เราเริ่มเดินทางไปโกเบด้วยการเปิด แผนที่จากเว็บไฮเปอร์เดีย บอกเลยว่า คลำมาทั้งทางคืองงแล้วงงอีกเพราะมาต่อสายค่อนข้างหลายสถานี แต่ก็มีตัวช่วยตลอดทาง โดยเฉพาะนายสถานี ก่อนถึงโกเบเราต้องเปลี่ยนสายรถไฟเป็นหางคิว ยืนงงกับแผนที่อยู่ตรงท่ามกลางผู้คนมากมายที่ดูเร่งรีบ
อยู่ดีๆ ก็มีผู้หญิงคนนึง กระโดดมาจากด้านหลัง ถามด้วยน้ำเสียงรีบๆ ว่า
'Where you going' เราก็บอกไปงงๆ ว่า
'Juso' นางรีบชี้มือไปรถไฟสีแดงเลือดหมูฝั่งตรงข้าม และวิ่งไปขึ้นรถอีกฝั่งพร้อมตะโกนว่า
'Goodluck'
ออกจากรถไฟฟ้ามาถึงโกเบ บอกได้คำเดียวว่างงมากตึกสูงร้านอาหารเรียงรายเต็มไปหมด เราได้ดูรายการ 'อิตาดาคิมัส' เลยจะมาตามล่าหาร้านเนื้อย่าง เพราะดูรอบๆ แล้วเราดูจะไม่ชอบแถวนี้เท่าไร สรุปว่าต้องไปอีกโกเบนึง เลยเดินเข้าไปถามนายสถานี
ครั้งนี้กลายเป็นนักศึกษาฝึกงานแทน โดยมีนายสถานีผู้จริงจังอยู่ด้านหลัง จริงๆ ไม่แน่ใจว่าควรเรียก นาย หรือ นาง เพราะเป็นผู้หญิงทั้งคู่ น้องนักศึกษาฝึกงานติดป้ายเทรนนีซึ่งดูยังไม่ค่อยมั่นใจกับการรับหน้าที่นี้นัก พูดภาษาอังกฤษตะกุกตะกักดูไม่มีความมั่นใจในตัวเอง
พอหันไปหาหัวหน้าก็เจอสีหน้าจริงจัง ไม่แม้แต่จะส่งสายตาให้ ยืนตรงมือไขว่หลัง ตาจ้องไปข้างหน้า ทำให้น้องนักศึกษาต้องหันมาอธิบายเราแบบนิ่มๆ ต่อไป
เราเดินหาที่ขายตั๋ว JR ตามคำแนะนำของน้องฝึกงานไม่เจอ เลยเดินเล่นไปเรื่อยๆ ข้างทางเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะเมือง ร้านอาหาร ป้ายไฟ ค่อยๆ หายไป ท่าเรือเริ่มโผล่มาทักทายทีละนิด เราเลยนั่งปลอบใจแถวท่าเรือ ว่าจะรอให้ไฟเปิดแต่ก็ไม่ชนะกระเพาะอาหาร เลยลองเดินเข้าไปตามตรอกซอกซอย
ทะลุย่าน ไชน่าทาว เดินผ่านร้านแล้วร้านเล่าก็ไม่ถูกใจ จนไปเจอร้านยากินิกุ เห็นลิ้นวัวในรูปกลิ่นหอมๆ ที่ลอยออกมาจากตึก เลยใจง่ายเดินตามกลิ่นเข้าไป ข้างในมีโต๊ะทั้งหมดห้าโต๊ะ มีลูกค้านั่งอยู่ก่อนเราสองโต๊ะ เป็นกลุ่มผู้สูงวัยที่ออกมาสังสรรค์กันอย่างมีความสุด และหนุ่มสาวออฟฟิศที่กำลังคุยกันอย่างออกรส และเราก็ไม่ผิดหวังเพราะเนื้ออร่อยมากก จนต้องสั่งเพิ่มอยู่หลายครั้ง
เราออกจากร้านด้วยอารมณ์ที่ดีสุดๆ เดินช้อปต่อ สองข้างทางที่ดูวุ่นวายเมื่อตอนบ่ายๆ หายไปจนเกือบหมดมีแต่ร้านค้าเล็ก ตามซอกตึกที่เปิดเอาใจพนักงานออฟฟิศมีตั้งแต่นั่งและยืนทาน
เดินมาเรื่อยๆ จนถึงสถานีรถไฟ มารู้ตัวอีกที บัตรคันไซทรูพาสหาย คือตลอดวันครึ่งที่ผ่านมาเราไม่เคยต้องไป วุ่นวายกับตู้กดตั๋วเลย พอบัตรหายทุกอย่างดูยากขึ้นมาแบบคูณสอง เราต้องกลับไปหาน้องเทรนนีอีกครั้ง เราพยายามถามว่าต้องซื้อตั๋วใหม่ไหม ลงที่ไหนบ้าง หรือมีตั๋วขายไหม น้องค่อยๆ ยกแฟ้มแผนที่เข้ามา กล้าๆ กลัวๆ ในการอธิบาย หันไปมองหัวหน้า แต่ก็ไม่ได้รับการตอบรับกลับมาเช่นเคย
การฝึกเทรนนีของหัวหน้าคนนี้ ทำให้เรานึกถึงรายการ 'ดูให้รู้' มีตอนนึงที่พาไปโรงเรียนในญี่ปุ่นเขามีวิธีการฝึกเด็กนักเรียนด้วยการให้ถอดเสื้อผ้าทำกิจกรรมยามเช้าท่ามกลางอากาศหนาว เพื่อเป็นการฝึกความอดทนของเด็ก บางคนก็ถอดไปร้องไห้ไป แต่ก็ทำจบทุกขั้นตอน
เมื่อน้องฝึกงานอยู่ในตู้ของเธอ ละชี้มาทางตู้ตั๋วให้เราจัดการเอง เราเลยต้องหาตัวช่วยเพราะซื้อตั๋วจากตู้ไม่เป็นเลย มีแต่ภาษาญี่ปุ่น ต่อให้มีเงินเป็นหมื่นเย็นก็ทำไรไม่ได้อยู่ดี น้องๆผู้หญิงอายุน่าจะประมาณ 13 เดินมาเป็นกลุ่มใหญ่ประมาณเจ็ดคน
พอเข้าใจที่เราสื่อสารน้องก็เดินกลับไปที่พนักงานคนเดิม วุ่นวายกันอยู่สักพัก แต่เป็นไปแบบน่ารักดี ก็เดินมากดๆ ตั๋ว บอกให้เราสอดเงิน ระหว่างนั้นพวกน้องก็เริ่มวุ่นวายกันนิดๆ ทำให้ผู้คุมจอมโหดและน้องนักศึกษาเปิดประตูออกมา และเดินมาทางเราพอดี เหมือนว่ายูโอเคนะ ทำได้ไหม กว่าจะมากลุ่มเด็กน้อยก็เอาตั๋วมาให้เราพอดี ก่อนไปชานชราเจอฝรั่งสองคนเป็นผู้ชายที่หน้าตามีความโนเนะภายใต้ผมทองๆ
เขาถามว่าหลงหรอเกิดอะไรขึ้น เลยเล่าทุกอย่างให้เค้าฟัง ทั้งสองรับฟังและเข้าใจเราดี ว่าการตั๋วหายมันเป็นความซวยของนักท่องเที่ยวโดยแท้ นางถามว่าเราจะไปลงที่ไหนพร้อมบอกว่าตามมาไปทางเดียวกันแต่คนละสาย ระหว่างทางเราระบายความงงของรถไฟฟ้าให้พวกเค้าฟัง ก่อนจากไปเค้าบอกว่า 'ไม่ต้องห่วงคุณไม่มีทางหลง ถึงแม้มันจะซับซ้อน แต่ทุกที่มีป้าย ไม่ว่าไปที่ไหนเดินตามป้ายไว้ และถ้าคุณยังดูป้ายไม่ออก ก็ลองถามคนแถวนั้นดู ทุกคนพร้อมช่วยเหลือ โชคดีนะ'
ก็คงจริงอย่างที่เขาทิ้งไว้เรา ไม่เคยคิดถึงข้อนี้มาก่อน เรามัวแต่หาความช่วยเหลือ แต่เรายังพยายามไม่สุด ป้ายบอกทางทั้งบนหัว บนพื้น ข้างกำแพง เราสนใจดูน้อยมาก พอได้ยินคำพูดที่ชวนให้คิดทำให้วันอื่นๆ ที่อยู่ในญี่ปุ่น เราดูป้ายเยอะมากจนบางทีก็ดีใจที่พาตัวเองมาไกลด้วยป้ายข้างทาง ขอบคุณคนริมทางที่ทำให้ตาสว่างขึ้นเยอะ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in