เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Sujira in Aksornsujira_lr
ปี 3 เทอม 2 เอาดี ๆ ก็ควรพักบ้าง
  • “จบลงไปแล้วกับการเรียนปี3 เทอม2 ทางเรานำความประทับใจจากเทอมนี้มาฝากค่าา” (เปิดมาด้วยประโยคคล้ายแคปชั่นเพจภาควิชาเวลาละครจบแล้วจะลงรูป recap…) 

    ในที่สุดก็ผ่านมาอีกเทอมค่ะ เป็นเทอมที่เปิดมาก็ตึงแสนตึง เทอมก่อนคิดว่าสุดแล้ว เทอมนี้สุดกว่า แต่ไม่เป็นไร ชีวิตคือความท้าทาย ไม่มีอะไรง่าย (แต่ก็ไม่ต้องยากไปทุกเรื่องก็ได้ อยากสบายบ้าง…)


    แน่นอนว่าเราจะมาพูดถึงแต่ละวิชาที่เราลงเรียนไปในเทอมนี้โดยเรียงตามลำดับการปรากฏตัว (ในตารางเรียน) ของเราเหมือนเดิมค่ะ ยกเว้นวิชาเสรีเราจะเขียนแยกไว้ตอนท้ายสุดเพื่อไม่ให้ปนกับวิชาในเอก


    *ทั้งหมดนี้เป็นเพียงความเห็นส่วนตัวของเรา&บางวิชาถ้ามาเรียนเองอาจจะมีเนื้อหาต่างไปจากที่เราเล่าอาจเพราะครูสอนคนละคนหรือมีการเปลี่ยนหลักสูตรค่ะ

    **ตอนที่เราเขียนยังเป็นหลักสูตรปี 61 อยู่นะคะ 



    Play Writing I (เลือกในเอก)


    วิชานี้คือวิชาเขียนบทละครตัวแรกค่ะ เน้นไปที่ละครเวที (แน่นอนสิ เพราะเอกนี้เรียนเกี่ยวกับละครเวทีนี่นา) วิชานี้เรียนสบาย ๆ แต่จะ มีการบ้านทุกสัปดาห์ค่ะ แรก ๆ จะไม่ยากมาก ทำไม่นานก็เสร็จ สัปดาห์หลัง ๆ จะเริ่มใช้เวลาเยอะขึ้น ข้างล่างนี้คือโจทย์การบ้านแต่ละสัปดาห์ในเทอมที่เราเรียน (เทอมต่อ ๆ ไปอาจมีเปลี่ยนไปบ้างค่ะ ตามที่ครูผู้สอนเห็นว่าเหมาะสมและน่าสนใจ)


    Week 1- ให้คิดพล็อตจากเพลง 1 เพลง ทำยังไงก็ได้ให้เพลงที่เราเลือกมามีฟังก์ชั่นบางอย่างในพล็อตของเรา จะเป็นพล็อตสดใสแต่ใช้เพลงเศร้า หรือเป็นเพลงน่ารักในพล็อตสยองขวัญก็ได้ เลือกได้ตามใจเลยแต่ในเรื่องของเราจะต้องมีเพลงนี้อยู่


    Week 2- ให้สร้างตัวละครจากอาชีพแปลก ๆ หรืออาชีพที่ไม่ค่อยมีคนรู้จัก/ไม่ค่อยมีคนทำ

    งานนี้ครูจะให้เราฝึกการ research ตัวละครค่ะ เพราะเราสร้างตัวละครตัวนึงก็คือสร้างคนคนนึงขึ้นมาเลย เขาต้องมี routine ของเขา มีงานที่เขาทำ พอโจทย์เป็นอาชีพที่คนไม่ค่อยรู้จัก/ไม่ค่อยมีคนทำแล้วเรายิ่งต้องไปค้นข้อมูลเพิ่มให้ละเอียดเพื่อที่ตัวละครของเราจะได้ไม่โป๊ะและดูสมจริงมากขึ้น


    Week 3- ให้ลองเขียนไดอารี่ของตัวละครที่เราสร้างไปในงานที่แล้ว สมมติเราไปค้นไดอารี่ของเขาแล้วฉีกออกมา 3 วัน (3 วันนะคะไม่ใช่ 3 หน้า บางวันเขาอาจจะเขียนเยอะมาก บางวันเขาอาจจะเขียนแค่ 3 บรรทัดก็ได้)

    งานชิ้นนี้จะช่วยให้เราเห็นตัวละครของเราเป็นคนที่สมจริงมากขึ้นอีก มีนิสัย มีสิ่งที่ชอบหรือเกลียด มีความทรงจำ มี background ในชีวิต 


    Week 4- ให้ลองคิดว่าตัวละครเดิมของเรามีเวลา 3 เดือนในการทำอะไรบางอย่าง เขาจะทำอะไรยังไงบ้าง ไม่จำเป็นต้องเหลือเวลาในชีวิตแค่ 3 เดือนนะ สมมติว่าได้ทุนไปฝึกงานกับวงดนตรีที่ชอบเป็นเวลา 3 เดือนก็ได้ เป็นอะไรก็ได้แต่มีเวลาแค่ 3 เดือน ถ้าหมด 3 เดือนนี้เขาจะไม่มีโอกาสนั้นอีกแล้ว 

    งานชิ้นนี้จะทำให้เราผลักตัวละครของเราไปให้สุดมากขึ้นค่ะ จริงที่ตัวละครของเราก็เหมือนคนคนนึง แต่เวลาทำเป็นละครเวทีเขาจะมีเวลาอยู่กับคนดูแค่ 2-3 ชั่วโมงเท่านั้นแล้วคนดูจะไม่ได้เจอตัวละครนี้อีก เพราะงั้นบนเวทีนี้ (หรือในบทที่เราเขียน) เขาต้องเจออะไรบางอย่างและเขาต้องตัดสินใจทำอะไรบางอย่าง ต้องไปให้สุดทาง


    Week 5- ครูลองให้พวกเราใช้ ChatGPT สร้างพล็อตค่ะ ลองป้อน keywords ต่าง ๆ ลงไปแล้วให้ AI คิดพล็อตออกมาให้เรา พอได้พล็อตมาแล้วก็ให้เราแก้พล็อตที่โปรแกรมสร้างมาให้อีกที ตรงไหนแปลก ตรงไหน cliche เกินไป ตรงไหนไม่เคลียร์ แก้ให้หมด 

    พอทำงานชิ้นนี้ก็ค้นพบว่าเจ้า ChatGPT เนี่ยมันคิดสถานการณ์เก่งมากนะ สมมติเราคิดไม่ออกว่าจะให้ตัวละครของเราทำอะไรก็สามารถให้มันช่วยคิดได้ (แต่เจ้าโปรแกรมก็จะไปเอามาจาก database ในเน็ตอีกทีนั่นแหละ 5555) ในส่วนของพล็อตเรามองว่าโปรแกรมยังเสนออะไรที่ cliche และหลายจุดยังดูไปไม่สุดอยู่–เพราะงั้นเรายังมั่นใจว่า ณ ตอนนี้มนุษย์ยังเขียนบทได้ดีกว่า AI ค่ะ!!!


    Week 6- เริ่มเข้าไดอะล็อกกันแล้ว ครูให้พวกเราเขียนไดอะล็อกของตัวละครโดยมี subtext ว่า “ขอโทษที่ไม่เคยบอกว่ารัก/ไม่รัก” ค่ะ สถานการณ์ยังไงก็ได้ แต่ตัวละครจะไม่พูดประโยคที่ว่าออกมาตรง ๆ ต้องพูดให้อีกตัวละครคิด หรือให้คนดูคิดได้ก็ได้ แต่ ห้าม พูด ตรง ๆ เด็ด ขาดดดดด 


    วิชานี้เรียนวันจันทร์ค่ะ พอครูให้งานมาเราก็ต้องทำแล้วส่งก่อนวันที่เรียนอย่างน้อย 1 วัน (ภายในวันอาทิตย์นั่นเอง) ให้ครูได้อ่านมาล่วงหน้าแล้วพอเข้าคลาสก็มาคุยกัน ครูจะคอมเมนต์จุดที่เราสามารถพัฒนาได้ให้ฟัง แล้วก็จะชมจุดที่เราทำได้ดีด้วย เป็นวิชาที่เรียนชิล งานชิล(ในระดับนึง) 


    วิชานี้ไม่มีสอบมิดเทอมและไฟนอลค่ะ ส่งงานอย่างเดียว

    แต่อย่าชะล่าใจไป !!! เพราะมีบทเต็ม 2 เรื่องที่เราต้องส่งครูค่ะ !!


    >ชิ้นนึงเป็นบทละครสั้น ความยาว 8-15 หน้า (ถ้าเอามาเล่นจะยาวประมาณ 15-20นาทีค่ะ) และครูกำหนดว่าชิ้นนี้ต้องเป็น Solo Play ก็คือมีนักแสดงบนเวทีได้แค่คนเดียวเท่านั้น แต่ไม่ได้แปลว่าจะมีตัวละครได้ตัวเดียวนะ สามารถมีหลายตัวละครได้ แต่!! การที่เราจะให้นักแสดงคนเดียวรับบทเป็นตัวละครมากกว่า 1 ตัวนี่เราก็ต้องมีเหตุผลที่ดีด้วยนะ เช่นเรื่องนี้อยากสื่อสารประเด็นอะไรรึเปล่าถึงเลือกให้นักแสดงคนเดียวเล่นเป็นทุกตัวละคร

    แน่นอนว่าเราคิดบทแบบนั้นไม่ได้ก็เลยใช้ตัวละครเดียว ให้นักแสดงคนเดียวเล่นไปเลยค่ะ ง่ายดี 555 แต่ความยากของบท Solo ก็คือเราหากิจกรรมให้ตัวละครทำยากมากกก ครูบอกเลยว่าเขียนบท Solo ยากกว่าบทที่มีหลายตัวละครและใช้นักแสดงหลายคน อย่างน้อยถ้ามี 2 ตัวละคร (นักแสดง 2 คนอยู่ด้วยกันในฉาก) เรายังหากิจกรรมให้พวกเขาทำได้ แต่พอเป็นตัวละครเดียวแล้วเราไม่รู้เลยว่าเขาจะทำอะไร ยิ่งเรื่องที่เราเขียนไม่มีการเปลี่ยนฉาก ใช้ฉากเดียวคือห้องนอนของตัวละครแล้วเรายิ่งโนไอเดีย 555 สุดท้ายตัวละครของเราก็จะพูดอย่างเดียวตลอด 15 นาที <<ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรนะ มันก็ทำได้แหละแต่ก็จะน่าเบื่อ เหมือนคนดูมาฟังตัวละครพูดอะไรไม่รู้คนเดียวตลอดการแสดง กลายเป็น Talk Show ไหมเนี่ย 5555 


    >อีกชิ้นเป็นบทละครยาว 25 หน้าขึ้นไป (พอเอามาเล่นจะใช้เวลาประมาณ 45 นาที - 1ชั่วโมง) อันนี้ฟรีสไตล์ มีกี่ตัวละครก็ได้ เปลี่ยนฉากได้ตามความต้องการเราเลย มีมากกว่า 1 องก์ก็ได้

    ทั้งนี้ก็แล้วแต่โจทย์ของครูอีกที เห็นว่าเทอมก่อนเขียนเรื่องยาวเหมืนกันแต่ให้เป็น 1 act play (มีแค่องก์เดียว) ค่ะ แต่เทอมที่เราเรียนไม่จำกัด จัดได้เต็มที่

    ตอนจะเริ่มเขียนก็เสนอไอเดีย/พล็อตกับครูก่อน แล้วไปเขียทรีตเมนต์มาให้ครูดู แล้วก็เริ่มเขียนได้เลย


    ระหว่างเขียนก็สามารถปรึกษาครูได้เสมอเลยค่ะ ครูพร้อมให้คำปรึกษามากกก ใจดีมาก ๆ แล้วก็เก่งมาก ๆ ด้วยย สายตาเฉียบแหลมมาก แค่อ่านบทเราครั้งเดียวครูก็รู้แล้วว่าควรแก้หรือเพิ่มอะไรตรงไหนให้บทของเราน่าเชื่อถือและสมจริงมากขึ้น plot hole น้อยลง สุดยอดจริง ๆ

     

    สารภาพว่าตอนที่เราพิมพ์โพสต์นี้และกด publish ลงไปในเว็บเรายังไม่ได้เริ่มเขียนเลย มีแต่ก้อนไอเดียที่ยังไม่ได้เป็นพล็อตหรือทรีตเมนต์ด้วยซ้ำ 555555 แต่วิชานี้ (ในตอนที่เราเรียนอยู่) ติด i ได้ค่ะ เพราะฉะนั้นเราก็จะใช้เวลาตลอดปิดเทอมเขียนบทต่อไป (ร้องไห้) 


    อ้อ ๆๆ แล้วก็ การเขียนบทละครต่างจากการเขียนนิยายมากจริง ๆ บทละครคือบทที่เขียนมาเพื่อนำไปแสดงเลยค่ะ พอถึงจุดนึงมันจะมีเรื่องของการทำโปรดักชั่นมาเกี่ยวด้วย ยิ่งเป็นบทละครเวทีก็จะมีข้อจำกัดเรื่องเวลาเข้ามาอีก เรามีเวลาเล่าเรื่องแค่ 2-3 ชั่วโมงเท่านั้น เพราะงั้นสิ่งที่อยู่ในบทต้องเป็นอะไรที่จำเป็น สำคัญกับเรื่องมากจริง ๆ ถ้าสิ่งที่ใส่มาไม่ได้สำคัญกับเรื่องขนาดนั้น มีหรือไม่มีเรื่องก็เดินต่อได้เวลาทำโปรดักชั่นมันจะทำให้เปลืองงบโดยใช่เหตุค่ะ 5555—ถ้ามองในแง่การทำงานกับทางโปรดักชั่นนะ แต่สมมติถ้าเราอยากเขียนเก็บไว้อ่านเป็น closet play (บทที่เอาไว้อ่านกันเฉย ๆ ไม่ได้เอามาแสดง) ก็อาจจะไม่ต้องซีเรียสตรงนี้มากก็ได้ (อันนี้ครูไม่ได้พูด เราพูดเอง แหะ ๆ) 


    เขียนบทไม่ใช่งานง่ายเลยทุกคน นับถือนักเขียนบทอาชีพเลย ยิ่งคนที่เขียนบทให้ซีรีส์แบบรายตอนเนี่ยนะะ โหหห

    อีกอย่างที่เราอยากบอกคือออ เวลาเห็นหนัง/ซีรีส์ที่บทแปลก ทำออกมาแล้วดูบ้ง อย่าเพิ่งโทษคนเขียนบทไปซะทุกกรณี!! บางทีคนเขียนบทเขียนมาดีมากแต่พอต้องมาทำงานในโปรดักชั่น งบเป็นเรื่องสำคัญมากกก บางทีถ้างบมีจำกัดหรือทางโปรดักชั่นต้องการตัดบางส่วนออกเพื่อประหยัดงบบทก็จะบออกมาไม่สมบูรณ์เรื่องก็จะบ้งค่ะทุกคน ใช่ มันมีคนที่เขียนบ้งจริง แต่บางเรื่องคนเขียนก็พยายามแล้วแต่ทางโปรเขามีงบให้แค่ไม่เยอะมันเลยออกมาได้เท่านั้น หรือไม่ก็ทางโปรขอตัดบางส่วนออกจนมันกระทบกับภาพรวมเรื่องงี้ เพราะงั้น อย่าเพิ่งวีนคนเขียนบท!!! ไม่ใช่ทุกกรณีที่คนเขียนบทเขียนออกมาบ้ง!!!

    (แต่ก็เข้าใจถ้าคนจะคิดแบบนั้น เพราะบทมันเป็นอะไรที่สำคัญมากจริง ๆ ต่อให้สักแสดงแสดงดีแค่ไหนบทไม่ดีก็ดิ่งลงเหวได้)



    Stage Management (บังคับในเอก)


    สำหรับเราเป็นวิชาที่หนัก(ในหลายความหมาย) เนื้อหาหลัก ๆ คือการจัดการเวทีแต่หน้าที่ของเราไม่ได้อยู่แค่ในโรงวันเล่นจริงแล้วคอยให้คิวนักแสดงเข้าเวที ให้คิวว่าไฟชุดไหนมาตอนไหน ซาวด์ขึ้นเมื่อไหร่ เราต้องอยู่กับโปรดักชั่นที่เราทำตั้งแต่วันที่มันยังเป็นอากาศธาตุล่องลอยในหัวของเจ้าของโปร เป็นตำแหน่งที่รายละเอียดยิบย่อยเยอะมากดังนั้นเราจะขอพูดจากประสบการณ์ในโปรที่เราทำค่ะ 

    **โปรอื่นในเอกเรา ในมหาลัย หรือในโรงอื่นอาจจะต่างไปจากเราบ้าง ยอมรับว่าหลายอย่างก็ขึ้นอยู่กับระบบภายในโปรค่ะ


    ต้องบอกก่อนว่าปกติวิชานี้เขาจะให้เป็น stage manager ของละครภาคแต่เทอมที่เราลงเรียนมีละครธีสิสหลายโปรมาก ๆ ก็เลยไม่มีละครภาค คนที่ลงวิชานี้ในเทอมนี้เลยต้องไปหาโปรทำ บางคนมีเจ้าของโปรมาทาบทามตัวไว้แล้วก็แจ้งครูที่สอนวิชานี่ได้เลย ส่วนใครที่ยังไม่มีเดี๋ยวครูที่สอนจะลิสต์โปรที่เหลืออยู่ให้เราเลือกเอง 


    พอรู้ว่าเราจะต้องไปอยู่โปรไหนก็ต้องไปติดต่อเจ้าของโปร คุยเรื่องสโคปงานกับเขา เขามีนักแสดงหรือยัง ต้องแคสต์เข้ามาไหม ถ้ามีแคสต์แล้วเราก็ต้องมาดูว่านักแสดงแต่ละคนว่างวันไหนเจ้าของโปรอยากให้ซ้อมกี่ครั้ง ครั้งละกี่ชั่วโมง เราจะได้จัดตารางซ้อมได้ ต้องรู้ว่าซ้อมแต่ละวันเราจะทำอะไรกันบ้าง เริ่มซ้อมกี่โมง เสร็จกี่โมง วันนี้ซ้อมเป็นยังไง ทำอะไรไปแล้วบ้าง ถ้าช่วงที่เริ่มมีพรอพ มี blocking เข้ามาก็ต้องจดไว้ด้วย (จะมีสิ่งที่เรียกว่า rehearsal report ค่ะ เราต้องจดทุกอย่างที่เกิดขึ้นในการซ้อมลงไปในนั้น) พูดง่าย ๆ คือเราต้องเป็นคนที่รู้ทุกอย่างในโปรเลย ต้องเข้าซ้อมด้วยทุกครั้ง (ความจริงก็มีลาได้แหละแต่ทางที่ดีควรอยู่ทุกครั้งจริง ๆ เพราะเราต้องรู้ความคืบหน้าของงาน) ตอนซ้อมในห้องอาจจะต้องจับเวลาไว้ด้วย ในอนาคตอาจจะมีฉากที่นักแสดงต้องเปลี่ยนชุดหรืออะไรก็ตาม ถ้าเราจับเวลาไว้เราจะพอรู้ว่านักแสดงจะใช้เวลาเท่าไหร่ เผื่อจะต้องปรับให้เร็วขึ้นเพื่อจะได้ไม่ทิ้งคนดูให้รอนานเกินไปหรือเพื่อให้เรื่องดำเนินต่อได้แบบสมูทที่สุด นอกจากนี้ก็จะมีสิ่งที่เรียกว่า production analysis ด้วย อันนี้ต้องทำตั้งแต่ช่วงเริ่มโปรเลย จะได้เห็นภาพรวมว่าในบทเรื่องนี้เป็นยังไง จะใช้พรอพหรือคอสตูมอะไรบ้าง แม้หลัง จากนี้อาจจะมีทีมงานฝ่ายนั้น ๆ มาทำต่อแต่เราก็ต้องรู้ไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ 

    ระหว่างที่กำลังสร้างและประกอบโชว์เราก็อาจจะต้องไปคุย ไปติดต่อกับทีมงานฝ่ายอื่น ๆ ด้วย ทำหน้าที่เป็นฝ่ายประสานงานด้วยหน่อย ๆ (ช่วงนั้นไลน์เด้งไม่หยุด คุยกับคนเยอะมาก เยอะกว่าทั้งปีที่ผ่านมา5555)


    พอซ้อมในห้องเสร็จก็ถึงช่วงเข้าโรง จะมีการโฟกัสไฟ ทีมไฟจะโฟกัสไฟให้ตรงจุดที่นักแสดงจะยืน แล้วก็จะมีสิ่งที่เรียกว่า technical run ใด ๆ อาจจะรันคิวแบบไม่มีนักแสดง หรืออาจจะมีนักแสดงมาด้วยแต่ให้ลองรันแบบเร็ว ๆ เพื่อลองเทคนิคในฉาก ไฟมาตอนไหน ซาวด์มาตอนไหน พอลองเปิดจริงแล้วมันโอเคไหม มีปัญหาต้องแก้ไหม พอเทคนิคเสร็จก็จะลองรันแบบเต็มเรื่องเพื่อดูภาพเต็ม ๆ หลังจากรันแล้วอาจจะมีปรับแก้อะไรบ้าง แล้วก็เล่นจริง ! 

    ระหว่างที่เข้าโรงเราก็ต้องเริ่มทำสิ่งที่เรียกว่า Cue Sheet—ชีทที่จะบอกว่าฉากไหนจะมีคิวอะไรที่เราต้องปล่อยบ้าง ส่วนมากก็จะมีคิวนักแสดง คิวไฟ คิวเสียง คิวทีมงานหลังเวทีเวลาจะเปลี่ยนฉาก ถ้ามีโปรเจกเตอร์ก็จะมีคิวโปรเจกเตอร์ด้วย เพราะวันจริง (รวมทั้งตอนซ้อมในโรง) เราจะสั่งทุกอย่างโดยดูจากชีทอันนี้ (บางคนที่จำคิวได้ก็อาจจะไม่ดู สั่งเลย แต่เราขี้ลืมเลยอ่านจากคิวชีทเพื่อความชัวร์ดีกว่า555) ก็คือทุกสิ่งที่เกิดบนเวทีจะต้องผ่านเราก่อน เราต้องให้คำสั่งแล้วถึงจะทำได้ เช่นไฟฉากนี้จะเปิดก็ต่อเมื่อเราสั่งแล้วเท่านั้น นักแสดงจะเข้าฉากก็ต่อเมื่อเราสั่ง ที่ทำแบบนี้เพื่อความปลอดภัยด้วยส่วนนึง บางทีนักแสดงตื่นเต้นหรือจำคิวผิด สมมติเผลอเข้าไปตอนที่ยังขนพรอพออกจากฉากไม่เสร็จก็จะเป็นอันตรายได้ (ได้ยินมาว่าบางที่นึกแสดงและทีมไฟทีมซาวด์สามารถปล่อยคิวตัวเองได้ แต่ของที่นี่จะยังผ่าน stage manager) 

    เวลาสั่งคิวจะสั่งให้ไฟเปิด ให้เสียงมา ให้นักแสดงเดินเข้ามาเลยไม่ได้ ต้องสั่งสแตนด์บายก่อน ให้ทุกคนรู้ตัว พอเขารู้ตัวแล้วจะได้เตรียมตัวรับคำสั่งถัดไป 

    แล้วก็จะเป็นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จนจบการแสดงทุกรอบ (ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยน เช่นผู้กำกับขอแก้บางจุดในการแสดงนั่นนี่) ก็คือเป็นหน้าที่ที่อยู่ตั้งแต่เริ่มโปรจนจบโปรของจริง


    พอจบงานก็จะมีนัด reflect ค่ะ ในการทำงานโปรนี่พบปัญหาอะไรบ้าง ตอนนั้นแก้ไขยังไง หรือมีอะไรที่รู้สึกว่ายังทำได้ไม่ดีไหม เรียกได้ว่าเป็น section ระบายความในใจ 5555 เราก็บอกไปหมดเลยว่าเราเจอปัญหาอะไรบ้าง บางปัญหาเรารู้ว่าเป็นความผิดพลาดของเราเอง บางปัญหาไม่ใช่แต่เป็นเพราะอะไรหลาย ๆ อย่างมากกว่า พอเรา detect ปัญหาได้ก็มาคุยกันว่าอันนี้มันพลาดตรงไหน ถ้าจะแก้ไขต้องทำยังไง ถ้าอนาคตมันเกิดอะไรแบบนี้ขึ้นมาอีกเราจะรับมือยังไง 


    สำหรับเรานี่เป็นหน้าที่ที่ต้องใช้สติและสมาธิมาก ต้องเด็ดขาดในระดับนึงด้วย ที่สำคัญคือทักษะการตัดสินใจแก้ปัญหาเฉพาะหน้า (ที่เราไม่ถนัดเลย5555) อาศัยทักษะการสื่อสาร การจัดการคนและเวลา และอาจจะต้องมีสกิลการต่อรอง (เผื่อยามจำเป็นต้องใช้)


    โดยรวมสนุกดีค่ะ แต่ก็หัวหมุนมาก ๆ เช่นกัน ช่วง setup โรง (เตรียมโรงให้พร้อมสำหรับโปรเรา) เราเลิกงานดึกมาก เข้าโรงไปตอนเย็น ออกมาอีกทีฟ้ามืดแล้ว คนกลับบ้านกันหมดแล้ว เหลือแค่ทีมงานโปรเรา เวลาผ่านไปเร็วมากแต่ก็รู้สึกว่านานมากเหมือนกัน 

    ปกติโปรอื่น ๆ อาจจะใช้เวลาเตรียมงานกัน 3 เดือนแต่โปรที่เราทำเวลาน้อยกว่า ทุกอย่างเลยต้องติดสปีด ทำงานแข่งกับเดดไลน์มาก เดือดสุด ๆ แต่ก็ได้เรียนรู้อะไรเยอะมาก ด้วยความที่เราเพิ่งย้ายเอกมาและยังไม่ได้ทำโปรเยอะก็เลยยังไม่แม่นระบบในโรงละครเท่าไหร่ ได้เพื่อน ๆ รอบตัวมาช่วยสอนและให้คำแนะนำล้วน ๆ มีช่วงนึงที่ทุกอย่างถาโถม สมองไม่ประมวลผล อะไร ๆ ก็ดูผิดพลาดไปหมดจนเราเฟลไปพักนึงเลย รู้สึกว่ากำลังจะทำงานนี้พังแต่เพื่อน ๆ ทุกคนก็มาปลอบแล้วก็มาช่วยดึงสติ คอยแนะนำว่าตอนนี้เราควรทำยังไงต่อไป ใจฟูมากก จบงานนี้มารู้สึกโตขึ้นอีกระดับ ขอบคุณทุกคนมากจริง ๆ T T




    Asian Theatre (เลือกในเอก)


    วิชาการละครเอเชีย แต่เราจะไม่ได้ไล่เรียนประวัติศาสตร์ละครประเทศในแถบเอเชียแต่ละประเทศ ไม่ได้เรียนว่าประเทศนี้มีการแสดงอะไรบ้าง ประวัติของการแสดงเป็นยังไงแล้วจบ วิชานี้เราจะเรียนการละครในเอเชียโดยยึดโยงกับหัวข้อต่าง ๆ ค่ะ เช่นความเป็นละครขนบ (Traditional Theatre) ของแต่ละประเทศนี่แสดงให้เราเห็นอะไรในประเทศนั้นไหม การมองละคร/การแสดงเอเชียผ่านเลยส์ของตะวันตกมันเป็นยังไง แล้วเรารู้สึกยังไงกับเราตีความของคนขาวที่มองเข้ามา การละครกับGender การละครกับศาสนา การละครกับสงคราม การละครกับ identity ของความเป็นชาตินั้น ๆ การตีความตัวบทละครขนบและการปรับให้เข้ากับสมัยปัจจุบัน ความเป็น soft power ของละครเอเชีย เป็นต้น (ความจริงมีหลายประเด็นมากกก แต่เราเขียนยกตัวอย่างมาแค่นี้ค่ะ) สไตล์การเรียนโดยรวมก็จะเน้นเลคเชอร์ อ่านเปเปอร์หรือดูคลิป แล้วมาดิสคัสกันในห้อง



    วิชานี้มีงานกลุ่มโดยให้เลือกหัวข้อใหญ่ที่ครูลิสต์ไว้ให้ (เป็นหัวข้อใหญ่ที่เราจะได้เรียนในแต่ละคาบนั่นเอง) แต่ละหัวข้อจะมีเปเปอร์ให้อ่านหรือไม่ก็มีวิดีโอให้ดู จากนั้นก็ทำ presentation เกี่ยวกับหัวข้อ&สื่อที่เราได้มา แล้วก็ตั้งคำถามดิสคัส 3 ข้อค่ะ ให้เวลานำเสนอ 20 นาทีเท่านั้น ห้ามเกิน ตัวอย่างเช่นของเราได้ทำเรื่อง American-style Musical in Asia โดยตัวสื่อที่เราได้ดูคือมิวสิคัลไต้หวันเรื่อง The New Member เราก็หาว่า American-style Musical คืออะไร เข้ามาในไต้หวันตอนไหน แล้วในการแสดงที่เราดูไปมีลักษณะเป็นยังไง มีประเด็นอะไรน่าสนใจไหม (ในเรื่องที่เราดูมีประเด็นเกี่ยวกับ lgbtq+ กับมุมมองของ boy love fantasy ด้วยก็เลยหยิบสิ่งนี้มานำเสนอและตั้งคำถามในคลาสค่ะ)



    มิดเทอมครูให้โหวตค่ะว่าจะสอบแบบไหน จะ take home หรือจะสอบในห้อง 3 ชั่วโมงจบ ผลโหวตออกมาเป็นข้อสอบ take home ค่ะ มี 3 ข้อใหญ่ ไม่ง่ายแต่ก็ไม่ยากเกินไป ที่ยากคือการเรียบเรียงไอเดียของตัวเองมาเขียนและหาอะไรมาสนับสนุนคำตอบของเรา 55555 (ครูเปิดกว้างมากกก ไม่มีคำตอบตายตัว ขอแค่แสดงให้เห็นว่าเราได้ใช้สิ่งที่เรียนมา เข้าใจอย่างถ่องแท้ และสามารถหาอะไรมาสนับสนุนได้) เป็นข้อสอบที่ตอนทำสนุกมากแต่ตอนเห็นคะแนนก็แอบเจ็บจี๊ดในใจ

    อีกอย่างที่ชอบคือครูพยายามทำข้อสอบให้เหมาะกับเด็กที่มีความถนัดต่างกัน มีข้อใหญ่ข้อนึงที่ครูให้เราเลือกข้อย่อยมาทำ 1 ข้อจาก 4 ข้อ โดย 4 ข้อนั้นโจทย์จะแตกต่างกันตามสายที่เราสนใจหรืออยากทำค่ะ ถ้าสนใจการเขียนบทก็อาจจะเลือกทำข้อเขียนบท ถ้าสนใจเรื่องแอคติ้งก็อาจจะเลือกข้อที่ถามเกี่ยวกับแอคติ้ง ถ้าสนใจการทำโปรดักชั่นก็เลือกทำข้อที่ให้ลองคิดโปรดักชั่น หรือสนใจสายออกแบบก็เลือกตอบข้อออกแบบ พูดได้ว่าถนัดอันไหนก็เลือกทำข้อนั้นได้เลย ไม่มีคำตอบที่ผิดหรือถูก เป็นอะไรที่ดีมากกก 



    ส่วนไฟนอลปีที่เราเรียนเป็นข้อสอบเขียน มีเวลา 3 ชั่วโมงค่ะ เปิดได้ทุกอย่าง สมุดโน้ต สไลด์ หรือค้นในเน็ต ถาม ChatGPT ก็ได้เหมือนกัน แต่ที่สำคัญคือต้องใส่อ้างอิงด้วยนะ 

    ข้อสอบไฟนอลก็คือร้องไห้หนักมากกกก (ไม่ได้ร้องจริง เป็นคำสร้อย) ไม่ได้ยากเกินความสามารถแต่มีเรื่องของเวลามาเป็นตัวกดดัน ข้อสอบมี 3 ข้อเหมือนตอนมิดเทอมเลย เราทำแทบไม่ทัน ขนาดแบ่งเวลาแต่ละข้อแล้วก็จะมีบางทีที่ต้องแวบไปค้นข้อมูลหรือไม่ก็ตีกับตัวเองบ่อยมาก ตอนมิดเทอม 3 ข้อ เราทำวันละข้อ อ่านโจทย์แล้วไปนั่งคิดนอนคิด ออกไปปลูกต้นไม้ ให้อาหารปลาแล้วค่อยกลับมาเขียน ตอนไฟนอลต้องทำ 3 ข้อใน 3 ชั่วโมง ตาจ้องคอม ไปไหนไม่ได้ เราลนมากกก รู้สึกทำออกมาได้ไม่ดีเท่าไหร่แต่ก็ดีที่สุดเท่าที่สติจะเอื้อ ณ เวลานั้นแล้ว 55555



    สำหรับเราวิชานี้เป็นวิชาที่ดีมากกก เราชอบมาก เหมือนเราได้มองประเด็นต่าง ๆ ในประเทศแถบเอเชียแล้วดูว่ามันส่งผลกับละคร/การแสดงในชาตินั้น ๆ ยังไงบ้าง หรือละคร/การแสดงนั้น ๆ สะท้อนภาพสังคมยังไง เพราะศิลปะกับสังคมมันจะมาคู่กัน ส่งผลต่อกันและกันเสมอ

    เอกเราเน้นสอนละครตะวันตก พอได้เรียนละครตะวันออกบ้างเรามีมุมมองเกี่ยวกับละครตะวันออก/ละครเอเชียกว้างขึ้นมาก เป็นวิชาที่ดีมากจริง ๆ อยากให้ทุกคนได้เรียน แต่น่าเสียดายที่เห็นว่าหลักสูตรใหม่จะเอาวิชานี้ออก... (แต่ภาวนาให้เขาไม่เอาออก5555)



    ((เราแอบคิดว่าในอนาคตถ้ามีโอกาสและมีความรู้มากพอเราก็อยากจะกลับมาสอนวิชานี้นะ55555 เป็นวิชาที่ควรเรียนจริง ๆ อย่างน้อยจะได้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับละครตะวันออกบ้าง ไม่ได้เรียนแต่ละครตะวันตกอย่างเดียว ถึงเอกนี้จะ based on ละครตะวันตกก็ตาม เรามองว่าไหน ๆ ก็เรียนละครแล้ว ทำไมเราถึงจะไม่ลองเปิดใจเรียนรู้การแสดงของประเทศอื่นบ้างล่ะ!! เราต้องมีความรู้เกี่ยวกับการละครแถบประเทศอื่นนอกจากตะวันตกบ้างสิ !! ))




    Acting II (เลือกในเอก)

    สไตล์การเรียนแอคติ้งตัวนี้คล้ายกับ Acting I ค่ะ คือเลือกบท เข้าคู่ ส่งให้ครูและเพื่อนดูแล้วรับคอมเมนต์มาพัฒนาต่อ (รวมส่งซีนละ 4 ครั้ง) เทอมนี้เล่น 3 ซีน ให้เลือกบทละครใกล้ตัว ไกลตัว แล้วก็บท stylize (แต่พอถึงซีนนี้จริง ๆ ก็เป็นบทอะไรก็ได้ที่อยากเล่นแหละค่ะ) เข้าคลาสมาก็ส่งงาน ดูงานเพื่อน รับคอมเมนต์ เสร็จแล้วก็ทำ exercise เล็ก ๆ น้อย ๆ ค่ะ



    เทอมนี้ครูให้ทำ exercise นึงที่เราชอบมากนั่นคือจะมีคนนึงไปนั่งหน้าห้องแล้วให้ทุกคนในห้องผลัดกันเข้าไปคุยกับเพื่อน สวมบทเป็นใครในชีวิตเพื่อนที่นั่งอยู่ก็ได้ พอเราเข้าไปในซีน (หน้าห้อง) แล้วเราก็จะต้องแสดง objective ของเราออกมา เราอยากได้อะไรจากเพื่อนคนนี้ที่อยู่หน้าห้อง เพื่อนคนนั้นก็จะต้องปฏิเสธเราอย่างเดียวค่ะ เขาจะไม่ให้สิ่งที่เราต้องการเราก็ต้องพยายามให้มากขึ้น พูดยังไงก็ได้ให้เขายอมให้สิ่งที่เราต้องการ (แต่ไม่ว่ายังไงเขาก็จะไม่ยอมนะ เป็นกฎค่ะ 5555)


    ตัวอย่าง
    เพื่อน=เพื่อนที่นั่งหน้าห้อง
    เรา=เราเองที่เข้าไปแสดง objective ของเรา

    เรา: เธอ เราขอเข้ากลุ่มเธอได้ไหม
    เพื่อน: ไม่เอาอะ เราชอบอยู่คนเดียว
    เรา: แต่เราอยากเป็นเพื่อนกับเธอ
    เพื่อน: ไม่เอาอะ
    เรา: แต่เธอจะอยู่โดยไม่มีเพื่อนไม่ได้นะ รับเราเข้ากลุ่มเถอะ
    เพื่อน: นี่ไง กลุ่มเราครบแล้ว
    เรา: ไหนอะ ไม่เห็นมีใครเลย
    เพื่อน: ก็นี่ไง เรา เรา เรา แล้วก็เรา เห็นมะ ครบแล้ว

    ประมาณนี้ค่ะ 55555555 ความสนุกคือเวลาเราเห็นเพื่อนเล่นกัน เป็นอะไรที่ฮามาก พอคนที่นั่งหน้าห้องไม่ยอมให้สิ่งที่ต้องการอีกคนก็พยายามจะตื๊อ พยายามหาเหตุผลทุกอย่างมาอ้าง ตลกมาก 55555


    แล้วก็วิชานี้ส่งแหวกม่านเหมือนเดิมค่ะ โดยรวมก็คือคล้าย Acting I แต่ต่างตรงที่ไม่ค่อยได้ทำ exercise เยอะเท่าเดิมแล้ว จะเป็นตัวที่เน้นการตีความตัวละคร work กับบทแล้วแสดงมากกว่าการทำความรู้จักเครื่องมือของนักแสดงแบบที่ Acting I ทำ ท้าทายตัวเองมาก 5555




    Singing for Theatre (เลือกในเอก)


    วิชาที่สบายและสนุกที่สุดของเทอมนี้ค่ะ !! ด้วยความที่เรียนวันศุกร์ตอนบ่ายเลยเหมือนเป็นวิชาที่มาชุบชูจิตใจอันเหี่ยวแห้งจากมรสุมชีวิตตลอดสัปดาห์ เข้ามาเรียนร้องเพลงและร้องไปพร้อมกับเพื่อน ๆ มีความสุขมาก ๆ เลย



    คาบแรกครูจะคัดเสียงให้เราค่ะว่าเราคือเสียงไหน (เราได้โซปราโน 1 แหละ ตกใจมากเพราะปกติเวลาพูดเปนคนเสียงต่ำนิด ๆ ไม่คิดว่าจะขึ้นสูงจนถึงโซปราโนได้ 5555)

    หลังจากนั้นทุกครั้งที่เข้าคลาสก็จะมาวอร์มเสียงกันค่ะ คล้าย ๆ ตอนเรียน Speech Voice เลย พอวอร์มเสียงเสร็จครูก็จะให้เราร้องเพลงที่เขาเลือกให้ แต่ละเทอมน่าจะแตกต่างกันไปบ้าง

    เทอมเราได้ร้องเพลง Who Comes Laughing, ออเจ้าเอย (เพลงนี้ใช้สอบมิดเทอมด้วย), ถ้าเธอรักใครคนหนึ่ง, Flowers (ของ Miley Cyrus), Flashlight,  Something Just Like This, สามัคคีชุมนุม (อันนี้ร้องประสานเสียงด้วย) แล้วก็เพลง If We Hold on Together (อันนี้เพลงสอบไฟนอลค่ะ) 



    ระหว่างเรียนไปก็มีแก้การหายใจ การขยับปาก การสื่ออารมณ์ในเพลงที่ร้องไปเรื่อย ๆ ครูจะช่วยดูให้ เวลาขึ้นเสียงสูงต้องทำยังไง ลงต่ำต้องทำยังไง อะไรประมาณนั้นค่ะ ครูจะฟังเสียงเราแล้วดูว่าเรายังต้องปรับแก้ตรงไหนบ้าง ไม่ได้ปรับเสียงที่เป็นตัวตนของเรานะ แต่ปรับวิธีการร้องค่ะ บางทีที่เราขึ้นสูงไม่ได้ ลงต่ำไม่ได้ ร้องไปแล้วเหนื่อยเร็วอะไรพวกนี้ ครูก็จะคอยให้คำแนะนำ 



    ตอนกลางภาคร้องเพลงออเจ้าเอย ความจริงต้องร้องเดี่ยวแต่ครูยังเมตตาให้ร้องเป็นกลุ่มได้ตอนวันสอบจริงค่ะ (ไม่งั้นเราเกร็งแย่เลย ฮือ เป็นคนมีปัญหากับการร้องเพลงกับจังหวะแล้วต้องร้องคนเดียว) ส่วนปลายภาคร้องเพลง If We Hold on Together กับเพลงไทยอีกเพลง (อันนี้เลือกมาเองได้) 



    เป็นวิชาที่เรียนสบายมาก ชิลที่สุดในทุกตัวที่เรียนมา เรียนเพลงนึง>ซ้อม>ร้องให้ครูฟัง เท่านั้นเลยค่ะ จอยมาก ถ้าคนที่อยากร้องเพลงเก่ง ๆ เลยหลังจบวิชานี้ก็อาจจะยังไม่ได้ขนาดนั้น เรียนวิชานี้จบก็พอได้รู้พื้นฐานการร้องเพลงนิด ๆ ร้องเพลงที่ครูสอนได้ มีเพลงไว้ร้องตอนเขาส่งไมค์มาให้ตอนไปงานเลี้ยง ฮ่าา ถือว่ามาคลายเครียดค่ะ แต่เทอมที่เราเรียนสนุกมากจริง ๆ เพื่อน ๆ ในคลาสน่ารักกันมาก เฮฮาสุด ๆ เป็นวิชาที่ได้ปลดปล่อยความทรมาน(?)จากทั้งสัปดาห์ 



    เราชอบช่วงใกล้สอบมิดเทอมกับไฟนอลมาก ๆ เพราะอยู่ ๆ ทุกคนในวิชานี้ก็มารวมตัวกันแล้ววอร์มเสียง&ซ้อมร้องเพลงด้วยกันโดยไม่ได้นัดหมาย โรงละครไม่เคยเงียบ มีครั้งนึงวอร์มเสียงกันดังเกินจนเสียงทะลุออกไปนอกโรงละคร คนที่เขาเดินผ่านมาหันมามองแล้วทำหน้าตกใจใหญ่ 555555 

    แฮปปี้กับการได้ร้องเพลงกับเพื่อน ๆ มาก ตอนที่ทุกคนร้องไปด้วยกันแล้วรู้สึกเหมือนมีพลังบางอย่าง แล้วก็คิดขึ้นมาว่า “เสียงของทุกคนเมื่อมาอยู่รวมกันแล้วมันมีพลังและสวยงามจังนะ…” อะไรประมาณนั้น แบบว่าต่อให้บางทีมันจะเพี้ยนไปบ้าง (อาจเป็นเราที่เพี้ยนเอง555) แต่พอมาอยู่รวมกันแล้วสวยงามมาก ๆ เลย 

    ที่เสียดายคือเราอยากร้องเพลงภาษาละตินหรือพวกเพลงในโบสถ์มากกกก แต่ครูเขาไม่ได้เลือกมาให้ร้อง ฮืออออออ 




    Introduction to Crime Fiction and Film (เก็บเป็นเสรี)



    ชื่อไทยคือ “ปริทัศน์อาชญนิยายและภาพยนตร์” ค่ะ คาบแรกครูจะแนะนำรายวิชาและเลคเชอร์ว่าอาชญนิยายหรือภาพยนตร์เนี่ยหมายถึงงานประเภทไหนบ้าง แต่ละยุคสมัยมีจุดเด่นและความแตกต่างกันยังไง หลังจากนั้นจะให้เราไปอ่านตัวบทหรือดูหนังที่ครูมีให้ค่ะ มีเวลาอ่าน/ดู 1 สัปดาห์ พออ่านหรือดูเสร็จก็จะให้ตั้งคำถามเชิงวิเคราะห์เกี่ยวกับเรื่องที่อ่านหรือดูมา 3 ข้อเพื่อเอามาดิสคัสในห้อง หรือบางทีครูก็จะให้เราเขียน response paper สั้น ๆ ความยาว 1 หน้า A4 แทน วิชานี้โดยรวมเน้นการดิสคัสในห้อง บางคลาสครูจะเชิญวิทยากรมาบรรยายด้วย 



    อันนี้คือเรื่องที่เราได้อ่าน/ดูในเทอมที่ผ่านมาค่ะ


    เรื่องที่ต้องอ่าน

    - “The Murder in the Rue Morgue” ของ Edgar Allan Poe

    - “The Case of the Gloria Scott” ของ Arthur Conan Doyle

    - “The Adventure of the Speckled Band” ของ Arthur Conan Doyle

    - The Hound of the Baskervilles ของ Arthur Conan Doyle

    - The Murder of Roger Ackroyd ของ Agatha Christie


    เรื่องที่ต้องดู

    - The Maltese Falcon ของ John Huston

    - ฝนตกขึ้นฟ้า ของ เป็นเอก รันตเรือง

    - Memento ของ Christopher Nolan

    - The Silence of the Lambs ของ Jonathan Demme

    - Skyfall ของ Sam Mendes

    - The Godfather ของ Francis Ford Coppola

    - Gone Girl ของ Davis Fincher 

    - Interactive Detective Stort: Game Triology ของ Sam Barrow (อันนี้เป็นเกมค่ะ ไปดูคลิปที่นักแคสต์เกมเล่รได้ ไม่จำเป็นต้องเล่นเอง)


    ตอนกลางภาคสอบเขียนในห้อง มี 3 ข้อให้เลือกทำ 2 ข้อ วิเคราะห์ประเด็นในโจทย์พร้อมยกตัวอย่างจากเรื่องที่ได้เรียนไปแล้วครึ่งเทอมแรกค่ะ (ครึ่งเทอมแรกเราเรียน The Murder in the Rue Morgue ถึงฝนตกขึ้นฟ้า)

    ส่วนปลายภาคให้ทำรายงานส่งโดยเลือกนิยายหรือภาพยนตร์ที่ไม่ได้เรียนในวิชานี้มาวิเคราะห์แล้วเขียนเป็นรายงาน 6-8 หน้าค่ะ 



    สำหรับเราวิชานี้เป็นวิชาที่น่าสนใจแต่ก็ยอมรับว่าวิธีอ่านและวิเคราะห์ตัวบทของวิชานี้ต่างจากในเอกเราค่อนข้างมาก เราเลยไม่ซื้อบางทฤษฎีที่ครูเสนอมา พูดง่าย ๆ คือเอกเราวิเคราะห์ตัวบทต่างจากที่ครูสอนในวิชานี้นั่นเอง แต่ครูน่ารักมากนะคะทุกคน ใจดีมากกก เราแค่ไม่ถนัดวิเคราะห์แบบที่ครูสอนในวิชานี้เฉย ๆ บางช่วงเราเลยรู้สึกว่าตัวเองเข้าไม่ถึงบ้าง มีกำแพงกับการศึกษาตัวบทในแบบของครูเขาบ้าง ถ้าให้อธิบายคือถ้าอ่านตัวบทเดียวกันเราจะมองเห็นประเด็นนึง ส่วนครูก็จะมองคนละประเด็นกับเรา ครูจะมีความเอาทฤษฎีอื่นมาจับกับตัวบท ส่วนเราจะเป็นสายวิเคราะห์สิ่งที่อยู่ในตัวบทมากกว่า ด้วยความที่วิธีวิเคราะห์งานต่างกันราเลยไม่ connect กับวิชานี้เท่าที่ควรค่ะ 



    ที่สำคัญ !! หนังบางเรื่องที่ครูให้ดูมีฉากความรุนแรง มีเลือดสาด อาจจะต้องฮึบนิดนึงถ้าใครไม่ค่อยชอบ อย่างเราเองก็ไม่ค่อยชอบฉากเลือดสาดเลยไม่เปิดดูบางเรื่องเลย ฟังเพื่อนเล่าเอาเพราะทนไม่ไหวจริง ๆ (ถึงเราจะชอบนิยายหรือหนังแนวนี้ก็ไม่ได้แปลว่าเราจะรับมือกับการเห็นฉากเลือดสาดชัด ๆ ได้ค่ะ 5555)




    โดยสรุป


    เทอมนี้เป็นอีกเทอมที่สุดมากกกกก ดูเหมือนไม่หนักแต่ก็หนักแบบงง ๆ เราเองก็ไม่รู้ว่ามันหนักจากอะไร รู้ตัวอีกทีก็หนักแล้ว…


    ช่วงเปิดเทอมมาแรก ๆ หนักจริง ๆ เพราะมี Crime Fict ต้องอ่านทุกอาทิตย์ วิชา Stage Management ก็ต้องไปซ้อมกับนักแสดงทุกครั้งซึ่งส่วนมากโปรที่เราทำนัดซ้อมเสาร์อาทิตย์ ค่ะ วันหยุดไม่มีจริง ส่วน Acting II นี่ก็ต้องนัดเพื่อนซ้อม วิชาเขียนบทก็ต้องทำการบ้านรายสัปดาห์ส่งครู มีวิชา SIng Thea กับ Asian Thea ช่วยชีวิตไว้แท้ ๆ เลย

    ความจริง Asian Thea ก็เนื้อหาหนักแต่ดีที่ไม่ได้มีการบ้านเยอะ (เอาดี ๆ ก็ควรไปอ่านเปเปอร์หรือดูคลิปกรณีศึกษาเกี่ยวกับเรื่องที่เราจะเรียนมาล่วงหน้าแหละแต่ไม่ดูก็ไม่เป็นไรเพราะครูจะมาพูดสรุปให้ฟังอยู่แล้ว–ครูรู้ว่าพวกเราไม่อ่าน/ดูมา 5555)


    พอหมดช่วงมิดเทอม (สำหรับเราคือหลังกลางเดือนมีนาเป็นต้นไป จบโปรวิชา Stage Management พอดี) ชีวิตก็สบายขึ้นนิดนึงค่ะ ไม่ต้องไปซ้อมทุกเสาร์อาทิตย์ ไม่ต้องตอบไลน์ตอนดึกแล้วด้วย ((แต่สุดท้ายเราก็ลงเรียนคอร์สของข้างนอกฆ่าเวลาอยู่ดี… คนเราจะหาทำอะไรขนาดนั้น))

    ถึงงานหนักจะจบแต่ก็มีงานอื่นที่หนักพอกันรออยู่นั่นก็คือเขียนบทส่งครู ทำพรีเซนต์วิชา Asian Theatre ส่งแอคติ้งอีก 1 ซีน และเตรียมเขียนรายงาน Crime Fict เหมือนได้หายใจแปปเดียวก็ต้องดำน้ำต่ออีกแล้ว 5555555 


    ตารางชีวิตเทอมนี้ก็ดูคลุมเครือดี จะหนักก็ไม่หนัก จะสบายก็ไม่สบาย แต่ก็สนุกมาก ๆ เลย เพราะว่ามี workshop มาคั่นสมอง (แล้วเป็น workshop ที่ใช้ร่างกายเยอะมาก…)

    อันนึงเป็น workshop ของวิชา Asian Theatre ครูที่สอนวิชานี้เชิญเพื่อนของครูมาบรรยายและสอนเราเคลื่อนไหวเล็ก ๆ น้อย ๆ (ที่หนักเอาเรื่องอยู่)

    อีกอันเป็น workshop การแสดง Butoh ของภาควิชาค่ะ ทางภาคได้รับเกียรติจากอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้าน Butoh จากญี่ปุ่นมาสอนเลยย สนุกมากกก ไม่รู้ว่าเราจะได้เขียนถึงสิ่งนี้ไหม (ขึ้นอยู่กับว่าเราขยันพอรึเปล่า 5555) 


    ที่สำคัญ ต้องขอบคุณเพื่อน ๆ ทุกคนที่ทำให้เราผ่านเทอมนี้มาได้ ในวันที่เราเบรกดาวน์ก็มีเพื่อนคอยทำให้เราใจเย็นลงและกลับมายืนได้ ฮือ ๆๆๆ เก่งมากตัวฉันที่มีชีวิตรอดเทอมนี้ !! ได้ใช้ชีวิตสุดพลังอย่างที่หวังแล้วนะ !! แต่บางทีก็ควรพักบ้างไหม… 


    เป็นกำลังใจให้เราในการต่อสู้ เอ๊ย! การเรียนเทอมหน้าด้วยนะคะ ตอนนี้ลองวางแผนว่าเทอมหน้าจะลงวิชาไหนบ้าง พอลองดู ๆ แล้วคิดว่าน่าจะเป็นเทอมที่สนุกแน่ ๆ ไว้จะมาเล่าให้ฟัง (ถ้าเราเหลือชีวิตรอดกลับมานะ ฮ่าาา) 



    ขอบคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้ค่ะะ Until We Meet Again <3





Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in