นวิธีที่ดีมาก ช่วยให้แอคทีฟ และเจนนี่ก็สอนเก่ง สอนสนุก ทัศนคติดี คลาสง่วงๆ เลยผ่านไปได้ราบรื่น (ยกเว้นวันที่คะแนนออก) ที่ชอบที่สุดคือถึงเจนนี่จะสั่งงานเยอะ แต่ว่างานเค้าช่วยพัฒนาเราได้ และงานครีเอทีฟด้วย เช่น ให้เขียนตอนจบนิยายใหม่ เจนนี่ชอบแขวนงานไว้ตามห้อง เด็กทั้งคลาสจะได้เดินไปอ่าน และเขียนคอมเม้นได้ เท่ากับว่าไม่ใช่การเรียนหัวเดียวกระเทียมลีบอะ เป็นการเรียนไปพร้อมๆ กัน การทำงานแต่ละทีเจนนี่ก็สุ่มให้ ได้เปลี่ยนคู่ไปเรื่อยๆ แป๊บเดียวก็รู้จักเพื่อนในเซค
ส่วนในเรื่องเกณฑ์คะแนนต่างๆ คิดว่าเกณฑ์เกรดค่อนข้างโหด ตัดเกรดด้วยคะแนนที่ห่างกันนิดเดียว และที่ทำเราช็อกคือการแลกงานตรวจของอาจารย์วิชานี้ เราเรียนกันคนละสไตล์ เวลาเขียนไม่มีทาง satisfy อาจารย์ได้หมดทุกคน แล้วเราดันสุ่มไปเจออาจารย์ที่มีแนวทางสอนการเขียน summary คนละ ทางกับที่เรียนกับเจนนี่ งานนั้นคะแนนเละ แต่เพื่อนคนอื่นก็บ่นเหมือนกันว่างาน summary เหมือนโดนกดคะแนน ระบบการจัดการวิชานี้ค่อนข้างห่วยอะในความรู้สึก คือทำไมเค้าไม่ให้ทุกคนได้ทำบทความเดียวกันก็ไม่รู้ กลุ่มนึงได้ของอาจารย์คนนึง อีกกลุ่มได้ของอีกคน แล้วความยาก-ง่ายก็ไม่เท่ากัน ไหนความแฟร์วะ ๕๕๕๕๕
ความคิดเห็นส่วนตัว
❥ ความยาก
ถ้าไม่เอาตัวเราที่ไม่ถนัด reading เป็นที่ตั้ง ดูแต่มีนเวลาคะแนนสอบออก คิดว่าความยากของการเรียนการสอนการสอบอยู่ในระดับปกติของวิชาสายสกิลที่ advanced ขึ้น บางคนทำได้ 22/25 ก็มีนะ แต่คะแนนเราเกาะมีนมากๆ เคยตกมีนด้วย น้ำตา ๕๕๕๕๕๕ ส่วนตอนสอบไฟนอล ไม่รู้คิดไปเองไหมแต่อาจารย์เลือกบทความที่อ่านง่าย โจทย์ไม่ได้หลายชั้น (หรือเราโดนหลอกวะ) คงจะชดเชยที่กดคะแนนกันมาทั้งเทอม ฮาาาาาาาาาาา (จริงๆ ไม่ค่อยขำ แหะๆ)
ส่วนหนังสืออ่านนอกเวลา... ปวดหัวมาก มันไม่สนุกอะ ภาษาและเนื้อหายากกับซับซ้อนกว่าหนังสืออ่านนอกเวลาอิ้งทู แต่ไม่ถึงกับอ่านไม่ได้ ทุกอย่างในวิชานี้มันกลางๆ ไปหมดเลย
อ้อ เป็นวิชาที่ชอบเซอร์ไพรส์ด้วยนะ ประกาศคะแนนถี่มาก ปกติเรามีธรรมเนียมว่าต้องดื่มชานมไข่มุก Mr.Shake ทุกครั้งที่เฟลกับคะแนนใช่ป้ะ เนี่ย อีวิชานี้วิชาเดียวทำเราเสียเงินให้ Mr.Shake จนแม่งจะเปิดสาขาใหม่ได้แล้ว (เว่อร์ไปอี๊ก)
❥ ความชอบ
ถ้าไม่นับบรรยากาศการเรียนที่โคตรดี วิชานี้ก็เป็นวิชาที่น่าเบื่อมากกกกกกกกกกกกกก ขาดความตื่นเต้นใดๆ มันคือการมานั่งอ่านบทความ ตอบคำถาม เหมือนสมัยอิ๊งวันแต่เป็นเวอร์ชั่น reading only ซึ่งถ้าใครเบื่อก็จะเบื่อตลอดไป เจนนี่อาจทำให้ตื่นเต้นได้บางคลาส แต่กับตัววิชารู้สึกเฉยๆ งั้นๆ
ข้อดีคือวิชานี้ช่วย analytical skills พอสมควร จากที่อ่านและตอบอะไรไม่เป็นเลย ก็เริ่มเข้าใจว่าโจทย์ถามอะไร แต่ละ paragraph ในบทความมันสัมพันธ์กันยังไง เขาถึงใส่มาเป็นบังคับเอกอะ จัดว่าเป็นวิชานั่งเรียนจริงๆ ไม่ได้เรียนเพื่อสอบ ด้วยความที่เวลาสอบมันเตรียมตัวไม่ได้ เราจะไม่มัวแต่พะวงว่าต้องอ่าน ต้องจด แต่จะไปให้ความสำคัญกับขณะที่เรียนแทน
❥ ข้อความสุดท้ายถึงวิชานี้
หนังสืออ่านนอกเวลาเรื่อง Before the fall แย่มาก ใครเลือกเรื่องนี้อะเอาจริง Course co หรอ แหะๆ ไฝแห้งเว่อ
5. Introduction to the Study of English Literature (อิ้งลิท, สตั๊ดลิท)
เนื้อหาและรายละเอียดคร่าวๆ
✎ 4 quizzes (1 seen, 3 unseen), 3 reading responses, group presentation หัวข้อไหนก็ได้จากที่เรียนมาทั้งหมด , สอบมิดเทอมและไฟนอล ข้อเขียนรวมทั้งเทอม 5 เอสเส
✎ short stories, plays, sonnets, poems, ballad, comic, และนิยาย 1 เรื่อง (Animal Farm) เรียนอ่านบท วิเคราะห์ตัวละคร เนื้อหา โทน มู้ด และการใช้เทคนิคการเขียนต่างๆ ว่ามีประโยชน์ต่อแก่นเรื่องอย่างไร เอสเสจะเป็นการเขียนตอบโจทย์เพื่อแสดงว่าเราเข้าใจเนื้อหา สามารถวิเคราะห์คุณค่าและใช้ความรู้องค์รวมมาสนับสนุนข้อสรุปตัวเองได้
การเรียนการสอน
เราเรียนเซคอาจารย์ฐาปนัจฉร์ (Tapanat) ที่เราชอบเขียนสั้นๆ ว่า อ.ถาปะนัด ๕๕๕๕๕ เพราะชื่อสะกดยากเกิ๊นนนน อาจารย์ใจดีนะ มีปัญหาอะไรก็พร้อมช่วย สำเนียงบริติชเพราะมากๆ ชอบสำเนียงมากสุดตั้งแต่ฟังครูไทยพูดมา ดังนั้นไม่ต้องห่วงเรื่องการพูด การอธิบาย อาจารย์เก่ง คูลๆ ชิคๆ ไอดอลเว่อ
ด้านการสอน อาจารย์ชอบ close reading จุดที่สำคัญๆ แต่บางเรื่องก็ไปด้วยกันเกือบทั้งเรื่อง ทำให้รู้สึกว่าสอนช้าบ้าง อาจารย์จะชอบพูดย้ำๆ ข้อเสียอย่างนึงคือไม่ค่อยได้ดิสคัส บรรยากาศไม่ค่อยเอื้อ เลยอยากสนับสนุนให้วิชานี้มี presentation บ่อยขึ้น เพราะหลัง presentation ได้ ถาม-ตอบ กันจริงจังมาก และทุกคนมีส่วนร่วมใน discussion
คาบปกติที่เรียนค่อนไปทางง่วงๆ ฟังการตีความของอาจารย์ แต่ข้อดีก็คือเราไม่ต้องเหนื่อยคิดเยอะ หรือเตรียมตัวมาเรียนมาก แค่อ่านบ้าง วันไหนอ่านไม่ทันก็ไม่เป็นไร อาจารย์ยังสอนไปไม่ถึง ๕๕๕๕๕๕ แม้จะสอนช้าแต่ก็จบทันตลอดนะ เราชอบที่อาจารย์ไม่ได้ปล่อยให้คิดเองอย่างเดียว ไม่ปล่อยให้งง เพราะเราอยากฟังความเห็นอาจารย์นั่นแหละ แต่ก็มีเพื่อนที่ชอบตีความเอง และรู้สึกว่าอยาก express ความเห็นแต่ไม่ค่อยมีโอกาสเหมือนกัน ถ้าอยากได้คลาสที่ active และสร้างสรรค์น่าจะไม่ตอบโจทย์
ในส่วนของควิซ โอ้โหหหห ให้เวลา 15 นาที แต่คำถามระดับ 1 ชั่วโมง คำถามก็จะมีตั้งแต่วัดความเข้าใจ (terms, true or false, rhyme scheme, scansion etc) ตรงนี้พอจะอาศัยตัวบทรอดไปได้ แต่พอถึงข้อเขียนคือโดนทุบ ทุบ ทุบแล้วทุบอีก มีทั้งตอบคำถามแบบความเห็นล้วนๆ compare เรื่องในควิซกับเรื่องที่เรียน ไปจนถึงเว้น essay มา ให้เขียนต่อจนจบ ยอมรับความครีเอทีฟของคนออกข้อสอบ
ข้อสอบจริง ส่วนตัวคิดว่าโจทย์ไม่ได้กะฆ่ากันให้ตายไปข้าง โจทย์แถได้ (ส่วนใหญ่จะให้มาโจทย์มาพร้อมให้เลือกเรื่องไหนก็ได้ที่เรียนในเทอมมาตอบ) แต่ที่ยากคือเกณฑ์การตรวจที่มี expectation ค่อนข้างสูง กับเวลาแค่ 1ชม แถมไม่ให้เปิดตัวบทอ้างอิง มีนก็โหดในความคิดเรา แต่พูดอะไรมากไม่ได้เพราะไฟนอลผ่านไปแล้ว คะแนนมิดเทอมเพิ่งจะออกมาแค่เอสเสเดียว คะแนนควิซออก 2 ครั้งจาก 4 วิชาอะไรเอ่ยเรียนแบบโคตรเคว้ง ๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕
ส่วนที่ช่วยที่สุดน่าจะเป็น reading responses ที่ให้เขียนตอบโจทย์ แตกต่างกันไปตามเซค ประมาณ 2-3 อาทิตย์ครั้งมั้ง ซึ่งทำให้เราพัฒนาได้เยอะมากจริงๆ ทั้งทักษะการอ่าน การเขียน การคิดวิเคราะห์ อันนี้พูดได้เต็มปากว่า อ.ถาปะนัด ตรวจละเอียด ตรวจจริงจัง และทำให้เรารู้ข้อดี ข้อเสียการเขียนตัวเองอาจารย์คอมเม้นตามเนื้อผ้าเลย แล้วก็จะรวมไฟล์ส่งให้ทั้งเซค เป็นโอกาสให้เรารู้ ranking ตัวเอง และได้ศึกษางานคนอื่นกับคอมเม้นที่อาจารย์ให้คนอื่นด้วย เทอมนี้เราได้อะไรหลายอย่างจากอาจารย์เลยจ้า รักมากเว่อ
ความคิดเห็นส่วนตัว
❥ ความยาก
ถ้าไม่ชอบอ่าน ไม่ชอบคิดเยอะ ชอบเรียนวิชา skills มากกว่า ก็น่าจะคิดว่าวิชานี้เบื่อและยาก แต่เราว่ามันเป็นวิชาที่ฟุ้งๆ คำตอบไม่ตายตัว แสดงความเห็นได้ ทำให้รู้สึกว่าง่ายกว่าสายสกิลจริงๆนะ ๕๕๕๕๕ ความยากจะอยู่ที่เราทำเท่าที่อาจารย์คาดหวังไม่ได้ ท้ออะ อย่างเราไม่ใช่คนที่ถนัด independent thinking สุดท้ายเราก็จะตอบตามความคิดอาจารย์ เป็นวิชาที่เหมือนมีกรอบบางอย่างมาให้แล้ว การทำลายกรอบนี้ยากกว่าการตอบข้อสอบอีก
แต่ไม่ได้แปลว่าข้อสอบง่ายนะ อาศัยสติเยอะมาก ตอนทำข้อสอบไฟนอลเราพลาด ไม่อยากพูดถึง skip!
❥ ความชอบ
ชอบ แต่ไม่มาก เราชอบที่ได้รู้จักวิชาสายลิทจริงๆ แล้ว ในวิชานี้เราได้อ่านอะไรน่าสนใจมากมาย และได้ลอง academic writing ครั้งแรก จากที่ไม่เคยเขียนเอสเสจริงๆ จังๆ ถึงจะเครียด แต่ก็อยากพัฒนาไปเรื่อยๆ ใจเราร่ำร้องว่าอยากไปสายลิท แต่กลัวเกรดไม่เห็นด้วย ต้องดูก่อน orz แต่มันไม่ใช่วิชาเรียนสนุกอะ เอาตรงๆ
สำหรับอาจารย์ เราชอบ อ. ถาปะนัด นะ เค้าค่อนข้าง strict กับอะไรที่เป็นกฎ แต่ใจดีเวลาสอน โอเคมาก อาจารย์เท่อะ T v T สิ่งที่ดีงามที่สุดคืออาจารย์รู้ว่าเด็กต้องการอะไร ก็เลยตรวจ reading response ไวๆ จะได้ให้ทุกคนอ่านก่อนไฟนอล ช่วยเราได้เยอะ อีกเซคที่เราอยากลองคือเซค อ.ภัคพรรณ ได้ยินว่าสอน creative มากกกกกกกกกกกกกกกกก แต่ก็หนักมากกกกกกกกกกกกกก และแทบไม่เคยคืนคะแนนเลย ๕๕๕๕๕๕
❥ ข้อความสุดท้ายถึงวิชานี้
One of the world's greatest mysteries: คะแนนสอบอิ้งลิท
6. Introduction to Literature (อินโทรลิท)
เนื้อหาและรายละเอียดคร่าวๆ
✎ สอบมิดเทอมและไฟนอล ข้อเขียนหมด ข้อละ 1 ชม. รายงานกลุ่มอีก 1 เล่ม หนังสือมีให้อ่านเรื่อยๆ เทอมนี้ได้อ่านนางนวลในโลกเงียบ แผลเก่า และเรื่องสั้นเรื่องโดด สินในน้ำฝน เหตุการณ์กรรมซ้ำเล่า
✎ วรรณกรรมเยาวชน (อินมาก) วรรณกรรมความพิการ วรรณกรรมชายชอบ วรรณกรรมวิจารณ์กับภาวะหลังสมัยใหม่ (พีค) วรรณกรรมกับภาพยนตร์ (นี่ก็สนุก) มีบ้างที่เรียนแต่ไม่ได้สอบ เช่น วรรณกรรมกับการแปล (เนื้อหาดีอีก) เรียนเกี่ยวกับวาทกรรมและแนวคิดที่ม่ีต่อวรรณกรรมแนวนั้นๆ ตัวอย่างวรรณกรรมที่ช่วยในการวิเคราะห์ และเป็นวิชาที่ได้ดูหนังเยอะมากๆ!
การเรียนการสอน
เรียนห้องใหญ่ ฟังบรรยาย ดูหนัง จดเลกเชอร์ อาจารย์หนึ่งคนต่อหนึ่งหัวข้อ ส่วนตัวชอบวรรณกรรมเยาวชน การได้ดูหนังและวิเคราะห์คือโคตรดี ได้เรียน Dystopia, สภาวะเปลี่ยนผ่านบ้าง, การค้นหาตัวตน บลาๆ ชอบหนังที่เลือกให้ดูด้วย ไม่ว่าจะเป็น The Maze Runner (ติ่ง!), The Giver, บางฉากของ Paper Town นอกจากจะไม่เบื่อแล้วยังได้เข้าใจแนวคิดในหนัง
อีกเรื่องที่เอนจอยจริงจังก็คือวรรณกรรม Post-modern ที่ทำให้เรารู้จักคำว่าความจริงเสมือน และทำให้รู้สึกว่าทุกวันนี้ชีวิตมันไม่จริง ประกอบสร้างมาด้วยทุนนิยม อุดมการณ์ บริโภคนิยมต่างๆ เศร้า๕๕๕๕ แต่ช่วยเปิดโลกและได้เจอวรรณกรรมน่าสนใจมากมาย ที่สำคัญได้ดู The Truman Show ซึ่งขึ้นหิ้งหนึ่งในหนังโปรดไปแล้วเรียบร้อย วรรณกรรมกับภาพยนตร์ก็สนุก เพราะได้เปลี่ยนฟีลอักษรไปเป็นเด็กนิเทศเก๋ๆ นั่งเรียนขั้นตอนของ Production หนัง ความหมายในฉาก สัญลักษณ์ สารพัด อินกับขวัญเรียมกันไปอีก
ข้อสอบทั้งครึ่งแรกครึ่งหลังโจทย์กว้างพอให้แถได้ แต่ไม่ถึงกับกว้างจนเขียนอะไรไม่ออก จัดว่าเป็นวิชาปรานี เป็นวิชาที่ทดสอบทักษะการตอบแบบที่อาจารย์ถามหนูไม่รู้ ที่หนูรู้มีดังนี้๕๕๕๕๕๕๕๕๕
ความคิดเห็นส่วนตัว
❥ ความยาก
สำหรับเรานี่เป็นวิชาบังคับคณะที่ซัฟเฟอร์น้อยที่สุด ฮือ รู้สึกว่าอินโทรดรามยังจำเยอะกว่านี้ ส่วนใหญ่แล้วเน้นเขียนแสดงความเข้าใจอะ ถ้าเรียนหรืออ่านสไลด์ไปอย่างน้อยก็พอมีอะไรเขียนตอบแน่ๆ เพราะตัวอย่างที่ให้ยกในข้อสอบก็มาจากความรู้ในห้อง ถ้าจะยากน่าจะเพราะเนื้อหาต้องทำความเข้าใจหลายต่อ ต้องสังเคราะห์เอง โดยเฉพาะ Post modern แต่รวมๆ แล้วคืออย่างน้อยก็เรียนไม่เครียด
❥ ความชอบ
รู้สึกว่าเสียงจะแตกออกเป็นสองด้าน มีทั้งคนที่ชอบอินโทรลิทเพราะเรียนสนุก มีหนังกับหนังสือดีๆ ให้อ่าน แต่ก็มีคนที่ไม่ชอบ เบื่อ พร้อมจะหลับ สำหรับเราเวลา 3 ชม. ของวิชานี้ผ่านไปไวมาก ตรงข้ามกับไทยซีฟ ๕๕๕๕ คงเพราะชอบมากจริงๆ มันคือการอ่านวรรณกรรม ดูหนัง แล้วก็ฟังคนวิเคราะห์ อาจมีทฤษฎีบ้าง ถ้าใครชอบแนวนี้น่าจะอิน ยิ่งมาเรียนรู้วิธีการมองหลายๆ แบบ เหมือนได้เครื่องมือไว้ตีความนิยาย ตีความสัญลักษณ์ในหนัง
จัดว่าเป็นวิชาบังคับตัวโปรดของเรารองจากอินโทรดรามและรีซันนิ่ง หักคะแนนเพราะอาจารย์บางคนก็สอนเบื่อหรือการตีความ not that convincing แต่ประทับใจอาจารย์สุรเดชโคตรๆ สอน Post-modern เก่งจริง ทั้งๆ ที่เนื้อหามีความปรัชญาและจับต้องยากขนาดนี้ยังสอนให้พอเข้าใจคร่าวๆ ได้ ๕๕๕๕๕ ถ้ามีวิชาไหนอาจารย์สอนจะไปนั่งเรียนด้วยแบบไม่ลังเล เรียนฟุ้งๆ กันต่อไปนะคะ รับความรู้เสมือน
❥ ข้อความสุดท้ายถึงวิชานี้
ขอบคุณที่เป็นวิชาฮีลจิตใจทุกวันพฤหัส ชีวิตนี้อยากเรียนแค่วิชาละครกับวรรณเปรียบ อ้าวไม่ได้เหรอ
7. Play Analysis
เนื้อหาและรายละเอียดคร่าวๆ
✎ ไม่มีสอบ (กรี๊ดดดดด) เปเปอร์ 1-2 อาทิตย์ต่อชิ้น เปเปอร์ใหญ่ 20 คะแนนอีกชิ้น มีควิซด้วยเป็นช่วงๆ แต่ไม่รู้ว่าคะแนนแยกหรือคะแนนรวม ข้อดีคือไม่มีการอ่านสอบ เรียนเพื่อรู้อย่างเดียว สบายสมองมากๆ ข้อเสียคือไม่รู้คะแนนเปเปอร์ชิ้นไหนเลย จบเทอมแล้วเนี่ย ก็ทำไปแบบงมเอง ไม่รู้ถูกผิดใดๆ
✎ วิเคราะห์บทละคร ตั้งแต่โครงเรื่อง แก่นเรื่อง ตัวละคร ประเด็นที่สื่อ ไปจนถึงเนื้อเพลง (ถ้ามี) แบ่งเป็น (1) พาร์ทครูสาว บทละครคลาสสิก Tragedy ต่างๆ (อีดิปุส, Macbeth, ราโชมอน, แถมแม่นาค The Musical ให้ด้วย) (2) พาร์ทครูบูม บทละครเพลงกับเนื้อเพลง (Dear Evan Hansen) (3) พาร์ทครูบัว บทละครสมัยใหม่ (หรรษาราตรี เรียนเพื่อเข้าใจ I,Malvolio)
เนื่องด้วยอินวิชานี้โคตรๆ ขอเขียนละเอียด ระบายความรักที่มีต่อวิชาโท T v T
การเรียนการสอน
ให้สรุปฉบับย่อสุดก็คือเหมือนเรียนอินโทรดรามเวอร์ชั่นบทละคร Only นั่งเรียนกันในห้องที่ค่อนข้างใหญ่ เซคคนเยอะอยู่ ครึ่งนึงเด็กเอกอีกครึ่งเด็กนิเทศ วิชานี้เรียนชิลมาก อาจารย์เข้าไม่ตรงเวลาเป๊ะ ให้เวลานิสิตได้กินข้าว orz เลิกก็ตามเวลาหรือก่อนเวลาบ้าง การบ้านมีราวๆ สองสัปดาห์ครั้ง เวลาทำ 1 อาทิตย์ ต่อเปเปอร์ 1-2 หน้า ดังนั้นการบริหารจัดการชีวิตไม่มีปัญหา วิชานี้ไม่ได้กระทบอะไรเลย
สำหรับพาร์ทละครคลาสสิก ครูสาวชอบวิเคราะห์บทให้ฟังแบบละเอียด และถามเด็กเป็นระยะๆ พอให้รู้สติยังอยู่ตรงนี้ใช่ไหม ๕๕๕๕๕ บางทีก็ให้จับกลุ่มดิสคัส การเรียนจัดว่าโอเค ครูสาวน่ารัก สอนไปเรื่อยๆ เราฟังเพลิน ครูสาวเน้นวิเคราะห์ตัวละครจากบท ทำไมผู้เขียนให้ตัวละครพูดแบบนี้ ตัวละครรู้สึกยังไงถึงพูด ปมขัดแย้งอยู่ตรงไหน ฯลฯ ดังนั้นเวลาเรียนก็พยายามอ่านมาก่อนและตั้งสติ จะได้ความรู้กลับไปมาก ชอบตรงการตีความบทละครดูไม่เว่อร์วัง ไม่ชวนให้รู้สึกเอ๊ะ แต่รู้สึกแบบ หืมมม อย่างนี้เอง ต่างกับตอนเรียนอินโทรลิทมากๆ ๕๕๕๕๕๕
สำหรับพาร์ท Musical ของครูบูม สนุกมากกกกกกกกกกกกกก ครูบูมสอนมีสีสัน ทั้งเปิดคลิป เปิดเพลง ดูเนื้อเพลง ดู Musical ทำความรู้จักกับศัพท์เทคนิค รู้ประวัติ รู้แหล่งกำเนิด เหมือนพาทัวร์บรอดเวย์ เรียนเทอมเดียวรู้จักเรื่องดังๆ Hamilton งี้ Wicked งี้ Rent งี้ The color purple งี้ เป็นต้น ครูบูมอยากให้เราเห็นชัดๆ ว่า Opening number คืออะไร แบบไหนเรียก I want song แล้วคาบที่เรียนเกี่ยวกับดนตรี ครูบูมเอาคีย์บอร์ดมานั่งกดโน้ตให้ฟังเลยว่าอันไหนจังหวะยก อันไหนจังหวะตก เราอินการวิเคราะห์บทเพลงมากกกก ดูองค์ประกอบเพลง ดูเหตุผลที่ใช้ enjambment หรือเสียงสูงมาดึงความสนใจ หรือท่อน Bridge มีหน้าที่อะไร อหหหห มันเป็นความรู้ที่ถ้าไม่ใช่เอกละครก็ไม่มีเอกไหนในอักษรสอนแล้วอะ แต่ได้เรียนตัวบท Dear Evan Hansen จริงๆ ค่อนข้างน้อย เพราะไปทัวร์บรอดเวย์กันแบบหาทางกลับไม่ถูก ๕๕๕๕๕
พาร์ทครูบัว หัวข้อน่าสนใจมาก ละครสมัยใหม่ และครูบัวก็อธิบายองค์ประกอบละครดี น่าเรียนเขียนบทด้วยมากๆ ว่าทำยังไงละครถึงจะสนุก ผู้ชมอยากเห็นอะไร ฯลฯ แต่พอเข้าตัวบทละคร ครูบัวอ่านให้ฟังเฉยๆ เราไม่รู้สึกว่าได้วิเคราะห์หรือได้ความคิดใหม่ๆ จากการนั่งเรียน 3 ชม ค่อนข้างเบื่ออะแง T_T เสียดาย I,Malvolio มากกกก เป็นบทละครที่อยากฟังวิเคราะห์สุดๆ ไม่เป็นไร ถือว่าได้อ่านบทดีๆ ก็มีบุญแล้ว /ตบบ่าตัวเองสองแปะ
สรุปได้ว่าเป็นวิชาที่เรียนเอนจอยนะ ดูจากการเรียนการสอนคือไม่เบื่อเลย อาจารย์เอกละคร entertain เก๊งเก่งงงงงงงงงง มีเด็กละครบางคนบอกวิชานี้เบื่อ คงเพราะเค้าเรียนปฏิบัติกันมั้ง แต่เราผู้อยู่เอกอิ้งและเจอแต่วิชาเครียดๆ วิชานี้ถือว่าสนุกสุดแล้วในเทอม ๕๕๕๕๕
ความคิดเห็นส่วนตัว
❥ ความยาก
เรียนน่ะให้ความรู้สึกไม่ยาก แต่เคว้ง เพราะเปเปอร์ไม่เคยได้คืน คะแนนไม่เคยรู้ ถ้า F คือไม่รู้ตัวเลยอะ Orz ถึงครูบูมจะบอกว่าแจก A เพียบก็เถอะ นี่ไม่ไว้ใจตัวเอง กล้าพูดว่าตั้งใจทำทุกเปเปอร์ แต่เปเปอร์สุดท้ายมีแต่ความกดดันและไม่ชัวร์ โว้ยยยยยย เป็นวิชาที่ลำบากใจจะกล่าวมาก วิธีการเขียนเปเปอร์อาจารย์ก็ไม่ได้สอน สอนแค่วิธีวิเคราะห์ จากนั้นก็โยนงานมา แล้วก็บอกว่า อะ ส่งวันนี้ๆๆๆๆๆ จบ สัปดาห์ต่อๆ ไปก็ได้งานมาเพิ่ม คะแนนทั้งหมดก็จะ remain เป็นความลับของจักรวาลต่อไป อยู่ด้วยกันด้วยความเชื่อใจมันเป็นงี้เอง หนูว่าอาจารย์คงไม่ทำร้ายหนูมากใช่ไหมคะ ฮือออออออออออออ
❥ ความชอบ
มีสองส่วน ส่วนที่เป็นเนื้อหา กับส่วนที่เป็นภาพรวมของการเรียนการสอน เริ่มจากแบ่งไปตามละครที่ได้อ่าน (ดูผ่านๆ เหมือนเยอะ แต่บทเรื่องนึงไม่ยาวมาก)
1. อีดิปุส ; ชายผู้พ่ายแพ้ต่อโชคชะตา ฆ่าพ่อ แต่งงานกับแม่ แล้วเพิ่งมารู้ทีหลัง สุดท้ายก็ตาบอดแล้วก็ขับไล่ตัวเองไป เป็นบทคลาสสิกที่โบราณอยู่ยงคงกระพันมาก พออ่านแล้วก็เข้าใจความเป็น Tragedy ของกรีกถ่องแท้มากขึ้น ชอบในระดับ 6/10 เริ่มต้นคลาสด้วยเรื่องสั้นๆ อ่านสบายๆ
2. แมคเบธ ; หนีไม่พ้น ปี 1 ก็เรียน ตอนนั้นก็อ่านแค่ไม่กี่หน้าเอาไปสอบ ขึ้นปี 2 ยังต้องเรียนอีก แต่คราวนี้ต้องอ่าน ฮือออ ความสนุกคือตอนครูบูมสอน เราได้รู้ประวัติและอาถรรพ์ของเรื่องนี้ orz รวมถึงได้ทำความรู้จักลุงเช็กสเปียร์ โรงละคร Globe Theatre ของลุงแก ค่านิยมสมัย Elizabethan ตั่งต่าง ชอบมากตอนเรียนกลอนของเช็กสเปียร์ พอเข้าใจที่เขาชื่อเสียงเลื่องลือแล้ว จนแอบวางแผนจะลงวิชา Shakespeare อยากรู้จักเขาและงานเขามากกว่านี้ เอ่อ... แต่ไม่ชอบแมคเบธ อ่านด้วยความรู้สึกอะไรว้า 4/10 พอ
3. ราโชมอน ; เพิ่งเคยได้อ่าน สนุกกกกก ติดด้วย ๕๕๕๕๕ คดีพบศพซามูไรและมีคน 3 คนแย่งกันสารภาพว่าเป็นฆาตกร แถมเล่าเรื่องไปคนละทาง กลายมาเป็นต้นแบบให้หนังและวรรณกรรมสารพัดที่ตามมา ชอบเลยทีเดียว เรื่อง symbolic หน่อยๆ ด้วย ให้สัก 7/10
4. แม่นาค The Musical ; สนุกอีกแล้ว ชอบการตีความใหม่และความมีมิติของเรื่อง แต่เนื้อเรื่องก็ที่รู้ๆ กัน เรียนเพราะเวลามันเหลือ ให้ 7/10
5. Dear Evan Hansen ; เป็นเรื่องเกี่ยวกับเด็กหนุ่มเข้าสังคมไม่เก่งจนรู้สึกว่าตัวเองเป็น misfits แล้ววันหนึ่งก็เกิดเรื่องวุ่นวายจนต้องโกหก โกหก และโกหกไปเรื่อยๆ เพื่อให้มีตัวตนในสังคม บอกเลยว่าตัวพีคของเทอม สนุกมากกกกกกกกกกกกกกกก ตลก ทั้งๆ ที่เรื่องออกจะหม่นและดราม่า เพลงเพราะมากกกกกกกกกกก ฟังเพลงแล้วก็ร้องไห้ เรียกได้ว่าไม่ใช่แค่เป็นละครสำหรับ Misfits ทุกคนแต่เพลงก็ relatable จนใครๆ ก็ต้องอิน เพราะเราเป็นมนุษย์และน่าจะรู้สึกต้องการให้ใครมามองเห็นคุณค่าแบบอีวานส์สักครั้งในชีวิตอะ 8.5/10 ไปเลย ดีเยี่ยมมากๆๆๆๆๆ
พูดถึง Musical สักหน่อย ตั้งแต่มาเรียนวิชานี้เราฟังเพลง Musical ทุกวัน จากที่เคยมีอคติและไม่คิดดูเลยนะ เพราะรู้สึกว่าร้องเพลงเยอะไป แต่พอมาเรียนได้เข้าใจว่าทำไมต้องมีเพลง ทำไมเพลงเขียนมาแบบนี้ มันเหมาะสมกับเรื่องยังไง แถมเนื้อหาบทละครเผลอๆ งานดีกว่าบทพูดบางเรื่องอีก ที่แน่ๆ มันสนุกอะ เข้าถึงใจเราได้ด้วยเสียงเพลง วิชานี้ทำให้เราค้นพบสิ่งที่ทำให้ชีวิตมีความสุขเพิ่มขึ้นมาอีกอย่าง ละครเวทีนั่นเอง
6. หรรษาราตรี ; งานเช็กสเปียร์อีกแล้ว งานแต่งเอาใจตลาดของลุงแก ๕๕๕๕๕ ชอบเวลาครูบัวเม้าท์เช็กสเปียร์มาก บทเรื่องนี้ตลกดี มุกโบราณเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง อ่านชิลกว่าแมคเบธ เนื้อเรื่องเบาสมอง แต่ถ้าถามความสมเหตุสมผลให้ติดลบอะ บ้าบอไปหมด 5/10 ละกัน
7. I,Malvolio ; มัลโวลิโยจากเรื่องหรรษาราตรีถูกนำมาตีความใหม่ กลายเป็นคนดำเนินเรื่องแบบ Monologue ในบทละครเรื่องนี้ ซึ่งบอกเลยว่าประทับจิตประทับใจเราสุดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดของที่สุด ในเรื่องหรรษาราตรี มัลโวลิโยนี่ตัวตลกเลยอะ โดนหลอกว่าท่านหญิงเขียนจดหมายรักมาให้ โดนแกล้งให้ใส่ถุงเท้าสีเหลืองแถมยังโดนขังเพราะคนนึกว่าบ้า ซึ่งตอนอ่านในหรรษาราตรีก็บันเทิงเว่ย แต่พออ่านในบทละครสมัยใหม่แล้ว... ช็อก ช็อกเลย เค้าเอามาโยงกับ Bully ซึ่งเป็น Social movement สำคัญมากๆ ในยุคสมัยใหม่ใช่ป้ะ แล้วเขียนต่อเติมบทเช็กสเปียร์ใหม่จนมันสมเหตุสมผลได้อะ เก่งมาก T v T ตอนอ่านจบโคตรซึม ทำไมวะ ทำไมคนบนโลกต้องรังแกและดูถูกคนอื่นเพราะอีกฝ่าย 'แตกต่าง' จากตัวเองด้วย ไม่ยุติธรรม ไม่มีเหตุผล มนุษย์เป็นแค่สิ่งมีชีวิตน่ารังเกียจ เฮ้อ แต่บทดีจริงๆจ้า แบบเอามาตีความใหม่ได้ดีงาม เป็นบทพูดคนเดียวที่ไร้องค์ประกอบอลังการงานสร้างแบบละครเรื่องอื่นๆ ที่เรียนในเทอม แต่กลับจับใจเรามาก 9/10 เด้อออออ
8. Fun Home ; อันนี้อ่านเอง เลือกเรื่องทำเปเปอร์นานมาก จนไปเจอเรื่องนี้โดยบังเอิญ เห็นชนะ Tony Awards ก็เลยเปิดใจอ่าน ทั้งๆ ที่ชื่อเรื่องไม่เย้ายวน ปรากฏว่า มัน! ดี! มาก! ยอดเยี่ยมที่สุดที่เคยอ่านบทละครมาเด้อ เป็นเรื่องของแอลิสันที่พยายามนึกถึงความทรงจำวัยเด็ก เธอเป็นเลสเบียน พ่อของเธอเป็นเกย์ และเขาก็ฆ่าตัวตายแค่ประโยคเปิดเรื่องก็ grab attention แล้ว ประเด็นในเรื่องก็วนเวียนอยู่ที่สถานะของเพศที่ 3 การยอมรับตนเอง บทบาทต่อครอบครัว การฆ่าตัวตาย ฯลฯ
ฟังดูหดหู่ แต่จริงๆ ไม่ เป็น Tragicomic ที่ยิงมุกตลกเยอะพอควร เราตามทันบ้างไม่ทันบ้าง แต่ที่แน่ๆ คือ Ironic หนักเว่อ ชื่อเรื่อง Fun Home จริงๆ ย่อมาจาก Funeral Home เพราะครอบครัวนี้ทำธุรกิจจัดงานศพ แต่ก็มีความหมายแฝง (ที่มโนเอาเอง) ว่าครอบครัวที่ดูเผินๆ แสนสุข จริงๆ ซ่อนปัญหาไว้
และเป็นเรื่องที่รีดน้ำตาเราออกมาหมดตัว อ่านครั้งแรกคือ mental breakdown น้ำตาไหลพรากๆ ครั้งต่อๆ มาเวลาฟังเพลงหรือทำเปเปอร์ ก็ยังน้ำตาซึมอยู่ เราว่าเพลงช่วยดึงอารมณ์ได้ดีจริงๆ นะ อย่างเพลง "Flying away" เป็นเพลงโปรดเราแล้วตอนนี้ 10/10 ไปเลย ไม่ต้องคิดแล้ว ฮือ อินสุดๆ
ในส่วนของการเรียนการสอน จะว่าไงดี มันไม่เครียดอะ เราชอบ เรามาเรียนเพื่อเรียน ไม่ได้คิดว่าต้องได้คะแนน แล้วสิ่งที่ได้กลับไปคือความรู้ที่เกินคาดหมายมาก โดยเฉพาะพาร์ท Musical ทักษะที่ได้เอาไปประยุกต์ได้หลายอย่าง ได้ความรู้รอบตัว ได้ประสบการณ์เขียนเปเปอร์ ได้หลักวิเคราะห์วรรณกรรมที่เรียนวิชาลิทยังไงก็ต้องเจอ แล้วยังได้ความบันเทิงกลับไปอีก คุ้มเกินคุ้ม อาจารย์น่ารัก ใจดี สอนเก่ง สอนสนุก ขึ้นแท่นวิชาที่ recommend ไปเล้ย!
❥ ข้อความสุดท้ายถึงวิชานี้
คะแนนเปเปอร์หนูหายไปไหน...
สรุปแล้ว เทอมนี้ก็ผ่านไปจนได้ เกือบตาย /ทรุด ปัญหาที่เจอแบบไม่เหมือนเทอมอื่นๆ คือ ไม่รู้คะแนน คำนวณเกรดไม่ได้ คิดอะไรไม่ออก ปล่อยเลยตามเลยที่แท้ พอเข้าสู่เทอมที่สามเริ่มปลงๆ ไม่เครียดเท่าปี 1 แล้ว แสดงว่าเราสามารถชินกับการเรียนคณะนี้ได้จริงๆ ๕๕๕๕ เป็นกำลังใจให้ทุกคนที่เผลอกดเข้ามาอ่านสู้กันไปต่อในทุกๆ เรื่องเลยนะ ว่างๆ ก็แวะมาเม้าท์ได้ ขอบคุณที่อ่านมาจนถึงตรงนี้ค่ะ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in