จากข่าวโคมลอยที่ดูไร้ความน่าเชื่อถืออย่างสิ้นเชิง แต่ไม่นานข่าวการย้ายทีมของเนย์มาร์เริ่มมีเค้าโครงความจริง จนในที่สุดการย้ายทีมอาจบรรลุข้อตกลงในอีกไม่กี่วันข้างหน้า

เท่านั้นไม่พอสถานการณ์ในถิ่นคัมป์ นูของเนย์มาร์ชักเลวร้ายลงไปอีก โดยเฉพาะประเด็นเกือบวางมวยขณะฝึกซ้อมกับเนลสัน เซเมโด้ แบ็กขวาคนใหม่ของทีม ซึ่งตามปกติการปะทะกันระหว่างผู้เล่นในการฝึกซ้อมเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ ทว่ามันไม่ควรเกิดขึ้นโดยเฉพาะชั่วโมงนี้

ถ้ามองแบบผ่านๆ การย้ายทีมของเนย์มาร์เป็นสิ่งไม่ควรเกิดขึ้น ทำไมบาร์ซ่าต้องปล่อยหนึ่งใน 3 นักเตะสำคัญที่สุดของทีม? แล้วทำไมเนย์มาร์ต้องย้ายออกไปจากทีมที่มีโอกาสลุ้นโทรฟี่แชมป์ในทุกๆ ปี?

เปล่าเลยครับ ลึกๆ แล้วบาร์ซ่าเองก็มีความต้องการที่จะปล่อยเนย์มาร์ออกไป ส่วนเนย์มาร์ก็มีเหตุผลและน้ำหนักเพียงพอที่จะย้ายไปเป็นสมาชิกใหม่กับปารีส แซงต์ แชร์กแมง 

เพราะอะไร?

ที่ผ่านมาเราคงทราบดีว่า บาร์เซโลนาเป็นทีมที่มีผลประกอบการที่ดี มีมูลค่าทางการตลาดที่สูงมาก แต่เบื้องหลังยังมีสิ่งที่แฟนบอลจำนวนมากไม่ทราบ ปัจจุบันบาร์เซโลนาจำต้องแหวกขนบธรรมเนียมประเพณีโดยการรับสปอนเซอร์บนเสื้อหน้าอก และขยายมายังสปอนเซอร์บริเวณแขนเสื้อ การที่บาร์ซ่าแหวกม่านประเพณีมีเหตุผลรองรับครับ นั่นเป็นเพราะยอดทีมจากกาตาลันมีผลกำไรจากการดำเนินงานฤดูกาล 2016/17 เพียงแค่ 18 ล้านยูโรเท่านั้น!!!

ถ้าหากเป็นสโมสรฟุตบอลทั่วไปอาจพอใจกับตัวเลขนี้ อย่างน้อยๆ บัญชีที่เป็นบวกย่อมดีกว่าบัญชีที่ติดลบ แต่โลกนี้มันตลกร้ายครับ ผลกำไร 18 ล้านยูโรเทียบไม่ได้กับผลกำไรของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่นักวิเคราะห์การเงินประเมินว่า ฤดูกาล 2016/17 ปีศาจแดงจะมีกำไรไม่ต่ำกว่า 200 ล้านยูโร

โอ้โห! ตัวเลขนี้ห่างกันหลายเท่าตัวแล้ว ทำให้เกิดคำถามว่า บาร์ซ่าเอาเงินไปใช้อะไรนักหนา?

คำตอบของเรื่องทั้งหมดอยู่ที่การต่อสัญญากับนักเตะ 5 คนรวดในหน้าร้อน 2016 ครับ ห้วงเวลานั้นบาร์ซ่าต้องควักเงินจากผลประกอบการ เพื่อนำเงินนั้นมาต่อสัญญาให้กับลิโอเนล เมสซี่, หลุยส์ ซัวเรส, เซร์คิโอ บุสเกตต์, ฮาเวียร์ มาสเคราโน่ และเนย์มาร์ แม้ไม่มีการบอกตัวเลขชัดเจนว่า ยอดทีมแห่งกาตาลันใช้จ่ายเงินมากขนาดไหนในการต่อสัญญา แต่ประเมินด้วยสายตาการต่อสัญญากับซุปเปอร์สตาร์ 5 คนทำให้บาร์ซ่ามีสถานะการเงินที่ซูบผอมบักโกรกทีเดียว

ส่วนกรณีของเนย์มาร์ เป็นที่ชัดเจนว่า การค้าแข้งในถิ่นคัมป์ นู ไม่ว่าฟอร์มการเล่นของซุปเปอร์สตาร์บราซิลเลียนจะดีเด่แค่ไหน ท้ายที่สุดก็ยังเป็นแค่ "พระรอง"ของลิโอเนล เมสซี่ การจะขยับขยายขึ้นมาเป็น "พระเอก" ยังไม่เกิดขึ้นเร็ววันนี้ กลับต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 2-3 ปี ด้วยวัยเบญจเพส เนย์มาร์อาจไม่รอคอยให้ถึงวันนั้น

ตรงกันข้ามการย้ายไปร่วมทีมปารีส แซงต์ แชร์กแมง จะทำให้เนย์มาร์ได้รับสถานะ "พระเอก" ประจำทีมโดยทันที อีกทั้งการค้าแข้งในเมืองหลวงแห่งโลกแฟชันยังเป็นโอกาสสำคัญที่จะได้เล่นกับเพื่อนร่วมชาติ ร่วมภาษา หากว่ากันตามตรงแล้วเปแอสเชก็เปรียบเสมือนแหล่งรวมดาวเตะบราซิลเลียนดีๆ นั่นแหละครับ ที่นั่นมีทั้งแดเนียล อัลเวส, ลูคัส มูร่า, มาร์ควินญอส, ติอาโก้ ซิลวา รวมถึงติอาโก้ ม็อตตา (นักเตะบราซิลโอนสัญชาติเป็นอิตาลี) เรียกว่าสบายใจกว่าเป็นไหนๆ 

เมื่อดาวเตะบราซิลเลียนในทีมผนึกกำลัง ความฝันของกลุ่มทุน Qatar Sports Investments หรือ Q.S.I ซึ่งเป็นเจ้าของทีมเปแอสเช ในการขยับเข้าใกล้การเป็นแชมป์ยุโรปสักครั้งก็อาจเกิดขึ้นได้ไม่ยาก

ดังนั้นแล้วเนย์มาร์จึงเป็นตัวเลือกที่ 'เพอร์เฟ็ค' ที่สุดของเปแอสเช

อย่างไรก็ตามการเงื่อนในการย้ายทีมมีเพียงเงื่อนไขเดียว คือ เปแอสเชต้องแลกมาด้วยค่าฉีกสัญญา 222 ล้านยูโร คำถามคือ เปแอสเชจะเอาเงินจากไหนมาซื้อ?

โอเค! เฉพาะเงินค่าฉีกสัญญา 222 ล้านยูโร เงินจำนวนนี้เป็นเพียงเศษเงินของกลุ่มทุน Q.S.I แต่ในเมื่อฟุตบอลยุโรปถูกกำกับด้วยนโยบาย Financial Fair Play (FFP) อะไรคือหนทางที่จะทำให้เปแอสเชได้ตัวเนย์มาร์โดยที่ไม่ขัดกับนโยบายทางการเงินดังกล่าว?

ร็อบ วิลสัน นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยเชฟฟิลด์ แฮลแลม มองว่า การสร้างสถิติโลกใหม่ 222 ล้านยูโรเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ เขายกตัวอย่างว่า ดีลนี้เปแอสเชสามารถทำข้อตกลงกับบาร์ซ่า โดยการจ่ายเงินสดก้อนแรก 120 ล้านยูโร แล้วผ่อนจ่ายเป็นงวดๆ ส่วนเงื่อนไขสัญญาส่วนตัวระหว่างนักเตะ เปแอสเชอาจ ทำข้อตกลงพิเศษรับหน้าที่ดูแลสิทธิประโยชน์และภาพลักษณ์ เงินได้มาเท่าไหร่หักแบ่งเป็นเปอร์เซนต์ให้กับนักเตะ ซึ่งวิธีการนี้ยังอยู่ในกรอบ FFP

อย่างไรก็ตามวิลสัน เสนอแนะว่า ถ้าไม่อยากให้เรื่องยุ่งยากเกินไป การทยอยขายนักเตะที่ไม่ได้ใช้งานในทีมออกไปบ้าง ก็เป็นกระบวนการง่ายๆ ที่จะสร้างสมดุลทางการเงิน 

แน่นอนว่า บทสรุปการย้ายทีมบรรลือโลกครั้งนี้ยังไม่เกิดขึ้น ตราบใดที่ตลาดซื้อขายนักฟุตบอลยังมีเวลาอีก 1 เดือน สิ่งที่เราไม่คาดฝันก็อาจบังเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อครับ