' ใครจะไปคิดวะว่าหน้าร้อนจะต้องมาใส่ฮูด '
ก่อนอื่นขอแนะนำตัวสั้นๆก่อนแล้วกัน เรามีโอกาสได้ไป Work and Travel ที่ Walt Disney World
ที่ Florida หลังจากนั้นเราวางแผนต่อว่าจะไปเที่ยว L.A. คนเดียว 4-5 วัน ก่อนจะบินกลับไทย
แต่ โชคชะตาฟ้าลิขิตทำให้เราได้มาสนิทกับเพื่อนที่ร่วมโครงการด้วยกัน
พวกเราจึงวางแผนไปเที่ยว San Francisco และ L.A. ด้วยกันโดยไม่ได้วางแผนอะไรทั้งนั้น
และแน่นอนการเที่ยวแบบไร้แผนทำให้เกิดเรื่องราวสนุกๆ ตามมา
"EVERY SUM-MER HAS ITS OWN STORY"
'รูปนี้ถ่ายก่อนไปทำงาน กำลังทาครีมกันแดด แดดแค่ไหนก็สู้แดดที่ Florida ไม่ได้'
เริ่มด้วยเราเองวางแผนมาจากที่ไทยแล้วว่าจะไปเที่ยวแค่ L.A. ก่อนกลับไทย
ทำให้เราจองตั๋วอะไรต่อมิอะไรไว้เรียบร้อยแล้ว แต่พอมีแผนใหม่ว่าจะไปเที่ยว San Francisco
ทำให้เราต้องเปลี่ยนตั๋วกลับใหม่ทั้งหมด แต่ความสนุกมันก็เริ่มขึ้นตั้งแต่ตอนนี้แหละท่านผู้อ่าน
เราต้องเปลี่ยนตั๋วขากลับใหม่หมดทุกรูทไม่ว่าจะเป็นสนามบินหรือวันกลับไทย
และด้วยการเปลี่ยนตั๋วแบบกระชั้นชิดทำให้เราได้ไฟล์ทไป San Francisco ซึ่งข้าน้อยต้องบินสองต่อ
นั่นหมายความว่าเราต้องไปต่อเครื่องอีกลำที่ DFW ก่อนจะไปถึงซานฟราน
ซึ่งปกติสามารถบินตรงได้เลย แต่ด้วยเราทำการเปลี่ยนตั๋วซึ่งมันถูกกว่าซื้อใหม่ ดังนั้นก็ต้องรับกรรมไป
'กระเป๋า 2 ใบกับเป้อีก 1 ใบ ถูกลากมาวางรออูเบอร์เพื่อไปสนามบิน'
เราอยู่บ้านพักในดิสนีย์อยู่สองเดือนกว่าๆ ซึ่งข้าวของเครื่องใช้เยอะมากและใช้เวลาเก็บกระเป๋าก่อนบินเพียง 5-6 ชั่วโมงเอง จงจำไว้นะว่าตราบใดที่เวลาคุณเหลือน้อยสิ่งเดียวที่คุณสามารถสู้กับเวลาได้
คือ 'การยัด' ยัดเท่านั้นที่ช่วยคุณได้
'ณ สนามบินออแรนโด MCO ที่ Florida ขณะกำลังจะเชคอินเพื่อบินไป San Francisco'
หลังจากนั่งอูเบอร์มากับเพื่อนซึ่งเพื่อนเราอีกกลุ่มนึงจะไปเที่ยวนิวยอร์คกันก่อน แต่จะกลับมาเจอกันที่ L.A. แต่เพื่อนเราที่จะไปเที่ยวที่ San Francisco ด้วยกัน บินไฟล์ททีหลังเราแต่จะไปถึงสนามบินที่นู้นพร้อมๆ กัน
'ขณะกำลังนั่งรอบอร์ดดิ้งอยู่หน้าเกท'
'Somewhere in the States'
'He's my boss Olaf :-)'
ได้น้องโอลาฟตัวนี้มาจากดิสนีย์เวิร์ลที่ Hollywood Studios เพราะตอนไปทำงานเราได้อยู่กับน้องโอลาฟบ่อยมาก เลยพาน้องกลับไทยด้วยกัน
P.S. ไว้ถ้าใครอยากรู้ว่าเราไปทำอะไร เดี๋ยวมาเขียนเล่าให้ฟังนะ เอารูปน้องตัวเป็นๆ ไปดูก่อน <3
ตัดภาพกลับมาตอนอยู่บนเครื่องเราเผลอหลับไปตอนไหนไม่รู้จนลืมตาขึ้นมาดูเวลา
ปรากฏว่าเครื่องดีเลย์ !!! ดีเลย์ขณะที่อยู่บนท้องฟ้า นาทีนั้นก็เริ่มใจไม่ดีแล้ว
เพราะไม่อยากตกเครื่องลำต่อไป ถ้าเกิดตกเครื่องมาจริงๆ กว่าจะรอได้ลำใหม่
กว่าจะไปถึง San Francisco ไม่รู้กี่โมง เพราะไฟล์ทเราไปถึงที่นั่นเวลาพอๆ กับไฟล์ทของเพื่อนเลย
เอาหล่ะ ตั้งสติ นั่งมอง Estimated Time แบบยุบหนอพองหนอในจอทีวี ปรากฏว่า... เวลาดีเลย์อีกแล้ว
ในใจตอนนั้นรู้แล้วข้าเจ้าตกเครื่องแน่นอน...
จนเครื่องค่อยๆ ไต่ระดับต่ำลงๆ แตะพื้นสนามบิน Dallas เราจำได้ว่าพอเครื่องจอดสนิท
ผู้โดยสารข้างๆ เราคนนึงก็จะไปต่อเครื่องเหมือนกันนางลุกหยิบกระเป๋าพร้อมวิ่ง
แต่ลืมไปว่าเรานั่งกันอยู่ท้ายลำ ใช่จ้า ท้ายลำจริงๆ โดยที่ผู้โดยสารข้างหน้าเอย กลางลำเอย
ค่อยๆ นวยนาดกรีดกรายปลดเข็มขัด ลุกขึ้นหยิบของสัมภาระ บางคนคุยกับเพื่อนข้างๆ
บางคนค่อยๆ สระพายกระเป๋าเป้เหมือนกำลังถูกสวมสายสะพายมิสยูเวิร์สอย่างช้าๆ
...
..
.
ก่อนที่นางคนข้างๆ เราจะตะโกนบอกคนข้างหน้าให้เร็วหน่อย นางกลัวจะต่อไฟล์ทไม่ทัน
ก่อนที่นางจะหันมามองเราแบบว่าชะตากรรมเดียวกันใช่ไหม นางถามเราว่ายูจะบินไปไหน กี่โมง
นางขอดูบอร์ดดิ้งพาสเราและบอกเราว่า 'พระเจ้าอวยพรลูกน้อยทั้งคู่ด้วย'
สักพักเราเดินออกจากเครื่องพร้อมวิ่งเสหมือนสวมวิญญาณ ยูเซน โบลต์ ไปดูจอมอนิเตอร์ว่าเกทไหน
ปรากฏเราหาไฟล์ทเราไม่เจอ นาทีนั้นฟ้ากลั่นแกล้งเราแรงมากกกกกก ก.ไก่ล้านตัว
ก่อนที่เราจะวิ่งไปที่เกทนึงใกล้ๆ แล้วให้พนักงานช่วยเช็คเกทไฟล์ทเราให้หน่อย
นางใจดีมากเรียบเช็คไฟล์ทเราทันที ก่อนจะบอกเกทมาและให้เราเดินไปขึ้นรถรางต่อไปอีกเทอร์มินอล
เอาหล่ะวิญญาณ ยูเซน โบลต์ ต้องกลับมาสิงร่างเราอีกรอบ
ต่างกันที่ยูเซน โบลต์ ไม่มีเป้ใบยักษ์สะพายเหมือนเรา เรารีบวิ่งไปขึ้นรถรางต่อไปอีกเทอมินอล
...
..
.
มองนาฬิกาก็รู้ว่าตกเครื่องแน่ๆ เลทมาเกือบ 20 นาทีแล้ว ข้าน้อยเตรียมไปหาไฟล์ทใหม่ได้เลย
แต่ขณะที่กำลังประมวลผลในสมองไปพร้อมสวมวิญญาณนักวิ่งเหรียญทองโอลิมปิกไป
สุดท้ายข้าน้อยวิ่งมาถึงเกท และเครื่องยังไม่ออกจ้า ... T T
'แต้มบุญข้าน้อยยังเหลืออยู่อีกหรอเนี่ย'
พนักงานกำลังบรรจงบอร์ดดิ้งอย่างระเมียดระไม ผู้โดยสารวัยคุณปู่คุณย่ากำลังจูงหลานๆ เดินเข้าเครื่องคู่รักหลายคู่กำลังกอดกันบ้าง จูงมือกันเดินขึ้นเครื่องบ้าง แต่จู่ๆ ภาพเหล่านั้นก็ตัดมาเป็นเด็กผมดำที่มองก็รู้มาจากเอเชียกำลังหอบรับประทานอยู่ท้ายแถวพร้อมเป้ใบยักษ์และตุ๊กตาหนึ่งตัว ก่อนที่จะเดินไปนั่งสลบที่ seat ตัวเองแบบเงียบๆ
'หลังจากที่เกือบจะตกเครื่อง กำลังจะบินไป San Francisco จริงๆ สักที'
'หลับไปตอนไหนไม่รู้ ตื่นมาใกล้จะถึงจุดหมายของข้าน้อยแล้ว'
หลังจากเครื่องแตะพื้นดินของ San Francisco จะเกิดเรื่องวุ่นๆ อะไรขึ้นอีก
รอติดตามเร็วๆ นี้น้า ข้าน้อยจะรีบกลับมาเล่าให้ฟัง :-)
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in