กลับมาที่โรงเรียนในเวลาห้าโมงกว่า ๆ ท้องฟ้าเริ่มจะเปลี่ยนสี ได้ยินเสียงร้องของฝูงนกกำลังบินกลับรัง ความเหนื่อยล้าหลังจากการฝึกวิชารักษาดินแดนของชั้นปีที่สองก็ถาโถมเต็มร่างกายจนแทบจะลากขาเดิน ระหว่างทางเดินขึ้นตึกมีแต่เสียงคุยจอแจของเด็กผู้ชายหัวเกรียน ส่วนใหญ่ก็นินทาครูฝึก โดยเฉพาะไอ้ยิ้มที่ขี้บ่นเป็นทุนเดิม วันนี้มันโดนทำโทษให้วิ่งรอบสนามสิบรอบเพราะลืมขัดรองเท้า มันเลยบ่นกับผมตั้งแต่ลงขึ้นรถบัสมายันเดินมาถึงห้อง น่าสงสารนั่นแหละ แต่ก็สมน้ำหน้าด้วยเหมือนกัน
“เอาน่า ไม่ใช่ครั้งแรกสักหน่อย” นั่งลงที่โต๊ะเพื่อเก็บข้าวของใส่กระเป๋าพลางพูดให้ไอ้ยิ้มมันเลิกบ่นสักที พลันที่สายตาสังเกตเห็นว่ากระเป๋าเป้สีฟ้าอ่อนของคนที่นั่งข้าง ๆ ผมนั้นยังคงวางอยู่ที่เดิมบนเก้าอี้ของเขาทั้งที่เวลานี้เขาน่าจะกลับไปได้แล้ว
“ถ้าหาไอ้ญี่ปุ่นล่ะก็อยู่หลังห้องนู่น” ในตอนที่มองซ้ายทีขวาทีกะจะถามใครสักคนก็มีผู้หวังดีคนหนึ่งสังเกตเห็นจึงเดินมาบอกข้อมูล และจากไปในทันที
ผมเดินอ้อมไปที่ระเบียงหลังห้อง เราจึงได้พบกัน
ไดกิกำลังนั่งจุ้มปุ๊กระบายสีผ้าใบผืนใหญ่ที่จะนำไปแขวนไว้ที่แสตนเชียร์ในวันงานกีฬาสี เขาเคยบอกกับผมก่อนหน้านี้ว่ามันคือหน้าที่ของเขา หากแต่ผมไม่พบใครอื่นนอกจากเขา
ผมจ้องมองไดกิไปได้สักพัก ในที่สุดเขาก็รู้ตัว รอยยิ้มกว้างแต้มอยู่บนใบหน้าของเขาเมื่อเงยหน้าขึ้นมาแล้วเจอกับผม ไดกิบอกให้ผมดูภาพที่เขาวาด ผมชมเขาว่าวาดรูปเก่ง แต่ผมก็ยังไม่เข้าใจว่าคนอื่นหายไปไหนอยู่ดี
“คนอื่นล่ะ” ผมย่อตัวลงนั่งเป็นเพื่อนเขาแล้วเอ่ยถาม
“บอกว่าจะออกไปซื้อสีมาเพิ่มเดี๋ยวก็คงกลับมาแล้ว” ไดกิตอบผมด้วยน้ำเสียงสดใส
เพราะสัญชาตญาณอะไรสักอย่างที่ทำให้ผมหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาแล้วเข้าไปในอินสตราแกรม อัพเดตล่าสุดเป็นพวกของยัยน้ำตาลพอดี ไปคาเฟ่เปิดใหม่กันนี่ ดูไม่เดือดร้อนอะไรเลยด้วย ผมถอนหายใจพลางเก็บโทรศัพท์มือถือไว้ที่เดิม มองหน้าคนที่ไม่รู้ตัวว่าโดนหลอก
ดวงตาเรียวที่ดูใสซื่อคู่นั้นกะพริบปริบ ๆ เหมือนกับเด็กไร้เดียงสา ถึงจะรู้สึกว่ามันแอบดื้อรั้นอยู่หน่อย ๆ ก็ตาม ไม่ชอบเลย อย่าเที่ยวไปทำสายตาแบบนี้ให้คนอื่นเห็นได้หรือเปล่า
ผมดีดหน้าผากของไดกิด้วยความมันเขี้ยว เจ้ากระต่ายตัวโตเอามือลูบหน้าผากตัวเองป้อย ๆ พลางถามผมไม่หยุดว่าผมดีดหน้าผากของเขาทำไม
เรื่องอะไรจะบอก
“กลับบ้านกัน” ผมเอ่ยชวน
“แต่ว่าน้ำตาลยังไม่มาเลย ทำไมไม่รอก่อน” สายตาของเจ้าหนูจำไมถูกส่งมา
น่าเอ็นดูตายล่ะ
ถอนหายใจรอบที่สอง อือ น่าเอ็นดูก็ได้
“ไอ้บ๊อง” ผมว่าแล้วดึงพู่กันออกจากมือของไดกิแล้วโยนทิ้งไป
จูงมือไดกิกลับมาที่โต๊ะแล้วหยิบกระเป๋าทั้งของเขาแล้วก็ของผมออกจากห้องไป ไม่ได้คิดอะไรไปนอกจากไม่อยากให้เจ้านี่โดนเอาเปรียบทั้ง ๆ ที่ตัวเองยังคงรอให้เพื่อนกลับมาหาด้วยสายตามีความหวัง
“เดี๋ยวก่อน เรายังไม่ได้ยกเก้าอี้เลยนะ”
ดูสิ ยังจะใส่ใจอะไรก็ไม่รู้อีก
โคตรไม่ชอบเลย
เพราะอย่างนั้นก็เลยยิ่งบีบมือของเขาให้แน่นกว่าเดิม
“ปล่อยมือเราได้หรือยัง” ไดกิอ้อมแอ้มทักท้วงขึ้นมาดูท่าทางเกรง ๆ ก็เพราะคงรู้สึกได้ว่าผมกำลังอารมณ์ไม่ดี ผมถอนหายใจออกมาอีกครั้งอย่างช่วยไม่ได้ ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้รู้สึกแบบนั้น ไม่เข้าใจจริง ๆ “ชีวาโกรธอยู่เหรอ”
“ไม่มีอะไรหรอก” ผมปล่อยมือไดกิ
อาจจะเป็นเพราะสัญญาไปแล้วว่าจะดูแล พอรู้ว่าปกป้องไม่ได้ก็เลยอารมณ์เสีย
“ขอโทษนะ” ผมบอกกับเขา
ในระหว่างทางกลับบ้าน แม้ว่าจะเสื้อจะชื้นเหงื่ออยู่นิด ๆ แต่ข้างหลังของผมก็มีกระต่ายตัวโตเกาะอยู่ไม่ยอมปล่อย ผมถามเขาว่าทำไมถึงเลือกดาวพลูโตมาเป็นคอนเซ็ปต์ของสีเรา เขาตอบเพียงว่าดาวพลูโตน่าสงสาร อยากให้มันได้เฉิดฉายอีกครั้ง ยอมรับว่าผมไม่เข้าใจเขาในบางครั้ง ไดกิดูเป็นคนที่เข้าถึงยาก แต่ผมกลับสัมผัสได้ว่าแต่ละอย่างของเขาช่างดูบริสุทธิ์ไปเสียหมด ไม่ว่าจะเป็นคำพูด หรือแม้แต่การแสดงออก
“วันเสาร์ว่างหรือเปล่า” ผมเอ่ยถามขึ้นมาหลังจากที่มาถึงหน้าบ้านของไดกิ
“ว่างสิ ทำไมเหรอ” ไดกิตอบพร้อมกับคืนหมวกกันน็อกให้กับผม
“ไปหาของกินอร่อย ๆ กัน ตั้งแต่ย้ายมายังไม่ได้ไปที่ไหนเลยใช่ไหมล่ะ” ผมตอบเขาพลางนึกย้อนไป
จำได้ว่าตอนเรียนวิชาไหนสักวิชา ไดกิบอกว่าอยากลองไปกินขนมที่คาเฟ่ย่านนิมมานเหมินทร์ที่โด่งดังตรงนั้น แล้วผมก็รับปากไว้ว่าถ้ามีโอกาสจะพาไป ด้วยความสัตย์จริง ถึงผมจะเกิดแล้วก็โตที่นี่ แต่ผมก็ไม่ค่อยได้ไปแถวนั้นสักเท่าไหร่ ไม่รู้หรอกว่าแถวนั้นมีร้านอะไรบ้าง หรือว่าร้านไหนอร่อยบ้าง ในเมื่อกลุ่มเป้าหมายของที่นั่นก็คือนักท่องเที่ยวนี่นะ
แต่เพื่อไดกิที่ยังไม่คุ้นเคยกับที่นี่เท่าไหร่ ผมก็เลยไปหาข้อมูลมาบ้างแล้วจากอินเตอร์เน็ตบ้าง ถามพวกไอ้ยิ้มกับไอ้มะลิมาบ้าง วางแผนด้วยตัวเองอีกนิดหน่อย คิดว่าผมคงจะเป็นไกด์จำเป็นที่ทำหน้าที่ได้อย่างไม่มีข้อบกพร่องล่ะนะ
“กับชีวาเหรอ” สีหน้าของไดกิดูตื่นเต้นขึ้นมาพร้อม ๆ กับรอยยิ้ม
“อยากไปไหมล่ะ”
“อื้ม ไปสิ อยากไปกับชีวา”
หลังจากวันนั้น ผมก็เฝ้ารอให้วันเสาร์มาถึงเร็ว ๆ
***
ผมชอบตื่นเช้ามาตั้งแต่เด็ก ใคร ๆ ก็บอกว่าผมพลังงานเยอะ และผมก็เห็นด้วย วันนี้เป็นวันเสาร์ เวลาเจ็ดโมงเช้าที่หลาย ๆ คนยังอยู่บนที่นอน แต่ผมกำลังยืนรดน้ำต้นไม้อยู่ ดอกกุหลาบของแม่กำลังบานสวยทีเดียว ผมถ่ายรูปเพื่อจะเอาไปให้ไดกิดู เมื่อหลายวันก่อนไดกิขอให้ผมช่วยเขียนเรียงความภาษาอังกฤษหัวข้อสิ่งที่ชอบก็เลยรู้ว่านอกจากทำขนมแล้วไดกิก็ยังชอบดอกกุหลาบ
เวลาเก้าโมง แม่ตื่นมาทำอาหาร เรานั่งพูดคุยพร้อมกับกินข้าวเช้าด้วยกันเหมือนกับทุก ๆ วันหยุด ผมเป็นลูกชายคนเดียว ไม่มีพี่น้องหรือแม้แต่สัตว์เลี้ยง แม่ไม่ชอบอะไรที่มันวุ่นวาย ผมก็เหมือนกัน ครอบครัวของเราเคยมีสามกันคนพ่อแม่ลูกเหมือนกับครอบครัวทั่ว ๆ ไป จนถึงช่วงที่ผมอยู่ชั้นม.2 พ่อของผมก็ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตไป จำได้ว่าผมร้องไห้ทุกคืน แต่ผมกลับไม่เคยเห็นน้ำตาของแม่ ผมเคยถามแม่ในตอนนั้นว่าทำไมแม่ถึงไม่ร้องไห้ แม่ตอบเพียงว่า ‘เพื่อลูก’ เพราะอย่างนั้นแม่ก็เลยต้องเปลี่ยนตัวเองมาเป็นเสาหลักของบ้าน ผมก็เลยรับรู้ได้ว่าความรักของแม่นั้นยิ่งใหญ่ ลึก ๆ แล้วผมคิดว่าแม่ก็คงจะเสียใจเหมือนกับผม แต่แม่แสดงออกมาไม่ได้ ดังนั้นผมจึงสัญญากับตัวเองไว้ว่าจะเป็นเด็กดีของแม่ ในวันที่ผมเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ผมก็หวังว่าแม่จะได้พึ่งผมในสักวัน
พูดซะเท่เลย แต่คิดแบบนั้นจริง ๆ นะ
เก็บจานไปล้างเรียบร้อยแล้วก็ถึงเวลาขึ้นไปอาบน้ำแต่งตัว ผมไม่เคยคิดหนักเวลาเลือกเสื้อผ้าจะใส่ไปไหน แต่ตอนนี้ผมกลับคิดว่าผมควรจะใส่อะไรดี เป็นเพราะอะไรนะ ไดกิหรือเปล่า ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ในกล่องความคิดของผมมักจะมีชื่อไดกิเข้ามาอยู่เรื่อย อยู่ดี ๆ ก็ดันมีอิทธิพลต่อความคิดขึ้นมาซะอย่างนั้น
ผมเปลี่ยนเสื้อผ้าไปประมาณสองสามชุด แต่สุดท้ายผมก็เลือกใส่เสื้อผ้าที่ผมชอบใส่อยู่ดี
เวลาสิบเอ็ดโมงครึ่ง ผมก็มาถึงบ้านของไดกิ เหมือนว่าเขาก็กำลังนั่งรอผมอยู่เหมือนกัน ตอนที่เห็นผมเลยรีบวิ่งออกมาทันที
“สวัสดีชีวา” ไดกิทักทายผมด้วยหน้าตายิ้มแย้ม
เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นไดกิใส่ชุดอื่นนอกจากชุดนักเรียน เขาใส่เสื้อยืดสีขาวทับด้วยเสื้อสเวตเตอร์สีน้ำเงินกับกางเกงยีนส์แล้วก็รองเท้าผ้าใบ ถึงแปลกตาอยู่บ้าง แต่เพราะหิ้วถุงผ้ารักโลกมาด้วยแบบนี้ก็ดูเป็นไดกิดี
“ไปกันเถอะ”
เรามาหยุดอยู่ที่คาเฟ่แห่งหนึ่งในซอยที่ 9 เป็นคาเฟ่วินเทจสีขาวสะอาดตา ความจริงผมจะพาไดกิมาที่ร้านข้าง ๆ ที่ตกแต่งน่ารัก ๆ นั้นต่างหาก แต่ไดกิบอกว่าชอบร้านนี้มากกว่า แล้วผมจะขัดใจลูกค้าได้ยังไง
“ชีวาดื่มอเมริกาโน่เลยเหรอ” หลังจากที่สั่งเครื่องดื่มกับขนมไป ไดกิก็เอ่ยถามผมขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสนใจใคร่รู้
“ใช่ ทำไมเหรอ” ผมตอบเรียบ ๆ
“เท่ดี...” ไดกิยิ้มเล็ก ๆ ก่อนจะก้มหน้าก้มตากดโทรศัพท์มือถือแล้วพูดอ้อมแอ้ม “อยากเท่แบบชีวาบ้าง”
“แลกชาพีชกับเราไหมล่ะ” ผมลองเย้าแหย่
“ไม่เอาหรอก ใครจะไปดื่มอเมริกาโน่ขม ๆ กัน” กระต่ายตัวโตทำแก้มพองบ่นอุบอิบ
ไหนบอกว่าอยากเท่ไง
แต่สำหรับบางคน เท่อาจจะไม่ถนัด เหมาะกับน่ารักมากกว่า
เราคุยนู่นนี่กันไปสักพักของที่สั่งก็มาเสิร์ฟ ไดกิดูดชาพีชของตัวเองก่อนเหมือนกับเป็นการชิมแล้วหันมาสนใจขนมหวานพลางพึมพำกับตัวเองว่าน่ากินวนไปวนมาอยู่อย่างนั้นแต่ก็ยังไม่กินสักที พิธีการก่อนการกินก็คือการถ่ายรูป ถ่ายจนวิปครีมยุบก็ยังไม่หยุดถ่าย
“กินได้แล้วมั้ง”
“เค้กน่ารักมากจนไม่อยากกินเลย”
นั่นแหละ ผมไม่เข้าใจความคิดของเด็กผู้ชายที่ชื่อไดกิจริง ๆ
“ล้อเล่น กินกันเถอะ” ไดกิหัวเราะตาหยีแล้วหยิบส้อมมาตัดเค้กเป็นชิ้นพอดีคำก่อนจะยื่นมาตรงหน้าผม “ชีวากินก่อน”
ผมไม่ค่อยชอบของหวานเท่าไหร่ แต่ด้วยความสัตย์จริง เค้กชิ้นนี้อร่อยดี
ไดกิชอบกินของหวานมากกว่าผม ดูมีความสุขมากทีเดียวที่ได้ลิ้มลองขนมแสนอร่อย แก้มป่อง ๆ จากการเคี้ยวตุ้ย ๆ ดูเหมือนกับกระต่ายกำลังกินแครอทไม่มีผิด หุบยิ้มไม่ได้เลย
“ปากเลอะครีมน่ะ”
ผมห้ามมือตัวเองไม่ทัน แทนที่จะหยิบทิชชูให้ไดกิ ผมกลับยื่นมือไปเช็ดครีมที่เลอะปากของไดกิไปซะดื้อ ๆ เจ้าตัวสะดุ้งเล็กน้อย แต่ก็ยังอยู่นิ่ง ๆ ให้ผมเช็ดครีมออกไปอยู่ดี และนั่นก็ทำให้ผมรู้ว่าริมฝีปากของไดกินุ่มกว่าเค้กที่เพิ่งกินไปเสียอีก
“ขอบคุณนะ” ไดกิบอกกับผมพร้อมกับรอยยิ้มเห็นเหงือกสีชมพู
"จริงสิ มีอะไรให้ดู" ผมนึกขึ้นมาได้เมื่อเช้าเพิ่งจะถ่ายรูปดอกกุหลาบมาให้ไดกิดู ผมยื่นโทรศัพท์มือถือให้กับไดกิ เข้าเลื่อนดูรูปไปพลางยิ้มไปพลาง "ดอกกุหลาบของแม่ บานเมื่อเช้านี้ เห็นว่าชอบก็เลยถ่ายมา"
"จำได้ด้วยเหรอ แต่สวยจังเลย วันหลังพาเราไปเที่ยวบ้านชีวาบ้างสิ" ไดกิว่าพลางคืนโทรศัพท์มือถือให้กับผม มือของเราโดนกันนิดหน่อย
"ได้เลย" ผมรับปาก
หมดเวลาดื่มด่ำกับความหอมหวานแล้ว ก่อนที่ผมจะพาไดกิไปที่ซอย 1 ที่เป็นแหล่งรวมร้านค้ามากมาย ไดกิกลับถามผมว่าผมชอบไปที่ไหน เขาอยากไปบ้าง ดังนั้นเราก็เลยพากันมาที่ร้านหนังสือเล็ก ๆ ร้านหนึ่งในซอย 3 อย่างที่บอกว่าผมไม่ได้มาบ่อยหรอก แต่ถ้าจะมา ผมก็จะต้องมาแวะที่นี่ทุกครั้ง คือร้านเล่า ที่ไม่ใช่ ร้านเหล้า
“จริงสิ ชีวาเคยบอกว่าชอบอ่านหนังสือกับเขียนบันทึกนี่นา” ไดกิทุบกำปั้นกับมือตัวเองเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้
“เพราะถ้าไม่มีเรื่อง ก็คงไม่ได้เล่า หรือถ้าจะเล่า เราก็ต้องมีเรื่อง” ไดกิเอียงคอให้กับคำพูดของผม งงเป็นกระต่ายตาแตก “สโลแกนของร้านน่ะ”
ไดกิพยักหน้ารับรู้แล้วหัวเราะออกมานิดหน่อย ถ้าเทียบกับตอนแรกเจอ ตอนนี้ไดกิก็ไม่ได้ดูเป็นคนขี้อายขนานั้น เราเดินดูหนังสือไปด้วยกัน ผมแนะนำบางเรื่องให้ไดกิอ่าน แต่เขาบอกว่าไม่ใช่แนวเท่าไหร่ ชอบอ่านการ์ตูนมากกว่า นั่นสินะ นี่คือไดกิยังไงล่ะ จะจดเอาไว้เป็นข้อมูลของเขาแล้วกัน
“ทำไมชีวาถึงชอบอ่านหนังสือ” ไดกินั่งลงยอมแพ้หลังจากที่ผมเข้าไปสูงวังวนของหนังสือ แต่ก็ยังคงส่งคำถามมาเรื่อย ๆ สมกับเป็นเจ้าหนูจำไม
“จำไม่ค่อยได้ แม่ชอบอ่านมั้ง ก็เลยอ่านตาม” ผมตอบเขาไปแบบนั้นก็เพราะผมไม่แน่ใจว่าผมชอบอ่านหนังสือมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ตั้งแต่ตอนเด็ก ๆ ก็มักจะถือหนังสือติดมือไปไหนมาไหน คงเหมือนกับเด็กที่ติดผ้าห่ม ไม่ก็หมอนเน่า
“ชีวาต้องป๊อปมากแน่ ๆ ที่โรงเรียน” อยู่ ๆ ไดกิก็พูดออกมาแบบนั้น ทำให้ผมยิ้มนิดหน่อย เขินละมั้ง
“ทำไมล่ะ” ผมถามกลับในขณะที่สายตายังคงมองหาหนังสือของนักเขียนคนโปรดเพื่อกลบเกลื่อน
“ก็ดูสิ ชีวาทั้งหล่อ ทั้งตัวสูง เรียนเก่งอีกต่างหาก งานอดิเรกก็เท่เป็นบ้า” ไดกิตอบเรียงข้อ วินาทีต่อมาเราก็เผลอสบตากัน “ใครไม่ตกหลุมรักก็แย่แล้ว”
“ว่าไปนั่น” ไดกิหลับตาปี๋เพราะเห็นผมทำท่าจะเขกกำปั้นลงไป แต่ผมก็เปลี่ยนเป็นแค่ขยี้ผมของเขาให้ยุ่งก็เท่านั้น และเมื่อเดินออกมาจากร้านก็เอ่ยถามอีกคนที่ท่าทางเบื่อเต็มที ช่วยไม่ได้ นายอยากมาเองนี่นา “เดี๋ยวแวะซื้อขนมไปฝากพ่อแม่กับพี่อากิหน่อยดีไหม”
“อื้ม ดีเลย” ไดกิหันกลับมาพยักหน้าตาแป๋ว เปลี่ยนอารมณ์ไวชะมัดเจ้านี่
ส่วนของฝากจากร้านเล่าของผมก็คือหนังสือสองเล่มเอาไปให้แม่ล่ะนะ แต่ผมขอยืมอ่านก่อนแล้วกัน
เราแวะซื้อบราวนี่ช็อตของร้านชื่อดังเป็นของฝากให้ครอบครัวของไดกิ แน่นอนว่าเจ้าตัวแอบชิมไปแล้วหนึ่งกล่อง คงจะชอบขนมหวานมากจริง ๆ นั่นแหละ ผมเอ่ยแซวไปนิดหน่อย ไดกิเพียงยิ้มแล้วก็หัวเราะกลบเกลื่อน
ผมชอบมาก รอยยิ้มของเขา เสียงหัวเราะของเขา ดูเป็นคนที่มีความสุขที่สุดในโลกเลยล่ะ จะว่าไป มันมีไม่กี่คนหรอกนะที่จะทำให้ผมยิ้มตามได้มากขนาดนั้น
วันนี้ผมบังเอิญได้รู้ตัวว่าความจริงผมต่างจากไดกิมาก
และผมก็ยังรู้ตัวอีกว่าผมเริ่มจะชอบไดกิเข้าให้แล้ว
แต่น่าเสียดายที่พระอาทิตย์ตกเร็วเกินไป เวลาของเราที่อยู่ด้วยกันก็หมดลง
“กลับกันเถอะ”
Tbc.
#kisekijohndo
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in