สวัสดีจ้า ( ̄▽ ̄)ノ
บันทึกหลังถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคซึมเศร้า แล้วเราจะผ่านมันไปให้ได้
แนะนำตัวเองอย่างคร่าวๆ ว่าทำงานเขียนหนังสือ เป็นมนุษย์เพศหญิงที่ถ่อยนิดๆ และติดกาแฟ ผู้ที่เมื่อต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา ก็ฉลองปีใหม่ด้วยการถูกพี่ที่ทำงานพาไปเข้าคลีนิกพบจิตแพทย์ ในฐานะผู้ต้องสงสัยว่าป่วยเป็นโรคซึมเศร้าหรือเปล่า
แน่นอนว่าได้รับการวิเคราะห์ว่าเป็น จึงเป็นที่มาของบันทึกนี่ ความที่เมื่อกลางปีก่อน พี่ที่ทำงานคนหนึ่งเครียดจัดแล้วไปหาหมอ นัยว่าจะบ่นให้หมอฟังคลายเครียด เลยหาคลีนิกจิตเวชดีๆ สักแห่งทางอินเตอร์เน็ตแล้วเดินดุ่มเข้าไปคุย แต่ไปๆ มาๆ หลังคุยก็ได้รับการวินิจฉัยว่ามีอาการซึมเศร้า ต้องกินยาต้าน และจากวันนั้นจนถึงวันนี้ นางก็มีอาการดีขึ้นตามลำดับ เราในฐานะคนที่อยู่ใกล้ชิดเลยได้เห็นพัฒนาการว่า มันดีขึ้นได้จริงๆ แม้ว่าระหว่างทางจะสมบุกสมบันเคล้าน้ำตาไปไม่น้อยก็เถอะ
ใครจะไปคิดวะว่าวันหนึ่งตัวเองก็ต้องไปสมบุกสมบันทางอารมณ์กับเขาแบบนั้นเหมือนกัน
ถอยหลังกลับไปมองอดีตตัวเอง ก็พบเรื่องราวที่พอจะตอบได้ว่าทำไมถึงนำมาสู่อีโรคห่านี่ เพราะเผชิญบาดแผลทางจิตใจอยู่เป็นระยะแบบที่ฝังลึก และหลายรอยก็กลายเป็นแผลเป็นไปแล้วแต่ไม่รู้ตัว รวมถึงรู้สึกว่ามันไม่ได้เป็นปัญหาอะไร และหลอกตัวเองไปวันต่อวันว่า เรื่องแค่นี้เอง ฮึบไว้ลูก จะมางอแงตรงนี้ไม่ได้นะ (ไม่รู้จะฝึกความแข็งแกร่งแบบปลอมๆ แบบนี้ไปทำมะเขืออันใด)
กระทั่งราวปลายปีที่แล้ว (ซึ่งหมอมาบอกทีหลังว่า เราเก็บสะสมภาวะแบบนี้ไว้นานเกินไป ถึงที่สุดก็ถึงจุดระเบิดละอีเวง)
เรามีอาการแบบนี้
-ผวาตื่นตอนกลางดึกหรือเช้ามืด ซึ่งสำหรับคนหวงนอนอย่างเราแล้วเป็นเรื่องใหญ่มาก อีเวง! ตื่นขึ้นมาทำไมนอนเดี๋ยวเน้ แล้วความยากคือไม่ว่าจะทำยังไงก็หลับต่อลำบาก หรือหลับได้แต่ก็จะตื่นสายโด่อีกวันอยู่ดี นำมาสู่อาการนอยด์แดกว่า นี่ไง ตื่นสายแล้วเสียเวลาทำงานไปแค่ไหนแล้วอีเด๋อ
-เครียดง่ายกว่าเดิมหลายเท่าตัว เดินตกท่อก็ก่นด่าตัวเองราวไปจี้สร้อยใครมา
-และความเครียดนั้นแผ่รังสีไปถึงเพื่อนร่วมงาน จนเขาต้องถูลู่ถูกังพาเรา-น้องน้อยของพี่ๆ-ไปพบจิตแพทย์
-ที่เหี้ยที่สุดคือ ทุกครั้งเวลาดื่มเบียร์ (ไม่ได้ไปผับตื๊ดๆ นะ ไม่สายนั้น เป็นสายนั่งดื่มเบียร์เป็นลังๆ ชิลๆ มากกว่า) แล้วเมาจนรู้สึกลอยๆ มักจะกลับมาห้องแล้วเขียนบันทุกขยุกขยิกแบบไม่รู้ตัวทุกที และเมื่อตื่นเช้ามาจะพบไดอารี่เปิดอ้าอยู่พร้อมข้อความน่าสะพรึงว่า "อย่าเพิ่งตายนะ", "เข้มแข็งไว้", "พรุ่งนี้ก็เช้าแล้ว", "ชีวิตยังมีค่านะ อย่าคิดแบบนั้น" /เสมือนมธุสรคุยกับรุ้ง
มึงคิดอะไรอยู่ววววววววว /ถามตัวเอง ヽ( `д´*)ノ
แต่โมเมนต์นั้นมันน่ากลัวและสั่นประสาทเรามากๆ เพราะนึกไม่ออกเลยว่าเขียนตอนไหนแต่ก็ลายมือกูแน่ๆ แล้วในหัวกูคิดอะไรอยู่กันนะนั่งนึกดีๆ ก็พบว่า ถ้าในหัวโล่งเมื่อไหร่จะมีความรู้สึกอยากจบทุกอย่างลงทันที เหมือนชัตดาวน์คอมพิวเตอร์ โลกลบเราออกจากระบบ ไม่มีเราโลกก็หมุนอยู่เหมือนเดิม และผู้คนอาจจะมีความสุขขึ้นอีกหน่อย ทั้งหมดนี้ยิ่งผลักให้เราโยนงานเข้าตัวเองอย่างบ้าคลั่งโดยไม่รู้ตัวเพื่อกลบความรู้สึกอ้างว้างลึกๆ (เหยดแหม่)
ปลายปีนั้นลากยาวมาจนถึงปีใหม่ สุดท้ายอาการดิ่งลงเหวของเราก็ปรากฏชัดเหมือนแท็กซี่ขึ้นไฟกระพริบบอกว่าว่างจ้า ทุกคนรอบตัวรับรู้อาการเราและร่วมงานด้วยลำบากมาก เพราะแม่งเหมือนคุยงานกับคนที่พร้อมเอามีดปาดคอตัวเองตลอดเวลา ยังไม่นับว่าความสามารถในการทำงานของเราหดหายเพราะลืมเรื่องง่ายๆ ในระยะเวลาสั้นๆ อย่างรวดเร็ว
วันที่ไปหาหมอ เอาไดอารี่ประจำตัวไปด้วย ไม่ได้กะว่าจะต้องเป็นโรคหรืออะไร แต่คิดว่าถ้ามีโอกาสได้คุยกับจิตแพทย์อาจจะถามว่า พอมีสาเหตุมั้ยคะว่าอีรุ้งร่างแยกของหนูนี่มันมาจากไหน ปรากฏ หมอยิ้มให้แล้วบอกว่า อยากให้หมออ่านอะไร เชิญอ่านให้ฟังเลยครับ
เราก็อ่าน อิเวง พออ่านออกเสียงให้คนอื่นฟัง-แม้จะเป็นคนที่เพิ่งเจอแค่สิบนาที-อารมณ์ความรู้สึกมันก็ทะลักทะลาย ทุกประโยคที่ว่า "อย่าตายนะ เข้มแข็งไว้ ไม่เป็นไรเรายังมีคุณค่า เดี๋ยวทุกอย่างก็ดีขึ้น" ดูเป็นเรื่องจริงขึ้นมาทันทีที่อ่านออกเสียง และแม้จะยังจำไม่ได้ว่าไปเขียนไว้ตอนไหน แต่เหมือนต่อมความรู้สึกเจ็บปวดในหัวเรามันก็ชูไม้ชูมือบอกว่า เรากำลังเจ็บปวดอยู่ตรงไหนสักแห่ง แต่ไม่รู้ตรงไหน
น้ำตาท่วม
หมอบอกว่า ไม่เป็นไร เรามาพยายามกัน
และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการรักษาโรคซึมเศร้าปี 2018 ที่ไม่เห็นจะหว่อง จะมูราคามิแบบที่เคยจินตนาการไว้เลยวะ ไอ้สัตว์!
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in