ถ้าให้เทียบการติดเกาะร้าง
กับการเขียนธีสิสของเรา
คงเปรียบเป็นช่วงของการดิ้นรนจะออกไปให้ได้
แต่สุดท้ายก็ล้มเหลว
เวลาหนึ่งเดิือนกับอีกหนึ่งสัปดาห์หลังจากนำเสนอความคืบหน้า 30% ครั้งก่อน น่าประหลาดใจที่งานของเราคืบหน้าแค่นิดเดียว ชื่ออย่างเป็นทางการของการนำเสนอรอบนี้คือต้องให้ได้ 70% แต่เราประเมินด้วยตัวเองในฐานะเจ้าของผลงานว่าทำได้แค่ 35% เท่านั้น
เพราะอะไรน่ะเหรอ
เราก็ไม่รู้เหมือนกัน
และเพราะว่าเราไม่รู้ เราจึงหาทางออกไม่ได้ กำลังดิ้นรนเหมือนกับติดเกาะร้างจริง ๆ
ก่อนถึงวันนำเสนอ เราฝืนเขียนให้ได้มากที่สุด แต่ได้มาแค่ 4 ตอน จากทั้งหมดที่ตั้งใจว่าจะเขียน 16 ตอน เราสารภาพกับครูที่ปรึกษาธีสิสตรง ๆ ว่าเราช้า เพราะเราเครียด แต่ถ้าสงสัยว่าเครียดจากอะไร เราหาคำตอบไม่ได้เลย เพราะถ้าเรารู้คงแก้ได้แล้ว
เดาไว้ว่าคงเป็นเพราะเราชอบทำงานตามอารมณ์
ส่วนที่เหลือต่อจากนี้เป็นการสร้างสรรค์ผลงานตามพล็อตที่วางไว้ ซึ่งต่อให้วางแผนไว้หนักแน่นและชัดเจนแล้ว แต่ยังต้องใช้ความสร้างสรรค์อยู่ดี และสำหรับเรา ความสร้างสรรค์นี้จะบีบเค้นบังคับให้มันออกมาไม่ได้ เราจึงทำแค่รอเวลาที่เหมาะสม
รอไปรอมาก็เริ่มรู้ตัวว่ามันจะไม่ทันเอานะ ต้องเร่งเขียนแล้ว เราจึงพยายามเขียน
แต่ยิ่งพยายามเค้นเท่าไร ก็ยิ่งเครียดและเขียนไม่ได้ กลายเป็นความเครียดที่วนเป็นวงกลม
เมื่อถึงวันนำเสนอ น่าแปลกที่เพื่อนหลายคนมีอาการเดียวกัน คืองานไม่คืบหน้า หมดไฟ หมดพลัง ใบหน้าของเพื่อนบางคนแสดงออกมาอย่างชัดเจนว่ากำลังเครียด เราโล่งใจขึ้นมาที่เราไม่ได้ประสบปัญหานี้อยู่คนเดียว อย่างน้อยก็มีเพื่อนร่วมรุ่นที่เป็นเหมือนกัน ความหวังว่าจะผ่านมันไปได้เหมือนรุ่นพี่ปีก่อน ๆ จึงค่อย ๆ ก่อเกิด
การสารภาพตรง ๆ กับครูที่ปรึกษาแบบง่าย ๆ ว่าเครียดเลยเขียนช้า ทำให้เราได้คำแนะนำที่เจาะลูกโป่งปัญหาให้หัวของเราให้แตก ครูบอกว่า ถ้าเครียดให้สลับไปวาดรูป
เออว่ะ
ทำไมเราถึงคิดไม่ได้ตั้งนานแล้ว เวลาที่ผ่านมาจะได้ไม่สูญเปล่า
แต่มันเป็นอดีตที่กลับไปแก้ไม่ได้ เราจึงไม่คิดเรื่องนี้นาน แล้วเริ่มวางแผนเรื่องภาพหน้าปกของหนังสือเล่มนี้อย่างจริงจัง
ก่อนหน้านี้เราลังเลว่าควรจ้าง หรือจะวาดเอง ตอนนี้เราตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะวาดด้วยมือของเราเอง เพราะจะจ้างก็หานักวาดที่พร้อมแก้งานไปกับเราไม่ทัน ส่วนการวาดเองแบบดิจิตอลอาร์ตอาจทำให้เราเครียดกว่าเดิมได้
เราเลือกสิ่งที่เราชอบที่สุด คือศิลปะแบบอิมเพรสชั่นนิสม์ ภาพที่อาจมองไม่ชัดว่าอะไรเป็นอะไร แต่จะเป็นภาพที่กระตุ้นความรู้สึกบางอย่างของคนมอง
เราอยากทำให้ปกหนังสือเล่มนี้ดึงดูดให้คนหยิบมาเปิดดูมากที่สุด จึงจะใช้ประโยชน์จากสีและน้ำหนักฝีแปรง ด้วยการใช้เทคนิคสีอะคริลิคบนผ้าใบ สีอะคริลิคแห้งเร็วเหมาะกับคนใจร้อนแบบเรา และผ้าใบก็หนาพอจะรองรับน้ำหนักมือที่ควบคุมไม่เป็นของเราได้
เราจะใช้สีโทนเย็น มืด ๆ เช่น น้ำเงินเข้มอมเขียวกับเทาเข้มเกือบดำมาแทนภาพทะเลที่ลึกลับ น่าค้นหา มีสีขาวเป็นฟองคลื่นตัดกันให้ทะเลสวยงามตามมุมมองของเรา ส่วนเกาะจะใช้สีโทนร้อนให้ภาพอบอุ่นมากยิ่งขึ้น หาดทรายเป็นสีเหลืองนวล ๆ มีแสงอาทิตย์ส่องลงมาที่เกาะเป็นสีส้มแสดงถึงความหวังที่ยังคงมีอยู่ในหนังสือเล่มนี้
เราวาดภาพนี้ในหัวไว้แล้วเรียบร้อย แต่ไม่รู้ว่าจะวาดออกมาแบบนี้ได้ไหม เพราะห่างจากการวาดภาพด้วยมือมาเป็นปี และเดิมทีฝีมือก็ไม่ได้มีมากมายอะไร
เราเลยสะกดจิตตัวเองอยู่ทุกวันว่าจะวาดภาพหน้าปกด้วยหัวใจที่ปล่อยโล่ง ไร้ความกังวลเรื่องทั้งหมดที่ว่ามา ปล่อยอารมณ์ไปกับสีและแปรงที่มี อยากเติมตรงไหนก็จะเติมไปเรื่อย ๆ ยิ่งมีก้อนสีในภาพให้ดูมีพื้นผิวไม่เรียบแบนยิ่งดี
ส่วนสิ่งที่จะทำต่อไป คงไม่พ้นการเขียนต่อให้จบ ดิ้นรนออกจากเกาะร้างให้ได้
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in