“กินน้ำมันปลาเวลาไหนดี?” เป็นคำถามยอดฮิตของคนที่หันมาดูแลสุขภาพ เพราะถึงแม้น้ำมันปลาจะขึ้นชื่อเรื่องประโยชน์มากมาย ทั้งบำรุงสมอง หัวใจ และลดการอักเสบ แต่หากกินไม่ถูกเวลา ร่างกายก็อาจดูดซึมได้ไม่เต็มที่ บทความนี้เราจะพาไปหาคำตอบโดยอ้างอิงจาก งานวิจัยและข้อมูลทางโภชนาการ

ก่อนจะตอบว่า “ควรกินตอนไหน” มาดูประโยชน์ของโอเมก้า-3 ในน้ำมันปลากันก่อน

• บำรุงสมองและระบบประสาท → DHA เป็นองค์ประกอบสำคัญของสมอง ช่วยเรื่องความจำและสมาธิ

• ลดการอักเสบ → EPA ช่วยลดภาวะอักเสบในร่างกายและข้อ

• ดูแลหัวใจและหลอดเลือด → ช่วยปรับสมดุลไขมันในเลือด ลดความเสี่ยงโรคหัวใจ

• ส่งเสริมสุขภาพตาและผิว → ช่วยลดอาการตาแห้งและเพิ่มความชุ่มชื้นผิว

งานวิจัยบอกว่า ควรกินเวลาไหนดีที่สุด?

1. กินพร้อมอาหารที่มีไขมัน

งานวิจัยจาก Journal of Nutrition พบว่า การทานน้ำมันปลาพร้อมอาหารที่มีไขมันดี (เช่น อะโวคาโด, ถั่ว, น้ำมันมะกอก) ช่วยเพิ่มการดูดซึม EPA และ DHA ได้ดีกว่าทานตอนท้องว่าง เพราะโอเมก้า-3 เป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัว จำเป็นต้องใช้ไขมันเป็นตัวพาเข้าสู่กระบวนการย่อย

2. กินตอนเช้า

หลายคนเลือกทานในมื้อเช้า เพราะช่วยให้ร่างกายดูดซึมและนำไปใช้ตลอดวัน อีกทั้งยังช่วยให้สมองปลอดโปร่ง ลดอาการ Brain Fog เหมาะกับวัยทำงานและนักเรียน

3. กินตอนเย็นหรือตอนค่ำ

มีงานวิจัยบางส่วนระบุว่า การเสริมโอเมก้า-3 ในช่วงค่ำ อาจช่วยลดการอักเสบและอาการเจ็บปวดกล้ามเนื้อหลังออกกำลังกายได้ดี รวมถึงช่วยให้คุณภาพการนอนหลับดีขึ้น

เคล็ดลับเลือกน้ำมันปลาให้ได้ประโยชน์สูงสุด

• เลือกแบรนด์ที่มีค่า EPA และ DHA สูง

• ผ่านมาตรฐานสากล เช่น GMP, IFOS

• ปลอดโลหะหนักและสารปนเปื้อน

• ดูดซึมง่าย ไม่ทิ้งกลิ่นคาว

ซึ่ง KLARITY น้ำมันปลา จากนอร์เวย์ เป็นตัวอย่างที่ตอบโจทย์ เพราะใช้วัตถุดิบจากปลาทะเลน้ำลึก ผ่านการสกัดและควบคุมคุณภาพอย่างเข้มงวด ทำให้มั่นใจได้ว่าได้โอเมก้า-3 ที่บริสุทธิ์ ปลอดภัย และดูดซึมได้เต็มประสิทธิภาพ

หากถามว่า “กินน้ำมันปลาเวลาไหนดี?” คำตอบจากงานวิจัยก็คือ กินพร้อมอาหารที่มีไขมันดี และเลือกเวลาที่ทำให้ทานได้เป็นประจำทุกวัน ไม่ว่าจะเช้าหรือเย็นก็ได้ ประเด็นสำคัญคือ “ความต่อเนื่อง” ที่จะทำให้ร่างกายได้รับประโยชน์จากโอเมก้า-3 อย่างแท้จริง