สมัยมัธยมปลาย เราไปแลกเปลี่ยนที่ต่างประเทศอยู่ 1 ปี พร้อม ๆ กับการเข้ามาของ Facebook ที่เริ่มแพร่หลายในยุโรป ทำให้เราได้รู้จักและมีแอคเคานต์ Facebook เป็นครั้งแรก ขณะที่คนไทยยังติด Hi 5 และ MSN กันอยู่
ซึ่งในตอนนั้นเรายังไม่ติดโซเชียลมีเดียอะไรเท่าไหร่ค่ะ สมาร์ตโฟนก็ยังไม่เกิด Hi5 MSN ก็ไม่ค่อยเล่น ต่อให้สมัครเฟซไปก็แค่แอดเพื่อนชาวต่างชาติไว้เฉยๆ ไม่ได้อัปเดตอะไร โดยรวมค่อนข้างจะโลวเทคกว่าเพื่อนคนอื่น ๆ ด้วยซ้ำ และก็คิดว่าตัวเองเนี่ย ควรจะตามโลกให้ทันบ้างอะไรบ้าง
ตอนนั้นเราจำไม่ได้แล้วว่าบทสนทนาระหว่างเรากับโฮสต์มัมเป็นเรื่องอะไร แต่อยู่ ๆ เราก็พูดถึงเรื่องเทคโนโลยีกันขึ้นมา และโฮสมัมก็บอกว่า
"รู้ไหม สมัยที่ฉันยังเด็ก ๆ พวกเรามีแค่วิทยุ ทุกคืนจะมีช่วงเวลาที่ครอบครัวของฉันจะมารวมตัวกันฟังรายการวิทยุ ทั้งพ่อแม่พี่น้อง แล้วก็พูดคุยกันไปด้วย เรียกว่าเป็น Family Life เลยก็ได้ จนกระทั่งวันนึง พ่อของฉันซื้อโทรทัศน์เข้ามาบ้าน แม่ของฉันถึงกับร้องไห้เลย เพราะคิดว่ามันจะทำลายชีวิตครอบครัวที่เคยมี"
มันเป็นอารมณ์ความรู้สึกที่เด็กวัยสิบหกที่เติบโตมากับโทรทัศน์อย่างเราไม่สามารถเข้าใจได้ การใช้เทคโนโลยีย่อมทำให้ชีวิตดีขึ้น มันจะทำลายอะไรได้ยังไงกัน
ตอนเรายังเด็ก พ่อแม่จะบ่นหากเราติดทีวีมากเกินไป ทีวีคือภัยร้าย ได้ยินแบบนี้ซ้ำ ๆ มาหลายปี แต่ใครจะรู้ว่าสิ่งที่ทำให้ผู้คนติดหนึบยิ่งกว่าทีวีจะถือกำเนิดขึ้น
ใช่แล้ว มันคือโซเชียลมีเดีย
ในตอนนั้นเฟซบุ๊กนั้นยังค่อนข้างสะอาดตา เพจต่าง ๆ ยังไม่ถือกำเนิด โฆษณายิ่งไม่มี เราแค่ใช้เฟซบุ๊กเพื่อตามดูว่าเพื่อทำอะไรในชีวิตบ้างนาน ๆ ครั้ง และเราใช้มันน้อยกว่าสัปดาห์ละครั้งเสียอีก มองดูแล้วไม่เห็นมีพิษภัยอะไรเลย
พอเราเข้ามหาวิทยาลัย สมาร์ตโฟนก็เริ่มแพร่หลาย เราเองก็เริ่มหามาใช้กับเขาบ้าง และด้วยความตื่นตาตื่นใจที่สามารถท่องโลกอินเตอร์เน็ตได้เพียงคลิกนิ้ว บวกกับวิศวกรคอมพิวเตอร์ที่พัฒนาแอปพวกนี้พัฒนาอัลกอริทึมดึงดูดความสนใจของเรามากขึ้นเรื่อย ๆ เราก็เลยเผลอใช้เวลากับมันมากขึ้น ๆ โดยไม่ได้รู้ตัวเลย
ความตระหนักถึงภัยจากโซเชียลมีเดียเริ่มต้นเมื่อเราเรียนปริญญาโท
เราพบว่าตัวเองเสียเวลาไปกับมือถือเยอะมาก แทนที่จะเอาเวลาไปใช้กับการวิจัย รวมไปถึงรู้สึกเศร้าและเคว้งคว้าง เมื่อได้เห็นเพื่อนๆ ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ออกท่องเที่ยว แถมยังหงุดหงิดจากดราม่าที่พบในเพจและทวิตเตอร์ที่เราตามไม่เว้นแต่ละวัน
เรากลายเป็นคนเหลาะแหละ ขาดสมาธิ หงุดหงิดง่ายขนาดนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่ แม้แต่ตัวเองก็ไม่แน่ใจแล้ว
มันเหนื่อยนะ
เราเคยปิดเฟซและโซเชียลมีเดียอื่น ๆ ไประยะหนึ่ง พอทำวิจัยเสร็จถึงได้กลับมาใช้มันใหม่อีกครั้ง บอกเลยว่าช่วงที่เลิกใช้ไปนั้น เป็นช่วงเวลาที่สงบสุขในชีวิตของเราเลย
แต่พอกลับมาใช้อีกครั้ง ก็ติดอีก บอกเลยว่าคุณจะใช้เวลาในการเล่นโซเชียลมีเดียมากกว่าที่คุณตั้งใจเสมอ
หากอยากเปลี่ยนแปลงชีวิตตัวเอง แค่เลิกเล่นชั่วครั้งชั่วคราวจนกว่าจะบรรลุเป้าหมายนั้นคงไม่เพียงพอ
ครั้งนี้ เราตัดสินใจจะเลิกเล่นอย่างถาวร นับตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป
ซึ่งรายละเอียดว่าเราเลิกเล่นอะไรบ้าง และยังคงใช้อะไรอยู่บ้าง และผลเป็นยังไง เราจะอัปเดตอีกครั้งในภายหลังค่ะ
แล้วพบกัน
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in