เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
[FICTION] - Avengers : Change the futurejaomhee1
Chapter 0

  • เสียงออดแจ้งเตือนเวลาเลิกเรียนดังไปทั่วห้องกว้าง เด็กหนุ่มปรายสายตาไปมองคนที่นั่งอยู่ด้านหลังตน ก่อนที่จะรีบรุดลุกขึ้นเดินตามอีกฝ่ายไปหลังจากทีอาจารย์ให้การบ้านของวันนี้เรียบร้อยแล้ว




    ปีเตอร์เดินตามอีกฝ่ายมาจนเกือบสุดซอย ภายในตรอกว่างเปล่า มีเพียงสิ่งของและขยะกระจัดกระจาย  เขาพยายามเดินตามอีกฝ่ายให้เงียบที่สุด เพราะอยากจะรู้ว่าตกลงแล้วเด็กสาวที่เพิ่งเข้าเรียนมาเมื่อสัปดาห์ที่แล้วเป็นอะไรกันแน่




    อย่างน้อยถ้าพร้อมเป็นมิตร สไปเดอร์แมนคนนี้ก็ยินดีที่จะรู้จัก





    ครืด…! โครม!!!



    “เห้!!!”



    ถึงขยะขนาดใหญ่ถูกผลักจนกระเด็น เป้าหมายเป็นเขาแน่ไม่ผิดเพี้ยน หากแต่โชคดีที่สไปเดอร์เซ้นส์ของปีเตอร์ทำให้ตัวเขากระโดดหลบอย่างรวดเร็วจนเผลอขึ้นไปไต่อยู่บนกำแพงอิฐ




    “โอ้เวร…”เด็กหนุ่มอุทานออกมา ก่อนที่จะกระโดลงมาอยู่บนพื้นตามปกติ สองมือยกขึ้นพร้อมกับพยายามบอกให้อีกฝ่ายไม่เสียงดังกระโตกกระตากไป





    ปีเตอร์ ซวยแล้วไง คุณสตาร์ครู้เข้าคงด่าเขากระจุยแน่





    “นายนี่เอง ฉันตกใจหมด นึกว่าโจร!”



    เด็กสาวร้องบอก ก่อนที่จะเอามือที่เหมือนจะตั้งการ์ดหากแต่ก็ไม่ใช่ลงไปไว้ข้างลำตัวดังเดิม




    “คือ...ฉันแค่จะเดินมาดูน่ะ แบบว่า เธอดูเงียบๆ เหมือนมีปัญหา แต่คงไม่ใช่แล้วล่ะ…คงเป็นฉันมากกว่า”พาร์คเกอร์บอก ก่อนจะค่อยๆเดินเข้าไปใกล้อีกฝ่าย




    “อ่าฮะ...ไม่ต้องกลัวฉันไปบอกใครหรอก ฉันไม่ใช่คนปากมาก แล้วนายตามฉันมาเพื่อเรื่องแค่นี้น่ะหรอ?”เด็กสาวพยักหน้าบอก แล้วจึงถามกลับอีกหน พลางยกมือขึ้นกอดอก



    “ใช่…”




    “โอเค...งั้นฉันกลับแล้วนะ คือแบบ มีงานที่ต้องทำ เยอะแยะไปหมด”



    ปีเตอร์พยักหน้าช้าๆ ก่อนที่จะยืนมองอีกฝ่ายเดินไป ตัวเขาเองก็ควรที่จะรีบกลับไปทำงานเหมือนกัน ดูเหมือนวันนี้สไปเดอร์แมนน่าจะไปทำงานสายนิดหน่อยล่ะนะ



    เด็กหนุ่มหันกลังเตรียมจะเดินกลับ ทว่าดวงตาสีน้ำตาลของตนกลับเหลือบไปเห็นบางอย่างที่เกือบจะทำร้ายเขาเมื่อครู่



    ถังขยะอันนี้ไม่ใช่เล็กๆเลย ของข้างในอีก น้ำหนักคงหลายปอนด์ แรงผู้ชายบางคนยังผลักมันไม่ออกด้วยซ้ำ แล้วทำไมมันถึงกระเด็นมาแรงได้ขนาดนั้น…?



    “คริสตัล…!”



    ปีเตอร์ตะโกนเรียก และทันทีที่เสียงตะโกนดังขึ้น สองขาเรียวของร่างบางระหงก็หยุดชงักทันที



    “ม...มีอะไรหรอ?”คริสตัลตอบเสียงแผ่ว ก่อนจะค่อยๆหันกลับไป



    “เธอ...ผลักถังนี่ด้วยตัวเองหรอ?”พาร์คเกอร์ถาม



    “ก็...ก็ใช่ แต่ไม่ใช่แรงฉันทั้งหมดหรอก แบบว่า พื้นมันคงเอียง ล..แล้วก็...นั่นอะไรน่ะ!”



    เด็กสาวแสร้งทำชี้ไปที่ยอดตึกฝั่งตรงข้าม ก่อนที่จะวิ่งสุดชีวิต อย่างน้อยก็น่าจะดึงความสนใจจากนายพาร์คเกอร์ไปได้ซักสองสามนาที มันน่าจะทำให้เธอขึ้นรถบัสคันนั้นทัน



    คริสตัลยกมือขึ้นมาเท่าระดับไหล่ ก่อนที่ร่างของเจ้าตัวจะถูกดูดเข้าไปหาบางอย่างที่เป็นโลหะจากฝั่งตรงข้าม ทว่ามันก็ยังเร็วไม่พอ เพราะร่างของเธอที่กำลังถูกกระชากกลับด้วยใยบางอย่างที่ดึงรั้งเอาไว้ ก่อนที่ใยนั้นจะเหวี่ยงร่างเธอขึ้นไปกระแทกกับกำแพงที่ยอดตึก



    “ไงคริสตัล หวังว่าจะมีคำตอบดีๆให้ฉันนะ”



    ##########



    “สีนี้ก็สวยดี  อ้าว ว่าไงไรดส์ นี่ไง เห็นผลงานชิ้นใหม่ของฉันมั้ย ไอพ่นแบบใหม่ ทีนี้ก็ไม่ต้องตัวติดกับชุดอย่างเดียวแล้วถึงจะบินได้”ชายวัยกลางคนเจ้าของตึกขนาดใหญ่ใจกลางนิวยอร์กเอ่ยบอกกับเพื่อนของตน ชายผิวสีอายุไล่เลี่ยกันยืนเพ่งพินิจพิจารณามันอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้า



    “สวยดี แล้วนายคิดจะเอาไปทำอะไร?”



    “ทำไว้เฉยๆ...คนมันเหลือกินเหลือใช้น่ะนะ…”โทนี่บอกแค่นั้น ก่อนจะจะหยิบผ้าเช็ดมือออกมาเช็ด ผู้พันโรห์ดี้มองเสื้อแขนยาวที่ชุ่มไปด้วยน้ำมัน ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นมาอีกรอบหนึ่ง



    “ทำไมรอบนี่ใช้น้ำมันล่ะ ไม่ใช้ไฟฟ้าแล้วหรอ?”



    “ใช้ ที่เปื้อนนี่ฉันไปงัดของในตู้มานิดหน่อย เปิดไม่ออกก็เลยราดน้ำมัน”



    “นั่น...ที่เคยอยู่ตรงกลางออกนายใช่ไหม?”ผู้พันโรดส์ชี้ไปที่ใจกลางของแท่นเหล็กขนาดพอดีที่กำลังเรืองแสงอยู่



    “จริงๆ ต้องเรียกว่าส่วนที่เหลือมากกว่า ไม่คิดเลยด้วยซ้ำว่าจะยังมี”โทนี่ตอบ แล้วหันไปสั่งเจ้าเครื่องจักรให้จัดการเอาเจ้านี่ไปเก็บเอาไว้ก่อน



    “พวกเขาว่ายังไงบ้าง”โทนี่สตาร์คหยิบผ้าเช็ดมือมาเช็ดไปถามไป 



    “เขายอมยกเลิกหมายจับพวกสตีฟแล้ว แต่บอกว่าจะจับตาดูเราให้มากกว่าเดิม ถ้าช่วงนี้ออกมาใส่ชุดเดินเพ่นพ่านล่ะก็ คราวนี้เขาจะจับเราทั้งหมด”โรดส์บอกสิ่งที่ตนไปประชุมมาให้กับเพื่อนสนิทฟัง ถึงอย่างนั้นเศรษฐีหนุ่มก็ยังขมวดคิ้วออกมานิดหน่อย หากแต่ก็ไม่ได้ถามอะไร เพราะคิดว่าคงไม่ค่อยจำเป็น



    “นายคะ มีสายเข้าจาก ปีเตอร์ พาร์คเกอร์”




    “โอเค บอกให้รอเดี๋ยวนึง”




    โทนี่ว่า ก่อนจะรีบเดินออกไปยังห้องห้องทำงานที่อยู่ข้างๆกัน โรดส์ลอบยิ้มเล็กน้อย ก่อนที่จะยอมเดินตามอีกฝ่ายไปเงียบๆ



    เขาไม่เคยเห็นโทนี่ลุกลี้ลุกลนขนาดนี้มากก่อนนอกจากตอนที่ยังคบกับเพ้พเพอร์ อดีตคนรักที่ตอนนี้หายหน้าหายตา เพราะร้างลาความสัมพันธ์กันไป หากแต่ก็ยังคงบอกว่าถ้าทุกอย่างดีขึ้น ก็จะกลับมาทำหน้าที่เลขาให้เหมือนเดิม



    นับว่าสปีริตดีใช้ได้



    “ว่าไงไอ้หนู ถ้าจะมาขอให้ไปรับฉันจะบอกเลยนะว่าฉันไม่ว่าง”ชายวัยกลางคนว่าติดตลก แม้เขาจะรู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายคงไม่ได้โทรให้ไปรับ แต่ก็อยากจะแกล้งเย้าแหย่ให้สนุกสนานเท่านั้น เห็นไอ้เด็กนี่ร้องแง้วๆ เหมือนลูกหมาแล้วสนุกดี



    “คุณสตาร์ค คือผมอยากจะโทรมาถามเรื่อง แบบว่า มันอาจจะดูเกินจริงไปหน่อย แต่มันจะเป็นไปได้มั้ยที่โลกนี้จะมีคนที่สามารถดึงตัวเองเข้าหาเหล็ก หรือว่าผลักเหล็กออกจากตัวเองโดยไม่ต้องใช้แรง แบบว่า คือ เหมือนเป็นแม่เหล็ก”



    “นายพูดอะไรวกวนจังปีเตอร์ อะไรเหล็กๆ นะ”โทนี่ถามกลับไป พอจะจับใจความได้ว่าคนที่เหมือนแม่เหล็ก แต่เขาอยากจะได้คำอธิบายที่แน่ชัดกว่านี้



    “นายไปเจออะไรมาปีเตอร์?”โรห์ดี้ถามซ้ำกลับไปอีก เพราะเขาเชื่อว่าเด็กหนุ่มต้องไปเจออะไรแปลกๆมาอีกแล้วแน่ๆ



    “คือผมแค่สงสัย แบบว่า คนๆหนึ่ง จะสามารถเป็นเหมือนแม่เหล็กได้มั้ย แบบว่า ดึงเข้า สะท้อนออก ตามหลักของมัน แต่ว่ามันอยู่ในคนน่ะครับ”




    “ไม่แน่ใจนะปีเตอร์ เพราะดูจากที่ทั้งนาย ฉัน โรห์ดี้ สตีฟ หรือแบนเนอร์ ทุกคนก็ดูน่าเหลือเชื่อเกินไป มันก็อาจจะเป็นไปได้”



    เขาบอกตามที่คิด จะบอกว่าไม่มีทางเลยก็คงไม่ใช่ เพราะในทีมก็มีคนที่ดูน่าเหลือเชื่อไปเกินครึ่ง ทั้งจากการฝึกแล้วก็สิ่งต่างๆ แต่ทุกอย่างล้วนเกิดมาจากการทดลองทั้งนั้น





    ยกเว้นพี่ป๊อปอายจากแอสการ์ดไว้สักคน





    “แล้วถ้าเกิดมีคนแบบนั้นจริงๆ?”



    “สายเข้าจากคุณนาตาชาค่ะนาย”เสียงจากเอไอสาวแจ้งเตือนขัดบทสนทนาเหล่านั้นขึ้นมา




    “ปีเตอร์ ฉันขอคุยธุระก่อน ถ้าอยากรู้อะไรอีกนายก็เสิร์ชเอา รู้จักกูเกิลใช่มั้ย เอาล่ะ โชคดี ส่งสายนาตาชามาฟราย์เดย์”



    “ค่ะนาย ---คุณดูยุ่งๆนะช่วงนี้ โทนี่”



    “ก็นิดหน่อย ผมว่าวันนี้จะเข้าไปดูบ้านซักหน่อย ปีหน้าจะสร้างเสร็จหรือเปล่าก็ไม่รู้”



    “ยังฟื้นได้อยู่อีกหรอ ที่นั่นน่ะ”



    ปลายสายว่า โทนี่ได้ยินเหมือนเสียงหัวเราะที่ไม่รู้ว่าสมเพชหรือว่าหมายความด้านอื่นเจือปนอยู่ในประโยคด้วย ก็เข้าใจอยู่หรอกว่าโดนยิงไปซะเละเทะ แต่มหาเศรษฐีอย่างเขา จะเสกบ้านอีกกี่หลังก็ย่อมได้ แค่ต้องใช้เวลาเท่านั้น



    “มีอะไรคืบหน้าเหรอ?”เขากระตุกยิ้ม เหมือนนาตาชาน่าจะรู้แล้วว่าสตีฟและคนอื่นๆ ถูกถอนหมายจับ



    “ขอบใจมากนะที่อุตส่าห์ไปเคลียร์ให้…”



    “ไม่เป็นไรหรอก ว่าแต่ มื้อเย็นจะฉลองด้วยอะไรดี มาที่นี่มั้ย ผมพร้อมเปิดรับทุกคนเสมอ”



    “คงยังไม่ใช่ตอนนี้ ฉันต้องจัดการเรื่องที่อยู่ใหม่ อ้อ ขอบใจเรื่องบ้านด้วย สวยมาก”เสียงปลายสายก้องขึ้นเหมือนกับกำลังเดินเข้าไปในบ้าน รวมไปถึงน้ำเสียงที่ดูจะมีความสุขไม่น้อยที่ได้กลับมาใช้ชีวิตอย่างปกติสุข



                หลังจากมีเรื่องมีราวมากมาย นานๆทีพวกเขาจะได้หยุดพักกันบ้าง งานหนักสุดเห็นจะเป็นเขา เพราะหลังจากที่ตามจัดการเรื่องของเจ้าเด็กหนุ่มตัวแสบจนเสร็จสรรพ งานในมือก็ดูเหมือนจะยิ่งเยอะเข้าทวีคูณ



                 ต้องยอมรับว่าหลังจากไม่มีเพ้พเพอร์ ชีวิตก็ดูยุ่งและวุ่นวายขึ้นเยอะ ช่วงสองสามปีหลังมานี้ โทนี่ทุ่มเทชีวิตในทุกๆวันให้กับงานและสิ่งประดิษฐ์ จนแทบจะไม่มีเวลาเป็นของตัวเอง ถึงจะคุ้มค่า แต่เขาก็คิดวว่าตัวเองควรจะต้องหาเวลาพักร้อนซักหน่อย




    “ใช่มั้ยล่ะ ถ้าหาแบนเนอร์เจอก็บอกเขาด้วยว่าแลบใต้ดินยิ่งใหญ่อลังกาลมาก ชวนให้เขามาลอง”



    “ถ้าเจอ...ฉันคงจ้องวางสายก่อน เห้ เอามาไว้ตรงนี้เ---”



    “เสียงเธอดูร่าเริงขึ้นนะ”เพื่อนสนิทบอก แล้วส่งกาแฟชั้นดีส่งกลิ่นหอมกรุ่นที่แฮปปี้ชงมาเสิร์ฟให้กับอีกฝ่าย



    “ก็น่าดีใจจริงๆ นั่นแหละ”โทนี่ยกยิ้มขึ้น พลางมองออกไปนอกระจก ชื่นชมกับทิวทัศน์ในยามบ่ายของเมืองที่แสนจะวุ่นวายที่สุดในโลก



    ##########



               “กลับมาแล้วครับป้าเมย์”เด็กหนุ่มร้องทักผู้เป็นป้า แม้กาลเวลาจะทำให้อายุของอีกคนมากขึ้น แต่เมย์ พาร์กเกอร์ก็ยังคงสวยไม่สร่าง หญิงสาวที่อายุขึ้นเลขสี่แล้ว ไม่ได้ทำให้ใบหน้าของอีกฝ่ายมีริ้วรอยแต่อย่างใด อีกอย่างที่ช่วยได้เยอะ ก็คงจะเป็นเรื่องการแต่งตัวของอีกคน ที่ดูจะทำให้ป้าเมย์ของเขายังดูเหมือนสาววัยยี่สิบปลายๆ



              “ไงจ๊ะปีเตอร์ นี่ มาดูเร็ว ป้าทดลองอบเค้กดู ของหวานมื้อเย็นน่ะจ้ะ”


    “น่ากินมากเลยครับ งั้นผมขอตัวไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะครับ”



    “หลานดูซึมๆ นะ เป็นอะไรหรือเปล่าจ๊ะ?”เมย์ถามขึ้น หลานชายของเธอ แค่ฟังจากเสียงก็รู้แล้วว่ารู้สึกยังไง เป็นคนที่เก็บความรู้สึกไม่เก่งเอาเสียเลย




    “ผม...มีรายงานนิดหน่อยน่ะครับ มันยากมากเลย”



    “อย่าบอกนะว่าหลานนั่งจมอยู่ที่ห้องสมุดก็เลยกลับเย็นน่ะ…?”



    “อ่า….ก็ใช่ครับ นิดหน่อย พอดีรายงานมันเนื้อหาเยอะน่ะครับ”



    “ป้าบอกแล้วใช่มั้ยว่าเราอย่าไปเครียดกับเรื่องพวกนี้ให้มันมาก หลานป้าน่ะเก่งอยู่แล้ว รีบไปเก็บกระเป๋าเร็วเข้า แล้วมากินข้าวกัน”





    เด็กหนุ่มรีบเดินเข้ามาในห้อง ทรุดตัวลงนั่งบนเตียง ก่อนที่จะค่อยๆเอื้อมไปเปิดคอมพิวเตอร์แล้วพยายามค้นหาสิ่งที่ตนเองสงสัยบนโลกอินเตอร์เน็ต



    อย่างน้อยมันก็ต้องมีคำอธิบายบ้างว่าตกลงแล้วมันคืออะไรกันแน่




    คนแม่เหล็ก



    คนที่มีแม่เหล็ก



    คนมีสารเหล็ก




    “ไม่มีจริงหรอวะเนี่ย”



    ปีเตอร์สบถออกมาลำพัง หากแต่เมื่อนึกย้อนไปถึงบนดาดฟ้านั่นก็อดที่จะทึ่งไม่ได้ เขาโดนผลักจนกระแทกกำแพง แทบจะน่วมไปทั้งตัว โดยที่คริสตัลขยับออกแรงแค่นิดเดียว เธอแทบจะยกตึกทั้งตึกได้ด้วยมื้อเดียวเลยด้วยซ้ำ






    “รู้แล้วก็เงียบๆไว้เถอะนะปีเตอร์ อย่าลืมว่าฉันก็มีความลับของนาย เอาเป็นว่าเราหายกันนะ ฉันไปล่ะ”




    “เดี๋ยวสิ! ฉันยังไม่รู้เลยนะว่าสิ่งที่เธอเป็นอยู่เนี่ยมันคืออะไร มันอาจจะเป็นอันตร-”




    “ฉันไม่สร้างอันตรายให้ใครหรอกปีเตอร์ แค่ลำพังเป็นแบบนี้ฉันก็รู้สึกแย่มากพออยู่แล้ว”




    อีกฝ่ายตอบด้วยน้ำเสียงอึดอัดปนเศร้าหมอง แม้คริสตัลไม่ได้หันกลับมา ปีเตอร์ก็พอจะรู้อยู่ว่าดวงตาของอีกฝ่ายก็คงเศร้าหมองเช่นเดียวกัน ก่อนที่จะเป็นฝ่ายกระโดดลงไปจากตึกตรงนั้น ปีเตอร์รีบวิ่งไปดู เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะบาดเจ็บ หากแต่ก็พวแต่เพียงความว่างเปล่าบนพื้นถนน



    #########



    “กลับมาแล้วค่ะ”



    คริสตัล ลี เอ่ยบอกพร้อมยิ้มกับมารดาที่กำลังนั่งอยู่บนโซฟา กดรีโหลดเปลี่ยนช่องโทรทัศน์ไปมา เมื่อเห็นว่าลูกสาวกลับมา อัลเลนก็รีบกดปิดทีวีแล้วเดินเข้าไปช่วยเจ้าตัวแสบถือกระเป๋า แล้วจัดการเดินเอามันไปวางเอาไว้ที่เก้าอี้ ก่อนจะส่งยิ้มหวานให้กลับ



    “เป็นยังไงบ้างลูก โรงเรียนสนุกไหมจ๊ะ?”



    “แม่ถามแบบนี้ทุกวันเลย ไม่เบื่อบ้างหรอคะ”คริสบอก แล้วนั่งลงบนเก้าอี้โต๊ะอาหาร ตรงหน้ามีอาหารว่างตั้งรออยู่แล้ว แน่นอนว่ามันเป็นของเธอ



    “ก็แม่อยากรู้นี่ว่าลูกเป็นยังไงบ้าง เห็นมัวแต่นั่งทำหน้าเศร้าทั้งวัน มีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า?”



    “ไม่มีอะไรหรอกค่ะ...หนูแค่...คิดถึงนิวยอร์ก...”



    “แต่แม่ว่าควีนส์ก็ไม่แย่นะลูก...”อัลเลนบอกก่อนจะนั่งลงแล้วรินน้ำส้มที่เพิ่งหยิบออกมาจากตู้เย็นใส่แก้วพลางดันให้ลูกสาว






    “เราไม่ย้ายอีกได้ไหมคะแม่...”






    ประโยค ทั้งน้ำเสียงแผ่วเบา เต็มไปด้วยความเศร้าหมอง มันไม่ใช่ประโยคคำถาม แต่มันเป็นประโยคขอร้อง ทั้งแววตาเว้าวอนที่ใกล้จะเอ่อคลอไปด้วยหยาดหยดน้ำแห่งความคิดถึงให้กับบ้านหลังเดิมก่อนจะย้ายมาควีนส์




    “ทานของว่างเถอะจ้ะ เดี๋ยวแม่ไปดูพ่อก่อนนะ...”




    อัลเลนไม่ได้ตอบอะไรออกไป หล่อนทำเพียงแค่ตัดสนใจเดินออกมาจากที่นั่นเงียบๆ ปล่อยให้คริสตัลนั่งอยู่ตรงนั้น




    ไม่ใช่ว่าเพราะตอบไม่ได้ แต่เพราะไม่กล้าจะพูดออกไปมากกว่าว่าที่ทำไปทั้งหมดนั้นก็เพื่อปกป้องลูก




    การเลี้ยงเด็กที่มีพลังอย่างคริสตัลไม่ใช่เรื่องง่าย เธอพยายามให้ลูกสาวคิดว่าตัวเองเป็นเพียงแค่เด็กธรรมดา แต่ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะไม่ต้องการแบบนั้น…




    พลังของคริสตัลมากขึ้นทุกวัน จนตัวเธอเองเริ่มที่จะกังวล ว่าหากอยู่ในเมืองที่เต็มไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตาที่รู้จักมักคุ้นกันเป็นอย่างดีจะทำให้ความลับเรื่องนี้แตกเข้าซักวัน เธอไม่ต้องการให้ลูกไปเข้าร่วมกับกลุ่มช่วยโลกอะไรนั่น




    เธอแค่อยากให้คริสตัลเป็นลูกสาวของเธอ เป็นแค่เด็กธรรมดา…





    “เห้อ...”




    เด็กสาวถอนหายใจ ก่อนจะเดินไปหยิบกระเป๋า แล้วเดินขึ้นห้องนอนมาอย่างเงียบๆ





    ห้องนอนเรียบง่าย ชิ้นของส่วนหญ่ทำมาจากไม้และพลาสติก เครื่องมือสื่อสารเดียวที่มีในห้องนี้คือคอมพิวเตอร์แบบพกพาที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ แม้แต่นาฬิกา ก็ยังเป็นแบบอะนาล็อกธรรมดา ไม่ใช่ดิจิตอลอย่างที่คนอื่นใช้กัน




    เธอรู้ว่าที่พ่อแม่ทำทั้งหมดนี้ก็เพื่อไม่ให้เธอรู้สึกเหมือนคนแปลก แต่ยิ่งทำ เธอก็ยิ่งรู้สึกว่ามันตอกย้ำพลังพิเศษในตัวเธอ บอกว่าตัวเธอไม่ใช่คนปกติ…



    แก็ก!



    เสียงสิ่งของบางอย่ากระทบหน้าต่าง คริสตัลหันไปมองทันที เธอถูกฝึกมาให้ระวังตัวเอง ดังนั้นสิ่งเร้าต่างๆ แม้เพียงเล็กน้อย ก็ทำให้เด็กสาวระแวงได้ แม้ว่าเสียงนั้นจะเป็นเพียงก้อนห้อนก้อนเล็กๆ ก็ตาม…




    ก้อนหิน?




    “ไง”




    “เชี่*!”




    คนถูกแกล้งสบถออกมาเป็นรอบที่สองของวัน คริสตัลรีบถอยออกมาจากหน้าต่านทันที ส่วนคนต้นเรื่อง ที่นอกจากจะไม่สะทกสะท้านอะไรแล้ว เจ้าของชุดสไปเดอร์สูทก็กระโดดเข้าห้องมาอย่างช้าๆ โดยไม่รอเจ้าของจะอนุญาต




    “ฉันไม่ได้ตั้งใจให้เธอกลัวนะ โทษที ไง ฉันสไปเดอร์แมน”



    ปีเตอร์ในร่างสไปเดอร์แมนเอ่ยทักทายทั้งยังยื่นมือไปด้านหน้า



    “อะไรของนายเนี่ยปีเตอร์ แล้วนายรู้จักบ้านฉันได้ยังไง?”



    “ก็ให้คาเรนช่วย...ว่าแต่ ฉันนั่งได้มั้ย”เด็กหนุ่มเก้ๆกังๆ พลางมองไปที่เตียงเป็นคำถาม



    “อืม”



    ใจจริงเธออยากจะบอกว่าถ้าจะเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาตขนาดนี้แล้วก็ไม่ต้องหันมาขอให้เสียเวลาแล้วล่ะ หากแต่เด็กสาวก็ไม่ได้พูดอะไร ทำเพียงแค่เดินไปนั่งที่เก้าอี้โต๊ะทำงาน แล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่นัก



    “ห้องเธอนี่ ไม่ค่อยเหมือนผู้หญิงเท่าไหร่เลยนะ มันเรียบๆ ชอบกล”แขกที่จำเป็นจะต้องต้อนรับเอ่ยบอกยามกวาดตามองไปรอบๆห้อง



    “นายเคยเข้าห้องผู้หญิงมาแล้วหรือไง?”เจ้าของบ้านบอกแกมถาม เมื่อได้ยินดังนั้นปีเตอร์ก็รีบโบกไม้โบกมือ ส่ายหน้าปฏิเสธเป็นการใหญ่



    “เปล่าๆ คือฉันหมายถึง...เอ่อ คือฉันอยู่กับป้า...แบบว่า...ฉันเคยเห็นห้องป้าน่ะ ก็เลยคิดว่าห้องผู้หญิงทุกคนจะเป็นแบบนั้น”




    “แล้วนายมาที่นี่ทำไม ป้าไม่ให้เข้าบ้านหรอ”





    เมื่อได้ยินอย่างนั้นปีเตอร์ก็รีบส่ายหน้าอีกรอบ ก่อนที่จะพ่นใยไปที่กลอนประตู แล้วหันมาเอ่ยถามอย่างจริงจัง จนคริสตัลที่ไม่ค่อยจะเห็นอะไรแบบนี้จากหมอนี่เผลอหลุดขำออกมาเล็กน้อย แม้จะถูกหน้ากากบดบังใบหน้าเอาไว้ แต่พอนึกนึงใบหน้าของอีกฝ่ายขมวดคิ้ว  ส่งสายตาจริงจังมาให้ก็อดจะขำไม่ได้ทุกที




    ก็หน้าหมอนั่นให้กับคำว่าจริงจังซะที่ไหนกันล่ะ




    “เธอมีพลังนั่นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”




    “คนแรกเลยนะที่ถามงี้...เพราะเป็นคนแรกที่รู้”เด็กสาวเอ่ยพลางยิ้ม น้ำเสียงดูไม่ได้ยี่หระอะไรที่อีกฝ่ายก้าวก่ายเรื่องส่วนตัว




              ไม่ใช่ว่าเธอไม่อึดอัด แต่เพราะรู้ว่าถ้าบอกคนอื่นอาจะถูกมองว่าเป็นตัวประหลาด แต่ถ้าว่ากันตามจริง ตอนนี้เธอก็คงไม่ใช่ตัวประหลาดเพียงคนเดียวอีกต่อไป หมอนี่ก็ประหลาดไม่แพ้กัน อย่างน้อยพูดออกไปก็อาจจะรู้สึกดีกว่าจะเก็บเอาไว้คนเดียว



    “ก็...แม่ฉันเล่าให้ฟังว่า ฉันมีพลังแบบนี้ครั้งแรกตอนขวบกว่าๆ แรกๆใช้ได้แค่ที่มือ ฉันดึงเอาพวกเหรียญ กระป๋อง อะไรก็ตามที่มีส่วนผสมของของโลหะ ติดมือ”คริสตัลบอกพลางชูมือขึ้นให้ดูเพียงเสี้ยงวีนาที กระเป๋านักเรียนก็ลอยมาติดที่มืออย่างง่ายดาย



    “โทรศัพท์มือถือน่ะ”



    “พวกนั้นก็ด้วยหรอ?”



    “ใช่ แล้วพอฉันห้าขวบ พลังฉันเยอะขึ้นเรื่อยๆ จากแค่มือ ก็ใช้ได้ทั้งตัวเลย”ดวงตากลมสีน้ำตาลเข้มหรี่หลุบลงมองด้านล่างมองมือของตัวเองพลางส่งเสียงหึขึ้นจมูดเบาๆ แล้วว่าต่อ



    “ตอนนั้นแม่ฉันเป็นนักวิทยาศาสตร์ พยายามเอามันออกจากตัวฉัน แม่เล่าให้ฟังว่าตอนที่พยายามเอามันออกไปจากตัวฉัน ฉันร้องเหมือนมีคนเอามีดมากรีดฉันให้แหลกทั้งตัวเลย แม่เลยรู้ว่าถ้าเอามันออก ก็หมายถึงต้องฆ่าฉันด้วย...”



    “โอ้...ขอโทษที”




    “หลังจากนั้น แม่เลยพยายามหาทางอื่น...พวกเขาพยายามยัดบางอย่างเข้ามาในหัวฉัน แต่แทนที่มันจะทำให้ฉันหาย กลับไปเร่งให้พลังฉันพัฒนาเร็วกว่าเดิม”




    ปีเตอร์กระพริบตาปริบๆ ใต้หน้ากากของตนเอง ก่อนที่จะค่อยๆยื่นมือไปตบไหล่ของอีกคนเบาๆ




    “ตอนนั้นมันก็ยากล่ะนะ แต่ตอนนี้ฉันชินแล้วล่ะ มันได้ดูดทุกอย่างติดเหมือนแต่ก่อน”คนผมสีเข้มพูดตอบ แล้วก็โยนกระเป๋ากลับไปที่เดิม





    “ฉันดีใจนะที่เธอคิดแบบนี้น่ะ...ว่าแต่ ฉันถามอีกข้อได้หรือเปล่า?”




    “ขนาดนี้แล้วก็ถามมาเลยเถอะ ถ้าตอบได้ฉันก็จะตอบ”คนถูกถามแซะเขากลับ เมื่ออีกฝ่ายอนุญาต ปีเตอร์รีบเอ่ยถามออกไปทันที




    “เธอสนใจ...จะมาร่วมช่วยเหลือชุมชนกับฉันมั้ย?”




    “ไม่ดีกว่าปีเตอร์”เธอปฏิเสธทันที





    “ท...ทำไมล่ะ พลังของเธอน่ะช่วยเหลือคนอื่นได้ตั้งเยอะแยะเลยนะ ถ้าเธอลอง ฉันว่ามันจะต้-”คนชุดแดงพยายามอธิบาย แต่ก็ถูกคริสตัลพูดขัดขึ้น




    “แม่ฉันอยากให้ฉันเป็นแค่คนธรรมดาปีเตอร์ เขาไม่อยากให้ฉันเอาตัวเองไปเสี่ยง...หรือนายจะเถียงว่าที่นายทำอยู่มันไม่เสี่ยง”




    “มันก็เสี่ยง แต่ว่าเราได้ช่วยคนนะ”




    “ถ้าอย่างนั้นนายตอบฉันได้มั้ย ว่าถ้าป้านายเลือกได้จะอยากให้นายเป็นสไปเดอร์แมนหรือเปล่า?”



    คริสตัลเว้นไป สายตาจ้องทะลุผ่านหน้ากากบนใบหน้าของเพื่อนร่วมชั้นราวกับเค้นขอคำตอบ แล้วเมื่อได้รับเพียงความเงียบงันกลับมา จึงรู้ว่าอีกฝ่ายคงเถียงเรืิ่องนี้ไม่ออก




    “ไม่มีใครอยากให้คนที่ตัวเองรักไปเสี่ยง แม่ฉันก็เหมือนกัน หวังว่านายจะเข้าใจฉันนะปีเตอร์”เธอบอกแล้วก็ลุกขึ้นไปเปิดหน้าต่าง นิ้วโป้งชี้ออกไปด้านนอกเป็นเชิงบอกว่า ‘รีบกลับไปได้แล้ว’ ด้วยประโยคที่ไม่สุภาพมากกว่านั้นประมาณสองสามเท่า หรือง่ายๆก็คือ ไสหัวกลับไปได้แล้วไอ้ชุดแดง






    “ฉันไม่ยอมแพ้หรอกนะจะบอกให้”





    ปาร์กเกอร์ทิ้งท้ายเอาไว้ ก่อนที่จะรีบโหนใยออกไปจากห้องหลังจากที่สังเกตว่าไม่มีคนเห็นแล้วอย่างแน่นอน





    นับถือใจหมอนี่จริงๆ แฮะ




    ##########

     


              Talk with ไรต์




              สวัสดีค่า เราไรต์เตอร์เองนะคะ ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนค่ะ



              เรื่องนี้เราขอชี้แจงก่อนว่า เนื้อเรื่องจะดำเนินอยู่ในช่วงประมาณหลังสไปเดอร์แมน โฮมคัมมิ่งนะคะ ซึ่งยังไม่ถึงอินฟินิตตี้วอร์ (ไม่อยากพูดถึง ช้ำใจ)



                        เราค่อนข้างใหม่ในส่วนนี้ ไม่ค่อยเขียนฟิคชั่นจากหนังเท่าไหร่ แล้วยิ่งโยงกับเนื้อเรื่องแล้วด้วย อาจจะมีเรื่องหรือว่าเหตุการณ์ที่อาจจะขัดกับคอมมิคไปบ้าง หรือมีข้อผิดพลาด เราต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ

                        ชี้แจงเรื่องที่สอง คือ เราจะมีการใส่ตัวละครอื่นๆ ลงไปในเรื่องเพิ่มนะคะ ตอนแรกก็โผล่มาแล้ว นั่นก็คือตัวเอกของเรา นั่นก็คือ น้องคริสตัล ลี เพื่อนหนุ่มสไปดี้นั่นเองค่า //จุดพลุกระดาษ น้องกับสไปเดอร์แมนจะเป็นตัวเดินเรื่องนะคะ เอ็นดูเด็กๆ ด้วย555555


                        ฝากสครีมแท็ก #จุดเปลี่ยนอวจ  ในทวีตเตอร์ด้วยนะคะ จะเป็นพระคุณอย่างมาก //กราบ ภาษาเราช่วงนี้อาจจะง่อยๆ จะพยายามปรับปรุงค่ะ


              แล้วเจอกันตอนหน้าค่า :)
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in