ตฤณไม่คิดว่าตนเองจะได้เปิดเปลือยต่อหน้ามนุษย์ที่เพิ่งเคยพบหน้ากันเพียงสองสามครั้ง ครั้งละไม่เกินสองนาทีอย่างง่ายดาย ความยุ่งเหยิงและหุนหันพลันแล่นที่ผุดพรายขึ้นมานอกเวลางานนาน ๆ ครั้งทำให้เขาฉงน จากนั้นก็ลิงโลดอยู่ลึก ๆ ที่ยังรู้สึกว่ายังเป็นมนุษย์อยู่ ผู้คนมักสรุปกันไปเองว่าคนจำพวกเขาสามารถสัมผัสและคลุกคลีกับสิ่งที่เรียกว่า "ความเป็นมนุษย์" อย่างเข้มข้นและลึกซึ้งกว่าคนทั่วไป อีกทั้งมีความอ่อนไหวชนิดที่พวกเขาไม่มีวันเข้าใจเป็นส่วนผสมลับในการปรุงงาน นานวันเข้าก็กลายเป็นสิ่งมีชีวิตอีกเผ่าพันธุ์ที่ถูกจับจ้องด้วยความประหลาดใจระคนหวาดระแวง ทุกครั้งที่ตฤณมองเข้าไปในนัยน์ตาชวนฝันของคู่สนทนาที่เพิ่งทราบว่าเขาทำงานอะไร เขามักนึกถึงสกู๊ปข่าวเมื่อนานมาแล้ว เป็นภาพช้างใช้งวงหยิบแปรงขึ้นมาจุ่มสีแล้วลากไปบนกระดาษแผ่นใหญ่ ไป ๆ มา ๆ ก็กลายเป็นกลีบดอกไม้ล้อมรอบเกสรตรงกลาง เมื่อลากเส้นหนึ่งเส้นเป็นก้านก็เป็นอันเสร็จสิ้น บางครั้งศิลปินบางคนก็ทำให้ศิลปินอีกคนรู้สึกเช่นนั้น แต่ตฤณรู้อยู่แล้วว่าเขาคือช้างตัวที่ว่าเสมอมาและเสมอไป
อย่างไรก็ตาม แววตาของผู้ชายที่ชื่อไทต่างออกไป ไม่มีความเพ้อฝัน หลงใหล ประทับใจ หรืออารมณ์ใดโดดเด่นให้อ่านขณะเจ้าตัวยืนประจันหน้ากับภาพวาดในกรอบราวกับส่องกระจก (ตฤณติดนิสัยลอบมองคนที่มองภาพอีกทีหนึ่ง) แต่ความนิ่งงันไม่ใช่ความเบื่อหน่าย เหมือนทะเลข้างนอกในวันคลื่นลมสงบเงียบแต่มีประกายระยิบระยับของแดด ไทกำลังอ่านผลงานของเขาอย่างตั้งใจเช่นเดียวกับตอนอ่านหนังสือในคาเฟ่ก่อนหน้านี้ ตอนที่ตฤณเดินสะลึมสะลือลงมาหากาแฟสักแก้วเพราะหลับไม่สนิทและจำเป็นต้องตื่น จอห์นผู้ปล่อยให้เขานอนต่อไปโดยไม่เคยปลุกกำลังหยอกกับดีนซึ่งถือมีดหั่นขนมปังอยู่อย่างน่าหวาดเสียว ท่ามกลางเสียงเอะอะโวยวายนั่น ลูกค้าเพียงคนเดียวยังคงเท้าคางอ่านหนังสือต่อไปไม่ทุกข์ร้อน จนกระทั่งจอห์นเอ่ยทักตฤณนั่นแหละ ไทถึงได้เงยหน้าขึ้นมาเหมือนแมวตื่นจากงีบ ส่งยิ้มพิมพ์ใจมาให้ดุจมิตรสหายที่รู้จักกันมานานแสนนาน ไม่ใช่เส้นผมหงอกขาวนั่นหรอกที่ทำให้อีกฝ่ายดูสูงวัย ตฤณคิด แต่เป็นเพราะอีกฝ่ายทำให้เขานึกถึงต้นไม้ดึกดำบรรพ์กับเต่ายักษ์อายุร้อยปีต่างหาก
นั่นไม่ควรเป็นเหตุผลให้คนเราไว้ใจคนอื่น แต่รู้ตัวอีกที ตฤณก็โพล่งออกไปดื้อ ๆ ว่า "ผมวาดรูปไม่ได้" เยี่ยงคนผิดที่อดรนทนไม่ไหวจนต้องสารภาพ ประโยคสั้น ๆ นั้นแบกรับน้ำหนักมหาศาลที่เขาพกติดตัวมาตั้งแต่หน้าร้อนปีก่อน ความหนักหนาของมันไม่อาจเทียบเคียงได้ด้วยมาตราชั่งตวงวัดใด หากแต่คล้ายสัมภาระล่องหนที่เขากลัวว่าจะผสานเป็นเนื้อเดียวกับร่างกายและกลายเป็นเงาทาบทับไปทุกที่ เมื่อมันเริ่มเบาหวิวจนตฤณเกือบลืมไปแล้วว่ามีอะไรอยู่บนหลัง เพียงพริบตาเดียวในเช้าวันหนึ่ง เขาก็ลุกขึ้นจากเตียงไม่ได้อีก จับแปรงและพู่กันไม่ได้อีก ความรู้สึกที่ระเบิดขึ้นกะทันหันนั้นทำให้เขากลัวจนร้องไห้โฮบนที่นอน กลับไปเป็นเด็กชายที่โดนปลุกขึ้นมากลางดึกเพื่อฟังข่าวว่าพ่อแม่ตายแล้ว จากนั้นเดือนแล้วเดือนเล่าก็ถูกผลาญไปกับการเดินทางไปที่โน้นที่นี้ ทิ้งไพ่แสวงหาแรงบันดาลใจ หาเรื่องส่งโปสการ์ดจากเมืองเล็กเมืองใหญ่ให้จอห์น ชมภาพของเขาที่ถูกซื้อและถูกยืมไปประดับแกลอรี่เสมือนกล่าวคำอำลา เมื่อไม่มีที่ไหนให้ไปอีกแล้ว ตฤณถึงได้มาลงเอยที่นี่
ไม่มีใครรู้จนกระทั่งเขาเอ่ยปาก — ไม่สิ จอห์นอาจจะรู้ จากการตื่นขึ้นมากลางดึกแล้วไม่เห็นเขาอยู่บนเตียงอีกฝั่งของห้อง จากการที่เขาเอาแต่แทรกเข้าไปหลังเคาน์เตอร์ซึ่งเล็กเกินจะรองรับผู้ชายสามคน และจากการเดินเตร่ไปบนชายหาดแทนที่จะอยู่ในห้องทำงานหรืออย่างน้อยก็พกอุปกรณ์ศิลปะออกไปด้วย แต่จอห์นก็ยังเฝ้าดูเขาอย่างเงียบ ๆ และคงจะยื่นมือมารับไว้ได้ทันเวลาหากว่าเขาร่วงหล่นลงไป ช่างน่าละอายเหลือเกินที่เขาตบตาและยืมแรงคนที่ยังรักเขามากกว่าใครด้วยห้องจัดแสดงภาพกลวงเปล่านี้ ถ้าหากไทไม่ขอร้องอย่างสุภาพว่าอยากมาพร้อมกับเขา ตฤณก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะได้มาเหยียบที่นี่หลังจากลงมือสร้างมันขึ้นมาเมื่อไหร่
หลังจากได้ฟังเช่นนั้นแล้ว ไทจะเป็นบาทหลวงผู้อารีในห้องสารภาพบาปหรือว่าผู้พิพากษาบนบัลลังก์ หรือจะเป็นหนึ่งในผู้ชมที่ผิดหวังเมื่อศิลปินไม่เป็นอย่างที่คิด หรือสุดท้ายจะเป็นคนแปลกหน้าที่ไม่ขอออกความเห็นและปล่อยผ่านไปเหมือนได้ยินมุกตลกที่ไม่ขำ ตฤณเริ่มรู้สึกอับอายที่ประกาศความล้มเหลวของตนเองออกไปให้คนอื่นรับรู้อย่างไร้ความผิดชอบ เกือบจะเอ่ยว่า ช่างเถอะครับ อยู่แล้ว ตอนที่ไทตอบกลับมาพอดีว่า "ครับ ผมก็เหมือนกัน"
ตฤณไม่รู้ว่าชายหนุ่มเข้าใจคำพูดของเขาว่าอย่างไร ไม่ได้ อาจแปลความได้ทั้ง "ไม่สามารถทำได้" "ทำได้ไม่ดีนัก" "ไม่ทำเพราะเหตุผลบางอย่าง" ตลอดจน "เคยทำได้แต่ตอนนี้ทำไม่ได้อีกแล้ว" — ความหมายใดกันแน่ที่ไทหมายถึง ที่ว่าวาดรูปไม่ได้นั้นหมายรวมถึงการสักด้วยหรือไม่ เพราะแบบนั้นหรือเปล่าถึงได้นั่งเฝ้าร้านซักผ้าและมองคนผ่านไปผ่านมาเหมือนคราวแรกที่พบกัน ไม่ว่าอย่างไรการมาเปิดร้านสักในที่แบบนี้ก็ฟังดูไม่สมเหตุสมผลยิ่งกว่าแกลอรี่ของตฤณหรือคาเฟ่ของจอห์นมากนัก ความคิดที่ว่าคนคนนี้ก็เป็นเพื่อนนักโทษเหมือนกันทำให้เขาทั้งประหลาดใจและเศร้าสร้อยในคราวเดียวกัน
"วาดไม่ได้มานานแล้วล่ะ" ไทเสริม คงเป็นเพราะเห็นสีหน้างุนงงของตฤณ "นี่ไม่ใช่ครั้งแรกหรอกครับ บางครั้งอาการก็เหมือนไข้หวัดเวลาอากาศเปลี่ยน บางทีก็เป็นไข้หวัดใหญ่ แต่จะว่าไปก็มีโอกาสเป็นโรคเรื้อรังอยู่เหมือนกัน นี่ผมกำลังพูดเรื่องเหลวไหลของตัวเองอยู่หรือเปล่าเนี่ย ผมควรจะฟังคุณต่างหาก"
ตฤณส่ายหน้า หวังว่าอีกคนจะเข้าใจว่านั่นหมายถึง ผมอยากฟังเรื่องของคุณมากกว่า
"จำภาพชุด 'ฝน' ได้ไหมครับ" ไทถาม
คอลเลคชั่นภาพของตฤณถูกจัดจำแนกและตั้งชื่อตามสิ่งที่เขาวาด ไม่ใช่ว่าแต่ละชิ้นรวบรวมมาต่างกรรมต่างวาระ แต่เป็นเพราะตฤณทุ่มเทความสนใจทั้งหมดไปกับสิ่ง ๆ เดียวอย่างต่อเนื่องจนกว่าพึงพอใจและเปลี่ยนไปหาอย่างอื่นภายหลัง ทั้งฝน แดด เมฆ ไฟ หิมะ ทานตะวัน หิน ทะเล และอื่น ๆ เขาเริ่มต้นอาชีพที่ไม่รู้ว่าจะเป็นอาชีพมาแบบนั้น เอาจริงเอาจังตั้งแต่ตอนมัธยมปลายปีสุดท้ายที่ไม่มีจอห์นและชมรมละครให้พึ่งพิงอีก จนกระทั่งญาติห่าง ๆ คนหนึ่งมาเป็นธุระเรื่องย้ายเข้าอพาร์ตเมนต์ให้และบังเอิญเห็นภาพพวกนั้นเข้า เขาให้คุณป้าเลือกภาพที่ชอบกลับไปโดยไม่คิดอะไร ไม่รู้เลยว่าความกระตือรือร้นบวกกับเส้นสายของเธอจะพางานชิ้นหนึ่งไปถึงมือนักสะสม สถาบันศิลปะ และห้องจัดแสดงภาพอีกหลายแห่งในภายหลัง ตฤณในตอนนั้นไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่าการได้วาดรูป เขาไม่ได้อยากเข้ามหาวิทยาลัยหรือมีตำแหน่งถาวรในบริษัทที่ถือหุ้นอยู่ เขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่ามีเงินมรดกอยู่เท่าไร ดังนั้นการนำภาพไปจัดแสดง พบปะผู้คนในวงการที่เขาไม่เคยเข้าใจและไม่เคยเข้าใจเขา และขายงานบางชิ้นเพราะมีคนสนใจจะซื้อ จึงไม่ใช่เรื่องเหนือบ่ากว่าแรง เพื่อแลกกับสถานะอะไรบางอย่างที่ทำให้เขาได้ทำงานนี้ตลอดไป
กระทั่งเขาทำไม่ได้นั่นแหละ เมื่อนั้นถึงได้ตระหนักว่าอภิสิทธิ์ที่มีนั้นน่าสะอิดสะเอียนเพียงใด
"จำได้ครับ" ตฤณตอบ มันเป็นงานแรก ๆ ของเขาในสเกลใหญ่ชนิดที่ต้องเช่าห้องใหม่เพื่อลงมือทำ ผลลัพธ์จากการนั่งมองฝนตกลงบนผิวน้ำของทะเลสาบเยี่ยงคนโดนสาปให้ตกอยู่ในภวังค์คือภาพสีน้ำมันสองชิ้น คำวิจารณ์ส่วนหนึ่งบอกว่ามันเป็นงานตามขนบอิมเพรสชั่นนิสม์พื้น ๆ ที่ทำให้ผู้ชมตกตะลึงกับขนาดมากกว่าสาระ แต่เขายังจำความรู้สึกปีติระหว่างบันดาลหยาดฝนลงบนพื้นผิวที่ดูไม่ออกว่าเป็นผืนน้ำหรือท้องฟ้าได้เป็นอย่างดี
"ตอนผมอยู่ปีสอง พิพิธภัณฑ์ของมหาวิทยาลัยยืมภาพชุดนั้นมาจัดนิทรรศการ" ไทเล่า "ผมอยู่ตั้งแต่เที่ยงวันจนกระทั่งค่ำ นั่งมองหยดน้ำกระเพื่อม สีสันต่าง ๆ ที่ปรากฏในวันฝนตกที่มีชีวิตชีวา พยายามเสาะหารายละเอียดอย่างกับจะจำให้ขึ้นใจ เพื่อนของผมนึกว่าผมเพ้อจนบ้าไปแล้ว หลังจากนั้นผมก็วาดรูปไม่ได้ไปพักหนึ่ง ไม่ใช่ว่าสูญสิ้นแรงใจที่จะวาด เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะวาดอะไรอีกต่อไป ต่อหน้าผืนผ้าใบหรือกระดาษสเกตช์ว่างเปล่า ผมเห็นแต่ภาพฝนของคุณ นั่นเป็นครั้งแรกเลยที่รู้สึกสิ้นท่า"
ตฤณหลุดสบถแบบที่ชอบทำเวลาตื่นเต้น
"ไม่ได้จะโทษภาพของคุณหรอกนะครับ ตอนนั้นผมคิดว่าคงเป็นอาการช็อกของเด็กอายุสิบเก้า ยิ่งมารู้ว่าศิลปินที่ส่งแรงสะเทือนถึงหัวใจผมได้อายุแค่สิบแปดเท่านั้นเอง ความรู้สึกเลยผสมปนเปกันไปหมด ใช่ครับ จะว่ามีเฉดความอิจฉาอยู่ด้วยก็ได้ ยังไงผมก็เป็นนักศึกษาวิจิตรศิลป์นี่นะ"
"แล้วหลังจากนั้นล่ะครับ ทำยังไงถึงกลับมาวาดได้อีก"
"เรื่องนั้นน่ะ ตลกดีเหมือนกันครับ" ไทยิ้มขำ "ที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะมีมุมสำหรับเด็ก เป็นโต๊ะวาดภาพระบายสี วันนั้นไม่มีคน แต่กระดาษเอย สีเอยกระจัดกระจายเต็มไปหมด ดูเหมือนจะเชื้อเชิญให้แวะเข้ามา ผมเลยตัดสินใจนั่งบนเก้าอี้ที่เล็กเกินตัวไปหน่อย หยิบสีเทียนสภาพเหมือนผ่านสงครามขึ้นมานั่งระบายภาพโน้นภาพนี้จนครบทุกแบบ แล้วจู่ ๆ ก็คิดได้ว่าเรากำลังทำงานศิลปะอยู่นี่นา ไม่ใช่การสเกตช์ภาพเหมือนตามโจทย์ที่ทำได้ในชั้นเรียน แต่เป็นอะไรที่ออกมาอย่างเสรีจากตัวผม ตอนนั้นรู้สึกโล่งใจมากเลยล่ะ
อาจจะทึกทักไปเองว่าสีเทียนเป็นวัตถุแห่งปาฏิหาริย์ แต่เวลาที่รู้สึกว่าวาดรูปไม่ได้แล้ว ผมจะกลับไปหามันเสมอ แม้แต่เพื่อนก็งงที่เห็นผมมีสมุดระบายสีของเด็กหลายเล่ม แล้วก็งงยิ่งกว่าตอนรู้ว่าผมเริ่มวาดภาพประกอบหนังสือเด็กตอนเรียนจบ ผมกลับไปวาดงานที่เคยทำให้รู้สึกริษยาคุณไม่ได้อีกแล้ว แต่ผมก็ไม่ได้รู้สึกเสียดายเหมือนกัน"
"ภาพประกอบหนังสือเด็กเหรอครับ" ตฤณรู้สึกว่านี่ช่างห่างไกลจากภาพของไทที่เขาถูกแนะนำให้รู้จัก แต่ก็สมเหตุสมผลเข้ากับไทคนที่เขากำลังทำความรู้จักอย่างบอกไม่ถูก ไทรีบยกมือขึ้นเหมือนจะปรามเมื่อเขาส่งเสียงว้าวออกไป
"จุดหักมุมก็คือ ตอนนี้ผมเองก็วาดมันไม่ได้แล้ว" ชายหนุ่มว่า "พอคิดว่าการเสียภรรยาไปอาจมีส่วน ผมเลยไม่กล้าไปแตะมันอีก ทั้งที่สองเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกันโดยตรงแท้ ๆ แต่ผมดันเอาความทรงจำของเธอไปผูกติดกับมันโดยไม่รู้ตัว เป็นข้ออ้างที่ใช้ไม่ได้เท่าไร ผมเลยหนี —"
ไทชะงัก ตฤณไม่เห็นว่าตัวเองเผลอแสดงสีหน้าอย่างไรออกไป แต่นั่นต้องเป็นเหตุผลให้อีกฝ่ายหยุดเล่าเรื่องกลางคันแน่ ๆ เริ่มจากตรงไหนกันนะ อาจจะเป็นคำว่า การเสียภรรยาไป ที่ทำให้เขารู้สึกชาไปทั้งตัว บนโลกนี้มีสิ่งให้คนหวนหาอาลัยมากมาย ระหว่างที่เขากำลังตีอกชกตัวกับความว่างเปล่า ไทสูญเสียบางอย่างที่มีเลือดเนื้อและลมหายใจในวิถีทางที่ไม่มีวันได้กลับคืนมา คำพูดที่ว่า "วาดรูปไม่ได้แล้ว" ของชายหนุ่มมีน้ำหนักที่ประเมินไม่ได้เพราะมันแสนหนักหนาเกินจินตนาการ ไม่ใช่ชนิดเบาหวิวไร้รูปร่างเช่นของเขา
"ขอโทษนะครับ ผมลืมไปว่าไม่ใช่เรื่องน่าพิศมัยเท่าไร" ไทเอ่ย
"ไม่ใช่อย่างนั้น" เสียงของตฤณที่เอ่ยตอบแหบแห้งขึ้นมาดื้อ ๆ "ไม่ใช่อย่างนั้นครับ ผมเสียใจด้วย แล้วก็รู้สึกละอายใจมากกว่า"
"ความเจ็บปวดไม่มีอะไรให้ต้องละอายใจสักหน่อย" คู่สนทนาของเขาแย้งในแบบที่อ่อนโยนที่สุด "คุณเจ็บปวดในแบบที่ผมไม่มีวันเข้าใจ สิ่งที่ผมเจอไม่ได้ทำให้มันกลายเรื่องเล็กน้อย ส่วนการที่ผมไม่ทุกข์ร้อนกับการวาดรูปไม่ได้แล้ว เรื่องนั้นก็ไม่ได้ทำให้ผมเหนือกว่าคุณเหมือนกัน"
"ทำยังไง" คำถามไม่ใช่ว่าทำยังไงถึงจะกลับมาวาดได้อีกครั้ง "ทำยังไงถึงไม่ทุกข์ร้อนครับ"
ไทดูลังเลใจก่อนจะเฉลย "คำตอบอาจฟังดูมักง่ายนะครับ แต่ผมแค่เปลี่ยนไปทำอย่างอื่น"
"อย่างอื่น อย่างเช่นกลายเป็นช่างสักกับเจ้าของร้านซักผ้าน่ะเหรอครับ" พอพูดออกไปแล้ว ตฤณแทบตะครุบปากตัวเองไม่ทัน โชคดีที่อีกฝ่ายดูจะไม่ถือคำของเขาเป็นการเสียดสีอะไร แต่กลับหัวเราะเอิ้กอ้ากเหมือนเด็กผู้ชายซน ๆ คนหนึ่งพลางพยักหน้าไปด้วย
"จริง ๆ เรื่องนั้นก็ยาวอยู่ ไว้เล่าวันหลังดีกว่าครับ" ไทว่า "ตอนนี้ผมอยากกินของหวานขึ้นมาแล้ว คุณเองก็ควรกินมื้อสายได้แล้วเหมือนกัน"
ปกติแล้วตฤณไม่กินมื้อเช้าหรือว่ามื้อสาย แต่สุดท้ายก็เดินลงบันไดตามไทไปอย่างว่าง่าย ระหว่างทางก็ขอโทษขอโพยที่ทำให้การชมภาพวาดของอีกฝ่ายกลายเป็นรายการตอบปัญหาชีวิต ไทเพียงแค่ยิ้มรับเหมือนที่ทำมาตลอด ก่อนจะหันไปสนใจมัฟฟินอบใหม่จากเตาที่ดีนเพิ่งวางบนเคาน์เตอร์และทำท่าสูดกลิ่นหอมหวานเต็มปอด หากมีใครอื่นผ่านมาเห็นก็อาจนึกไปว่าเขานี่แหละคือคนที่มีความสุขที่สุดในโลก และในชั่วขณะนั้นเอง เขาก็อนุญาตให้เราได้สัมผัสความสุขแบบเดียวกันเป็นเวลาสั้น ๆ ที่อุ่นวาบเท่าโกโก้ร้อนหนึ่งอึก
"ไท"
"ครับ"
"ผมอยากได้สีเทียนสักกล่องจัง"
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in