เราอยู่กับโรคมาปีกว่า ๆ แล้ว (หัวเราะ) จำได้ว่าเคยมาเขียนเล่าเรื่องไว้ด้วยไฟอะไรซักอย่างตอนนั้น อย่างที่เห็น ไฟวูบวาบดับไปในเวลาอันรวดเร็ว (หัวเราะ) เนี่ยจำไม่ได้แล้วว่าจุดประสงค์ตอนนั้นคืออะไรนะ แต่ก็ยังอยากเล่าอยู่ เลยตัดสินใจจะเล่าต่อไปแบบ Organic ปล่อยมันไปอย่างที่เป็น~ No more romanticising
ในชีวิตเราเคยอ่านเรื่องเล่าที่เกี่ยวกับโรคซึมเศร้ามา น่าจะแค่สองเล่มถ้วน เล่มแรกผลักดันให้เราตัดสินใจไปพบหมอในวันนั้น ส่วนเล่มที่สอง อ่านแล้วหงุดหงิด (หัวเราะ) อาจจะเพราะไม่มีประสบการณ์ร่วมกับเขา เลยไม่ได้เข้าใจในสถานการณ์ที่เขาเจออยู่เท่าไหร่ บวกกับมันเป็นหนังสือแปล ข้อความมันถูกปรับมาหลายชั้นกว่าจะมาถึงมือ เรารู้สึกว่าระดับภาษามันกระโดด เหมือนตอนแรกเป็นภาษาพูดอยู่ดี ๆ เรียกตัวเองด้วยบุรุษที่ 1 (ฉัน, เรา, เธอ, ผม) อยู่ดี ๆ กระโดดไปที่คำว่า "ทบทวี" เรานี่งงตาแตก แต่ก็พยายามอ่านให้จบเล่มอยู่นะ เพราะอยากสัมผัสช่วงเวลาของแสงปลายอุโมงค์ที่เขาพูดถึง เผื่อเกิดขึ้นกับตัวเองจะได้รู้ตัวทัน (หัวเราะ)
อ่อ นอกจากหาหมอ เราขอพบนักจิตวิทยาเพิ่มด้วย เราว่ามันดีมากเลยนะ ถ้าได้รักษาทั้งสองทางไปพร้อม ๆ กัน จิตแพทย์ก็ดูแลเคมีในสมอง นักจิตวิทยาก็ให้คำปรึกษาอารมณ์ ความคิด อะไรต่าง ๆ ที่ถูกสมองประมวลผลมาแล้วอีกทีหนึ่ง กว่าคุณหมอจะยอมให้พบนักจิตฯ ก็นานเอาเรื่องเลยล่ะ ก็พอเข้าใจอยู่นะว่าร่างกายมันชำรุดอยู่จะส่งไปกายภาพเลยก็ใช่เรื่อง แต่ช่วงเวลาที่เคมีมันบีบให้เศร้าสุด ๆ การได้มีที่ปรึกษามันเหมือนเรากำลังจะหล่นเหว แต่คว้ากิ่งไม้ไว้ได้ทัน แบบนั้นเลย Life saver น่ะค่ะ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in