ห่างหายจากบล็อกเล่าเรี่ยราดไปนาน วันนี้ได้ฤกษ์ดีกลับมาปั่นอีกครั้ง แถมมาพร้อมกับประสบการณ์สมัครนกแอร์ รอบ FEB 2018 ที่เพิ่งผ่านไปเมื่อวันที่ 10-11 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมานี่เอง
โดย Process ทุกอย่างของการสมัครลูกเรือสายการบินนกแอร์ครั้งนี้เสร็จสิ้นในสองวันจริงๆ และทราบผลในวันที่ 12 เลย! ถือว่าเร็วที่สุดที่เคยมีก็ว่าได้ เพราะจากที่เคยอ่านๆ รีวิวการสมัครจาก
thaicabincrew.com ปกติแล้วนกแอร์จะมีระยะเวลาเว้นห่างจากแต่ละขั้นตอนอย่างน้อยประมาณ 5-7 วัน แต่นี่คือวันต่อวันเลยจ้าาาา ....
*คำเตือน*
บล็อคนี้มีน้ำเยอะกว่าเนื้อ แต่หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับคนอ่านไม่มากก็น้อย :)
เริ่มเล่ากันเลยดีกว่า
เราทราบมาจากเพจ
thaicabincrew community (จริงๆ ก็เจ้าของเดียวกันกับเว็บข้างบน แค่เปลี่ยนแพลตฟอร์มหน่อยๆ 555) ช่วงกลางเดือนมกราคมว่านกแอร์จะเปิดรับสมัครลูกเรือโดยจะเปิด Walk-in Interview ในวันที่ 10 กุมภา รายละเอียด คุณสมบัติเบื้องต้น เอกสาร กำหนดการ
*สำหรับรอบนี้* ตามรูปข้างล่างนี้เลยครับผม
คุณสมบัติเบื้องต้นการสมัครลูกเรือนกแอร์
กำหนดการและเอกสารประกอบการสมัครลูกเรือนกแอร์
เห็นไหมว่าขั้นตอนทุกอย่างมันเร็วมว๊ากกกกกกกกกกกกกกกกก
เราจำได้ว่าตอนนั้นกังวลมากกกกกกกกกกกกก เครียดมากกกกกกก และอีเวนท์เยอะมากกกกกก ใส่ก.ไก่ยังไงก็ไม่พอค่ะ เพราะเช้าวันที่ 9 (ก่อนวันวอคอิน) เราต้องไปสัมภาษณ์ไลอ้อนแอร์ บ่ายมีประชุมงาน กลางเราก็มีนัดทานข้าวกับเพื่อนจนมืดค่ำ แถมวันที่ 10 (วันวอคอินจริงๆ) มีงานตอนบ่าย TT เป็นงานที่ขาดไม่ได้ซะด้วย
แม้อีเวนท์จะเยอะขนาดนี้... เราก็ยังใช้เวลาช่วงเช้าที่มีแสนน้อยนิดเตรียมเอกสาร แพ็คของ เตรียมชุดไปเปลี่ยนและไปถึงดอนเมืองตั้งแต่ 6.30 น. จนได้
แด่ความพยายาม 5555555555555555555
เราไปถึงดอนเมืองเร็วก็จริงแต่เราแวะเข้าห้องน้ำ หาของกิน กว่าจะไปถึงห้องสัมภาษณ์ปาไปเกือบๆ 7 โมงได้มั้ง มีคนไปรอคิวอยู่ประมาณ 40-50 คน ตามรูปข้างล่าง โดยห้องสัมภาษณ์จะอยู่ที่อาคารสำนักงานสายการบิน (อาคารติดกับ Terminal 1) ชั้น 4
เราว่าเรามาเช้าแล้วนะ 5555
ซึ่งเราต้องรอ 1.30+ ชั่วโมง จนกว่าจะถึงเวลา 8.30 น. ที่จะเริ่มเรียกผู้สมัครเข้าไปยื่นเอกสารและ Pre-screen และแน่นอนว่าเราจะอยู่นิ่งไม่ได้ และจะไถมือถือมากไม่ได้ เดี๋ยวแบตหมดและปวดตาอีก เลยชวนพี่ที่มาสมัคร Cabin Leader ต่อคิวข้างหน้าเราคุยกัน
(ถ้าจำไม่ผิดนะ) พี่เขาชื่อ "แต๋ม" เป็นลูกเรือเก่าจากกาตาร์ กลับไทยมาสักพักแล้วยังอยากบินอยู่ พี่แกเลยมาสมัคร พอคุยไปคุยมาพี่เขาก็เจอเพื่อนๆ น้องๆ จากกาตาร์ด้วยกันอีก 2 คน ชื่อพี่ "แอร์" กับพี่ "หนิง" เลยชวนมาเม้ามอยและต่อคิวด้วยกัน บทสนทนาส่วนใหญ่จึงเบนไปทางกาตาร์ อันไหนที่เบี่ยงออกมาจากตะวันออกกลางและเราพอจอยได้เราก็จอยปายยยยย ฮ่าาาาา
เม้าแปปๆ ใกล้ถึงเวลาก็เริ่มตื่นเต้นกัน เริ่มขุดข้อมูลสายการบิน หาโปรเสสรอบก่อนๆ หยิบเอกสารมาเตรียมไว้ และซ้อมตอบคำถามเบาๆ จนถึงเวลา 8.30 น. กระบวนการคัดเลือกลูกเรือจึงเริ่มขึ้น ..
ขั้นตอนแรก ชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูง ยื่นเอกสาร รับบัตรคิว และถ่ายรูป
เราเห็นคนเริ่มเข้าไปในห้องเชืือดและเดินออกมาในไม่กี่นาที ...
ไอ่คนที่ต่อแถวอยู่ก็งงสิ ทำไมไวแบบนี้! เกิดอะไรขึ้น!
คำตอบก็คือ ...
ส่วนสูงไม่ถึงเกณฑ์ 160 cm.
โดยที่นี่จะแปะแทปที่ผนังไว้ที่ความสูง 160 cm. ไม่ได้ใช้เครื่องวัดส่วนสูงนะ
ถ้าไปยืนๆ ยืดๆ แล้วไม่ถึงเส้น ปรับตกเลยนะฮะ!!!!!
ฮืออออออออออออออ
หลังจากนั้นเราและพี่ๆ ทั้งสามก็ยืนรอแบบใจคอไม่ค่อยดี เพราะพี่แต๋มตัวเล็ก กลัวว่าจะไม่ผ่านเกณฑ์ แต่สุดท้ายแล้วพี่เขาไม่ผ่านจริงๆ อีกนิดเดียวเท่านั้นเองอะ TT มาถึงขึ้นตอนนี้จึงเหลือพี่แอร์ พี่หนิง และเราที่ได้ไปส่งเอกสาร รับบัตรคิว ถ่ายรูป และนั่งรอสัมภาษณ์ Pre-screen ต่อไป
เราจำได้ขึ้นใจเลยล่ะว่าเราอยู่คิวที่ 30 (อย่าเอาไปซื้อหวยนะ มันไม่ออกหรอก) และระหว่างรอเราเลยหาเพื่อนใหม่ๆ และเม้ามอยกับพี่ๆ กันต่อ ประมาณ 9.20 น. เรากับจึงได้เรียกไปสัมภาษณ์ Pre-screen ที่ห้องประชุมอีกห้อง
ขั้นตอนที่สอง Pre-screen
เราเดินเข้าไปสัมภาษณ์พร้อมพี่แอร์ พอเข้าไปในห้อง Pre-screen จะมีกรรมการอยู่ 4 โต๊ะๆ ละ 2 ท่าน หนึ่งในนั้นเป็นกรรมการสัมภาษณ์ผู้สมัครที่พูดภาษาจีนได้ (ซึ่งไม่ใช่เรา 555) พี่แอร์แยกไปโต๊ะ 1 ส่วนเราไปโต๊ะ 2 เจอกรรมการผู้หญิงท่าทางเป็นกันเอง ให้เราแนะนำตัวเป็นภาษาอังกฤษสั้นๆ ถามสารทุกข์สุขดิบเล็กน้อย จากนั้นกรรมการอีกท่านก็หยิบ English Passage ให้เราอ่าน
ตอนแรกที่เราเห็นกระดาษ เราคิดว่าเขาคงให้อ่านประกาศบนเครื่อง แต่จริงๆ แล้วมันคือข่าว! เราได้อ่านข่าวคู่รักถ่ายเซลฟี่บนรางรถไฟแล้วถูกรถไฟชนที่สถานีสามเสน (ข่าวโคตรจรรโลงใจ =____=)
พออ่านจบ คืนกระดาษให้กรรมการ
จากนั้นกรรมการถามกลับมาว่า ...
So, what happened?
*ในใจ* ชิบหายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย
ช็อคไม่เบา เพราะเราคิดว่ากรรมการคงดูท่าทาง สำเนียงการอ่านมากกว่า ไม่คิดว่าจะถามแบบนี้ ไม่ได้ตั้งใจจำหรือจับใจความอะไรเล้ย!
เราก็ตอบ (เป็นภาษาอังกฤษ) ไปสั้นๆ ตามหัวข้อข่าว (จำหัวข้อได้เพราะมันพิมพ์หัวหนา 555) กรรมการจึงถามต่อว่า
Did anyone die?
อันนี้ชิบหายหนักกว่าเดิม เพราะเนื้อความมันอยู่ท้ายๆ และเลือนรางมาก แต่จำได้ว่ามีคำว่า injured (บาดเจ็บ) เลยมั่วสวยๆ ไปว่า No, they're injured, but badly injured. กรรมการก็โอเค จากนั้นขอดูมือดูเล็บและให้เราเดินให้ดู เป็นอันเสร็จสิ้นการพรีสกรีน
พอออกจากห้องพรีสกรีนแล้ว สต๊าฟให้ผู้สมัครไปรอฟังผลอีกห้องหนึ่ง
ใช่ค่ะ ....
ทราบผลทันทีเลยค่ะ!!!!
กรรมการประกาศผลทีละ 20 คิว และแน่นอนว่าระหว่างรอเข้าห้องฟังผลก็เม้าท์กับเพื่อนๆ พี่ๆ ที่เพิ่งผ่านห้องเชือดมาสดๆ เหมือนกันว่าเป็นยังไง โดนบทความอะไร บางคนโดนข่าวเสือดำ, Milky way, Brexit เยอะแยะแรนด้อมมากๆ สั่นและงงไปหมดทุกคนรวมถึงพี่แอร์พี่หนิงด้วย
เรารู้สึกว่ามันรอนานกว่าตอนรอเข้าห้องพรีสกรีนหน่อยๆ อาจเป็นเพราะลุ้นด้วยแหละ พอได้เข้าไปในห้องรอซึ่งมีพี่กรรมการผู้ชายอีกคนนั่งอยู่ทุกอย่างก็เงียบลง ตื่นเต้นกว่าเดิมอีกอะ ระหว่างรอพี่กรรมการได้แจ้งให้ทุกคนทราบไว้ก่อนว่า คนที่ผ่านไปสัมภาษณ์พรุ่งนี้ให้แต่งตัวตามธีม ....
Let's go to the temple
เสียงซุบซิบๆ จึงดังอีกครั้งเพราะกังวลว่าจะแต่งตัวยังไงดี แบบผ้าไทย แบบคนจีน หรือขาวๆ ดี?
เพราะเราคนนึงเป็นประเภทที่ไปวัดแบบสบายๆ เสื้อยืด กางเกงเจเจ ถ้าให้ดีหน่อยก็กางเกงสามส่วน
แต่ไปวัดสำหรับนกแอร์แล้วนั้น ... เราอาจต้องพึ่งบารมีแม่!
แต่เดี๋ยว .. อย่าเพิ่งกังวลไป
รอฟังผลก่อน
อาจจะไม่ผ่านก็ได้นี่นา
จนผลจากห้องพรีสกรีนมาถึง ความเงียบจึงบังเกิดอีกครั้ง
พี่กรรมการเช็คแล้วเช็คอีกสักพักนึงจนแน่ใจว่าจะไม่ประกาศพลาด แล้วบอกว่า ...
"เลขที่พี่จะประกาศคือคนที่ผ่านนะ ให้มาสัมภาษณ์พรุ่งนี้ รายงานตัวตอน 8.30 น. แต่งตัวตามธีมด้วยนะ"
23
....
...
30
...
...
สามสิบบบบบ!!!!! ผ่านนนนน!!!!
โดยในห้องมี 20 คน แต่ผ่านแค่ 6 คน และเราเป็นหนึ่งในนั้น ฮือออออออออออ
แต่พี่แอร์พี่หนิงไม่ผ่าน TT
ทั้งนี้ ขอขอบคุณพี่ๆ ที่ให้กำลังใจตลอดการพรีสกรีนแถมเชียร์ให้ผ่านไปจนติดปีกอีก พี่ๆ น่ารักมาก
ขอบคุณจริงๆ ค่ะ
จนตั้งสติได้สักพักก็รู้สึกน้ำตาจะไหล ฉันจะหาชุดไปวัดยังไงให้ทันพรุ่งนี้เช้าวะเนี่ยยยยยยยยยยยยยย
ออกจากห้องฟังผลประมาณ 10.30 น. ได้มั้ง ก็มายืนคุยกันกับคนที่ผ่านไปด้วยกันว่าพรุ่งนี้จะเอายังไงดี แลกไลน์ ตั้งกลุ่มคุยกัน แล้วแยกย้ายเตรียมตัวไปวัด
ในหัวเราตอนนั้นคือต้องบอกแม่ เพราะเรื่องชุดๆ มนุษย์แม่ไว้ใจได้เสมอ พอกลับมาถึงห้องเรารีบกินข้าวแล้วโทรหาแม่ทันทีเลย! แม่แนะนำหลายอย่างมากๆ พอจะรวบรวมเป็นบทสนทนาคร่าวๆ ได้ดังนี้...
แม่: ใส่เสื้อเชิ๊ตขาวกางเกงยีนส์ก็ได้นะ
เรา: แต่ตอนนี้ยีนส์หลวม ใส่ไม่สวยอะแม่
แม่: งั้นใส่ผ้าถุงก็ได้ แต่หนูใส่เป็นไหม
เรา: ไม่เป็นอะ
แม่: หาวิธีในเน็ตเอา ไม่ยากๆ
เรา: ก็ได้ๆ แต่หนูจะหาผ้าจากไหนอะ
แม่: ตลาดมี หนูไปเดินหาเลือกสวยๆ เอา แต่จริงๆ แม่มีหลายชุดนะ
เรา: แม่ส่งนครชัยแอร์มาได้มั้ย ขี้เกียจหา 5555 ตอนบ่ายทำงานอีก
แม่: ทันหรอ มันต้องไปเอาแต่เช้า เดี๋ยวหนูไม่มีเวลาเตรียมตัว
เรา: นั่นดิ
แม่: เอ้อ! พ่อเข้ากรุงเทพบ่ายนี้พอดี เดี๋ยวถามก่อนว่าออกไปหรือยัง จะได้ฝากพ่อไป
เรา: เย่!!!!!!!!!!!!!!
และแม่ก็รื้อตู้เสื้อผ้าฝากพ่อมาให้เราได้ในเย็นวันเสาร์จริงๆ เอามาทั้งสร้อย เสื้อ ผ้าถุง ผ้าปาเต๊ะ ผ้าซิ่น ทั้งหมด 4 ลุคให้เราเลือกใส่ นี่ขนาดแม่มีเวลาไม่ถึงชั่วโมงในการเลือกมาให้นะ ถ้าเวลาเยอะกว่านี้คงขนมาทั้งตู้เสื้อผ้าอะ 55555555555555
สุดท้ายเราเลือกชุดนี้ไป เหตุผลง่ายๆ คือผ้าซิ่นถูกเย็บเป็นกระโปรงเข้าทรงสวยแล้ว ไม่ต้องลำบากใส่ผ้าถุงเอง ถ้าใส่ไม่สวยเดี๋ยวเสียชื่อลูกแม่หมด ^^
นอกจากแม่เรายังได้คำแนะนำมาอีกว่า ให้เราเปลี่ยนสีเล็บจากสีแดงเป็นชมพูหรือทาสีใสเอา มันจะได้ดูสะอาดและสุภาพ (เราทาสีแดงค้างไว้ตั้งแต่สัมภาษณ์ไลอ้อนนู่นนนแหน่ะ) รอช้าอยู่ใย คืนนั้นเราก็ล้างเล็บ จัดการทาสีชมพูหวานๆ เองให้เรียบร้อยสุดฤทธิ์เลยล่ะ
ขั้นตอนที่สาม Panel Interview
เช้าวันอาทิตย์ที่ 11 เราไม่ต้องรีบมาเหมือนวันก่อนจึงมีเวลาแวะกินข้าวมันไก่ในซอยหอก่อนออกเดินทางไปสัมภาษณ์ เราออกไปกินในชุดไปวัดเพราะขี้เกียจเดินกลับมาเปลี่ยนชุดอีกรอบ แต่ประเด็นของการเล่าเรื่องข้าวมันไก่อยู่ที่ว่า แม่ค้าข้าวมันไก่เดินมาถามว่าผ้านี้ซื้อมาจากไหนลูก จากภาคเหนือรึเปล่า สวยมาก เดี๋ยวไปซื้อบ้าง 55555
อ๋อ! จากอุดรค่ะ จริงๆ เป็นชุดแม่ ^^
เราตอบไปพร้อมได้คำชม (ที่ไม่รู้จริงไหม) "คนสวยใส่อะไรก็สวย" จากแม่ค้าข้าวมันไก่
โอยยยย <3
มีกำลังใจไปสัมภาษณ์แล้วค่าาา
ฟินไปทั้งวันเลยค่าาาาาาาาาาา
ไม่ถอดชุดละค่าาาาาาาาาาาาาาาาาาาาาา
เท่านั้นแหละ
ฟินข้าวมันไก่แล้วรีบเดินทางไปดอนเมืองต่อ เรามาถึงประมาณ 8.00 น. ก็เจอเพื่อนมานั่งรออยู่แล้วประมาณสิบคน นั่งเม้ามอยฆ่าเวลากัน ซึ่งประเด็นหลักของเช้าวันสัมภาษณ์คือการหาชุดเนี่ยแหละ แต่ละคนจัดเต็ม จัดเบา จัดแพง มีความ Unique ต่างกัน บางคนชุดไม่เยอะแต่มีพร๊อพ คนเหนือก็ใส่ชุดแบบเหนือๆ มา คนอีสานอย่างเราใส่ผ้าซิ่น มีคนใส่กี่เพ้าไปวัดจีน มีคนใส่ชุดฮันบกด้วยนะ!
คิดไว้แล้วแหละว่าไปวัดแบบนกแอร์มันต้องไม่ธรรมดาาาาาาาาาาาาา
พอถึงเวลานัดหมาย 8.30 น. พี่สต๊าฟจึงเรียกให้ไปลงทะเบียนรับหมายเลข ตรวจสอบชื่อ-นามสกุล อีเมล์ เบอร์โทร และถ่ายรูปอีกครั้งก่อนเรียกเข้าห้องสัมภาษณ์
ระหว่างรอเรียก พี่สต๊าฟก็เดินแจกแคตตาล็อค
Nok Sky Shop ให้อ่าน ซึ่งทุกคนเดาว่าคงมีให้ขายของแน่ๆ จึงอ่านอย่างเคร่งเครียดและกังวลว่า
จะขายยังไงดี? เพราะส่วนใหญ่ไม่ได้ทำงานด้านการขายเลย รวมถึงเราเองด้วย กลัวว่าถ้าพูดมากไปมันจะดู Hard Sell เกินน่ะสิ
นอกจากแจกแคตตาล็อคแล้วพี่สต๊าฟยังแจ้งว่าจะเรียกไปสัมภาษณ์พร้อมกันทีละ 2 คน ซึ่งเราโชคดีได้คู่กับน้องในกลุ่ม 20 คนเมื่อวาน ได้ทำความรู้จักกันก่อนหน้านี้แล้ว เลยคุยกันได้ไวหน่อย เรากับน้องต่างก็กังวลเรื่องขายของเหมือนกัน เลยปรึกษากันว่าจะขายอะไรดี อะไรที่มันเด่นๆ ขายยังไง ต้องจำราคามั้ย ถ้าจำไม่ได้ทำไงดี ตอนนั้นลนไปหมด มือสั่น เหงื่อแตกกันเลยทีเดียว
จนถึงเวลาที่ต้องเข้าห้องเชือด
สูดหายใจเข้าลึกๆ สักปื๊ดดดดดดดดดด
เดินเข้าไปสวัสดีกรรมการทั้ง 3 ท่าน :)
และนั่งลงบนเก้าอี้ที่จัดไว้
คำแรกที่กรรมการทักเรากับน้องคือ "ผ้าสวยจัง ^^" ตามมาด้วย "ไปขุดตู้เสื้อผ้าคุณแม่มาใช่ไหม" 5555555555 และด้วยความที่ชุดเราคล้ายๆ กับชุดคนเหนือ กรรมการเลยถามว่าเป็นคนเหนือหรือเปล่า เราจึงตอบไปว่าจริงๆ เป็นคนอีสานค่ะ ส่วนชุดนี้อิมพอร์ตมาจากอุดร :)
หลังจากอินโทรเรื่องชุดแล้วกรรมการจึงให้เลือกสิ่งของมาหนึ่งอย่างแล้วขายให้ดู น้องเลือกเสื้อยืด ส่วนเราเลือกหมอนผ้าห่มลายเครื่องบิน ขายๆ โม้ๆ ไปประมาณว่า "ช่วงนี้อากาศหนาวๆ เรามีหมอนผ้าห่มผ้าฟลีซนุ่มนิ่ม ห่มคนเดียวก็ได้ ห่มกับแฟนก็ดี เป็นพร๊อพถ่ายรูปสวยๆ ก็ได้นะคะ >< "
ตลกตัวเองอะ! ไม่ได้บอกราคาด้วยนะเพราะจำไม่ได้ 555555
จบการขายของแล้วถึงเริ่มการตอบคำถาม ซึ่งเป็นคำถามสัมภาษณ์งานทั่วไปและถามตามเรซูเม่ มีทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษสลับๆ กันไป
ตัวอย่างเช่น
- ทำไมถึงอยากเป็นลูกเรือ?
- ทำไมถึงอยากร่วมงานกับนกแอร์?
- คิดว่าอะไรที่เป็นจุดเด่นของนกแอร์?
- ทำงานกับคนแบบไหนยากที่สุด? และจะแก้ปัญหา/อุปสรรคนั้นยังไง?
- ไม่เสียดายงานที่ทำอยู่หรอ? ทำไมถึงอยากออกล่ะ?
- คิดว่าถ้าวันนี้ผ่าน จะผ่านเพราะอะไร? ถ้าไม่ผ่าน เพราะอะไร?
บลาๆๆๆ จำไม่ค่อยได้แล้ว
และคำถามสุดท้าย
มีอะไรจะถามมั้ย?
เราจึงถามไปว่า "ประกาศผลพรุ่งนี้จริงๆ ใช่ไหมคะ" เพราะตอนนั้นเราค่อนข้างงงว่าทำไมมันไวจัง เลยถามเพื่อความแน่ใจอีกที จะได้ทำใจไว้ทัน และกรรมการก็ยืนยันว่าประกาศผลในวันถัดมาจริงๆ ไม่เกินเที่ยงรู้แน่นอน
เฮืออกกกกกกกกกกก
สูดหายใจเข้าลึกๆ อีกรอบตอนออกจากห้อง
ตอนสัมภาษณ์มี Dead air หลายครั้งมาก เพราะกรรมการคิดคำถามไม่ทัน ในใจเราก็คิดว่ากรรมการเค้าคงไม่สนใจเราแน่เลยถึงไม่ถามอะไรมาก แถมด้วยกรรมการทั้งสามมีความโมโนโทน ไม่มีท่าทางแสดงความสนใจไปทางเราหรือน้องเป็นพิเศษ น้ำเสียงเรียบตลอดการสัมภาษณ์ เรากับน้องออกมาจากห้องแบบอึดอัดหน่อยๆ จะรอดไหมเนี่ย TT
แต่จริงๆ ในใจเราเองแอบลุ้นนะ เพราะเป็นครั้งแรกที่เราสัมภาษณ์แล้วไม่สั่น ค่อนข้างชิวและเป็นตัวของตัวเองแบบพอดีๆ ตอบคำถามได้กระชับ ตรงประเด็น (แต่อาจจะสั้นไปนิดนึงในบางคำตอบ) และไม่ตอบในเชิงให้ร้ายหรือบ่นงานเดิม ท้้งๆ ที่ผ่านมาหลายสนามแล้ว เพิ่งมารู้สึกว่าตัวเองพูดโอเคขึ้นก็ตอนนี้เนี่ยแหละ ตัวเราตอนสัมภาษณ์นกแอร์รอบนี้ต่างจากสนามก่อนๆ อย่างเห็นได้ชัดจริงๆ
และแน่นอนว่าออกจากห้องมาก็ต้องแชร์ประสบการณ์กับเพื่อนที่สัมภาษณ์ไปแล้วและเพื่อนที่รอขึ้นเขียงอยู่ คนที่รอก็นั่งสั่นไป ส่วนที่โดนเชือดแล้วก็นั่งกังวลไปว่าจะรอดไหมๆ จิตใจอยู่ไม่สุขจนกว่าจะประกาศผลในวันถัดมา ...
ประกาศรายชื่อผู้ผ่านเข้ารอบตรวจร่างกาย
จริงๆ เก้าโมงยังไม่ประกาศ ...
ณ จุดนั้นคือตัวสั่น ใจสั่น ทำตัวไม่ค่อยถูก ไม่คิดว่าจะผ่านเลยจริงๆ TT พอตั้งสติได้สักแปปเรารีบไล่บอกพ่อ บอกแม่ บอกพี่ บอกพี่ที่ทำงาน บอกญาติสนิทมิตรสหาย ทวิตบอกข่าวคราวเพื่อนๆ พร้อมๆ กับคิดว่า จะบอกหัวหน้ายังไงดี 5555
ทั้งนี้ทั้งนั้น เรายังต้องรอผลตรวจร่างกายอีกอาทิตย์กว่าๆ นับจากวันนี้ (21 ก.พ. 2018)
อย่างไรก็ตาม ขอขอบคุณพ่อแม่ ครอบครัว สหายทุกท่าน พี่ๆ ทุกคน ที่มีส่วนร่วม คอยลุ้น ยอมให้ลางาน คอยสอน คอยแนะนำ ตักเตือน ส่งข่าว และช่วยเหลือภารกิจพิชิตปีกของเราตลอดการลงสมัครมาทั้งหมด 18 ครั้งกว่าจะมาถึงตรงนี้ (ถ้านับไม่ผิดนะ) ทุกคนมีความหมายสำหรับเรามากจริงๆ ให้ไล่รายชื่อมาก็คงไม่อยากอ่านกันแล้ว มันยาวมากแล้ว แต่อยากให้รู้ไว้นะว่าดีใจจริงๆ ที่มีทุกคนอยู่ :)
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in