สำหรับเทคนิคพิชิต TOEFL Listening มีดังนี้ค่ะ1. ปรับเสียงหูฟัง –ปรับให้ดังเล็กน้อยเพื่อการฟังที่ชัดเจน
2. ตั้งใจฟัง – เราต้องมีสมาธิอยู่กับการฟังเพื่อเก็บรายละเอียดของเนื้อหาที่เรากำลังฟังอยู่ให้ถูกต้องที่สุด
3. หัดฟังเยอะๆ – พยายามฝึกฝนจากข้อสอบ TOEFL เก่าๆหรือ Practice Test ต่างๆ โดยรอบแรกให้ฟังและโน้ตเหมือนเวลาทำข้อสอบ TOEFL จริง ครั้งต่อไป ให้ฟังพร้อมดูเทปสคริปและสังเกตว่าคำไหนที่เราฟังไม่ออก การทำแบบนี้จะทำให้เราฟังได้เก่งขึ้น และทำข้อสอบได้เร็วขึ้นด้วยค่ะ
4. ฟังสำเนียงที่หลากหลาย – แม้ว่าTOEFL จะเป็นข้อสอบของอเมริกา แต่สำเนียงที่เราจะได้ยินอาจเป็นสำเนียงบริติช ออสเตรเลียน หรือนิวซีแลนด์ เพราะฉะนั้นฟังให้หลากหลายสำเนียงเข้าไว้ ปลอดภัยที่สุดค่ะ
5. การทำความคุ้นเคยกับคำถาม – ช่วยให้เราไม่ต้องกังวลกับคำถาม คุ้นเคยกับสิ่งที่ข้อสอบมักจะถาม เราจะจับเนื้อหาที่ได้ยินได้ดีขึ้นด้วยค่ะ
6. ทำความคุ้นเคยกับสำนวนการพูด – แนะนำให้ดูหนังหรือซีรีย์ฝรั่ง โดยสังเกตลักษณะท่าทาง การคุยกันของตัวละคร น้ำเสียง จนเกิดความคุ้นเคย เวลาอยู่ในห้องสอบจะทำข้อสอบ TOEFL ได้ง่ายขึ้นและเร็วขึ้น
7. จด Keyword ตอนฟัง – จดเฉพาะเนื้อหาหลักๆ หากเป็น Lecture แล้วมีการแนะนำ New word, new idea, new concept สิ่งเหล่านี้มักจะเป็นสิ่งสำคัญที่โจทย์จะถามค่ะ
8. อย่าจดทุกอย่างที่ได้ยิน – เพราะจะทำให้เราเสียสมาธิ หากเราไม่รู้ว่าสิ่งไหนสำคัญ ก็ควรฝึกฝนบ่อยๆ ว่าแนวข้อสอบ TOEFL เป็นอย่างไร มักถามอะไร
9. เลือกคำตอบให้ดี – เพราะเราไม่สามารถกลับมาแก้ไขคำตอบได้
10. จับจุดอ่อนของตัวเอง – เวลาที่เราฝึกทำข้อสอบ TOEFL หากมีข้อไหนที่ทำผิด แนะนำให้ย้อนกลับกลับไปฟังอีกรอบ แล้ววิเคราะห์ว่าเราผิดเรื่องอะไร ผิดในส่วนไหน จะทำให้เราทำข้อต่อๆไปอย่างระมัดระวังมากขึ้น
Top 5 Tips พิชิต IELTS Speaking 1. พยายามทำ Section แรกๆ ให้ได้
ใน Section แรกๆ โดยเฉพาะ Section ที่ 1 จะถามเกี่ยวกับ เรื่องใกล้ตัวของเรา การศึกษาข้อมูลจากข้อสอบเก่า IELTS แล้วฝึกตอบคำถามนั้น จะช่วยได้เยอะค่ะ เพราะมีเปอร์เซ็นสูงที่ข้อสอบ IELTS จะวนมาถามเรื่องที่เคยถามไปแล้วค่ะ
2. เลือกคำตอบที่ยกตัวอย่างได้ง่าย
ในบางครั้ง กรรมการสอบ IELTS จะถามเราในเรื่องที่ไม่คุ้นเคย ซึ่งก็ไม่ต้องตกใจนะคะ ก่อนอื่นให้เราเลือกตอบว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย โดยคำตอบนั้นจะต้องเป็นคำตอบที่เราสามารถยกตัวอย่างสนับสนุนได้ง่าย โดยอาจจะเป็นเรื่องที่เราเคยพบเห็นในชีวิตประจำวันก็ได้ค่ะ
3. จัดลำดับความคิดให้ดี
เราควรมีการจัดลำดับความคิด ให้มีทั้ง Introduction, Body และ Conclusion ซึ่งก็จะเหมือนกับการเขียน ซึ่งการจัดลำดับความคิดให้ดี จะทำให้เรามีเนื้อหาในการพูดเพียงพอ ครบถ้วน ทำให้การพูดไม่ติดขัด สิ่งที่ควรจำไว้เสมอเลยคือ การพูดนานเกินกว่าเวลาที่กำหนดก็ยังดีกว่าการพูดน้อยเกินไปและตอบไม่ตรงคำถาม
4. ใช้ประโยค-คำศัพท์ ที่หลากหลาย
การที่เราจะตอบคำถามประโยคๆหนึ่ง ควรมีการใช้คำที่หลากหลาย ใช้ประโยคหลายๆแบบ เช่น หากเราต้องการจะบอกว่า เราชอบว่ายน้ำ แทนที่เราจะพูดว่า “I like swimming.” เราอาจพูดว่า “My most preferred sport is swimming.” และหากเราต้องการจะอธิบายเพิ่มเติม เราอาจจะพูดว่า “I started swimming since I was very young and I have been enjoying it ever since. In my opinion, swimming is the best sport for well-being จะเห็นได้ว่าใจความสำคัญของเราก็ยังพูดถึงกีฬาที่เราชอบ ก็คือกีฬาว่ายน้ำ แต่เราบอกเพิ่มเติมว่า เราว่ายน้ำมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วก็ชอบมาโดยตลอด และรู้สึกว่ามันเป็นกีฬาที่ดีที่สุดสำหรับสุขภาพ แต่ ประเด็นของประโยคนี้คือ เรามีการใช้ประโยคที่หลากหลาย มีการพูดถึงเหตุการณ์ในอดีต มีการใช้ Past Tense, Perfect Tense มีการใช้ Since, Opinion, Well-being เป็นต้น
5. พูดให้เสียงฟังง่าย
ไม่ควรพูดดังหรือเบาเกินไป รวมถึงการพูดเอ่อ อ่า หรืออ้ำอึ้ง ก็ไม่ควรมีเช่นเดียวกันค่ะ การพูดให้ฟังง่าย จะทำให้กรรมการเข้าใจในสิ่งที่เราต้องการสื่อสารได้ดี โอกาสที่จะได้คะแนนดี สำหรับ IELTS Part Speaking ก็จะมีมากขึ้นค่ะ