"ก็แหม มักคือรักแรกพบเชียวนะคะ จะปล่อยให้ความรู้สึกชั่วขณะแบบนั้นหลุดลอยไปไม่ได้เด็ดขาด เพราะถ้าไม่รีบบันทึกไว้ อีกหนึ่งนาทีให้หลัง โลกทุกอย่างก็จะเปลี่ยนไปหมด"
-มาเรีย,41 น.-
.
วรรณกรรมที่รวบรวมเรื่องสั้นจากชีวประวัติของสี่ศิลปินฝรั่งเศสระดับโลก อ็องรี มาติส - เอ็ดการ์ เดอการ์- ปอล เซซาน และโคลด โมเน มาถ่ายทอดเป็นเรื่องราวที่แต่งแต้มด้วยสีสันโดยสี่บุคคลรอบตัวศิลปินเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นแม่บ้าน จิตกรหญิง ลูกสาวพ่อค้าอุปกรณ์วาดภาพ และลูกเลี้ยงสาว ในสี่เรื่องราวเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องราวที่ได้รับการนำมาตีความและถ่ายทอดออกมาโดย มาฮา ฮาราดะ นักเขียนชาวญี่ปุ่น ดังนั้นแม้ว่าเรื่องราวจะมีพื้นหลังอยู่ที่ฝรั่งเศสในยุคศิลปะแบบอิมเพรสชันนิสน์ แต่ถ้อยคำที่ร้อยเรียงออกมานั้นมีความเรียบง่ายและสวยงามตามแบบฉบับของญี่ปุ่น มีความสงบแต่มีชีวิตชีวาและสดชื่น แม้ว่าเรื่องสั้นทั้งสี่จากชีวประวัติของศิลปินทั้งสี่จะไม่ได้เกี่ยวเนี่องกันโดยตรง แต่เมื่อลองไล่อ่านไปทีละเรื่องตามลำดับก็จะค่อยๆ ดื่มดำไปกับผลงานศิลปะในเรื่องโดยไม่รู้ตัว ยิ่งผ่านไปเรื่องแล้วเรื่องเล่า ความรู้สึกเจิดจรัสในเรื่องราวก็ทวีมากขึ้นตามลำดับ
.
เรื่องสั้นทั้งสี่เรื่องประกอบไปด้วย "สุสานแสนงาม" เรื่องราวของมาเรีย แม่บ้านสาวที่มีโอกาสได้ไปทำงานในคฤหาสน์ของอ็องรี มาติส ศิลปินผู้มีนัยน์ตาแห่งรักแรกพบ ร้อยเรียงสุนทรียะที่มีสีสันฉูดฉาดและตราตรึงในความทรงจำไปชั่วนิรันด์ "เอตวล" เรื่องราวที่บอกเล่าการดิ้นรนต่อสู้ของจิตกรแนวอิมเพรสชันนิสม์อย่างแมรี จิตกรสาวชาวอเมริกันและ เอ็ดการ์ เดอการ์ ศิลปินผู้เป็นเจ้าของหุุ่นปั้นและภาพวาดนักบัลเล่ต์ผู้โด่งดัง "พ่อตองกีย์" เรื่องราวของ ปอล เซซานที่ถ่ายทอดผ่านจดหมายของลูกสาวร้านขายอุปกรณ์ศิลปะ ถ่ายทอดความรู้สึกเรียบเรื่อยแต่ลุกโชนไปด้วยแสงเปล่งประกายจากภาพวาดที่ตั้งอยู่มุมร้านอุปกรณ์ศิลปะ และเรื่องสุดท้าย "โต๊ะอาหารที่จิแวร์นี" เรื่องราวของโคลด โมเนและลูกเลี้ยงสาวอย่างบล็องช์ ผันผ่านฤดูกาลนับไม่ถ้วน ซึมซับไออุ่นและกลิ่นหอมจากอาหารกลางวันในคฤหาสน์ที่จิแวร์นี สะท้อนความงดงามของผืนโลก ท้องฟ้าสีคราม ดอกบัว และทุ่งหญ้า อวลกลิ่นไอแห่งความอบอุ่นและน่าประทับใจ ทำให้โลกของผู้อ่านได้รับการแต่งแต้มด้วยสีสันในเรื่องจนยากจะลืมเลือน
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in