11.30 am KST
ผมกับเท็นจังนั่งอยู่ในคาเฟ่เกือบชั่วโมงแล้ว แต่มาร์คก็ยังเลือกโซฟาเบดตัวที่ดีที่สุดคุ้มที่สุดไม่ได้เลย ถึงผู้ปกครองของผมจะไม่ได้บ่นอะไร แต่เค้าก็เริ่มมองนาฬิกาบ่อยๆ สงสัยกลัวว่าทุกคนจะกินข้าวกลางวันไม่ตรงเวลา
ขอพูดถึงเรื่องโซฟาเบดซะหน่อย ผมน่ะ เข้าใจว่าเท็นจังอยากได้เผื่อไว้ให้แขกนอนพักสบายๆ แต่ถ้าถามผมนะ ถ้ามันจำเป็น แค่บีนแบ็กจากอิเกียก็นอนได้ ไม่เห็นต้องเสียเวลาเลือกนานๆ อืม เห็นว่าตอนนี้ตัวเลือกของมาร์คลีเหลือแค่สองตัว ตัวแรกราคาล้านวอน ตัวที่สองราคาแปดแสนปลายๆ ที่ผมรู้ไม่ใช่ว่าเดินตามไปช่วยเลือกหรอก แต่มาร์คชอบส่งข้อมูลอัพเดทมาในกรุ๊ปแชท
พอพูดถึงบีนแบ็กแล้วคิดถึงสมัยประถม ผมเคยไปล่องเรือเฟอร์รี่(ฟรี)ไป IKEA Brooklyn ด้วยนะ วันนั้น ถ้าจะเรียกว่าไปเดทกับหม่ามี้แค่สองคนก็ไม่ผิดเท่าไหร่ เพราะถึงบรรยากาศจะไม่เป็นส่วนตัวเพราะเป็นเรือโดยสาร แต่เราก็สามารถชมวิวแมนฮัตตันสวยๆได้ (ทิ้งแด๊ดดี้คนบ้างานให้นั่งตอบอีเมลอยู่ใน yacht คนเดียว ตามสบาย)
ขาออกจากอิเกียผมเห็นคนอื่นๆเค้าเอากล่องเฟอร์นิเจอร์ขึ้นเรือฟรีเพื่อกลับเข้าเมืองกันเยอะแยะ ข้าวของเต็มไปหมด ผู้หญิงบางคนหอบกล่องตู้เสื้อผ้าด้วยซ้ำ แต่ผมน่ะสิ เป็นเด็กผู้ชายแท้ๆแต่เกือบไม่มีปัญญาถือของชิ้นเดียวที่ตัวเองงอแงอยากได้ ของที่ว่านั่น..มันก็คือบีนแบ็กราคาถูกอันนึงที่ลองนั่งแล้วรู้สึกสบายกว่าเฟอร์นิเจอร์หรูๆ
ทั้งที่รู้ว่าเรามาเรือฟรี ไม่มีรถ ไม่มีคนช่วยถือ แต่ผมก็ดื้อ สุดท้ายหม่ามี้ก็ต้องตามใจ
ผมจำได้แม่นว่าบีนแบ็คอันนั้นมันหนักมาก หม่ามี้จะช่วยถือให้แต่ผมยอมไม่ได้ก็เลยกัดฟันแบกเองมาตลอดทาง
พอนึกย้อนไปแล้วก็ได้แต่คิดว่า...ตัวเองก็เท่ดีเหมือนกัน แต่ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ คงสั่งออนไลน์ดีกว่า จะแบกให้เหนื่อยทำไม
นั่งเขียนบล็อกตั้งนาน มาร์คยังเลือกของไม่เสร็จอีก ไม่อยากเชื่อ ตอนนี้ผมนั่งมองเท็นจังเค้ากินเค้ก คนอะไรไม่ยอมกินให้หมดเป็นชิ้นๆ ชอบตักชิ้นโน้นนิด ชิ้นนี้หน่อย เออ แปลกดี ผมปล่อยให้เค้าสนุกอยู่กับเค้ก เราสองคนแทบไม่ได้คุยอะไรกัน แต่เดทของเราก็ไม่น่าเบื่อเพราะเท็นจังกินอะไรก็ดูน่าอร่อยไปหมด แค่ได้นั่งมองก็แฮปปี้แล้ว
“หนูมองอะไร..นานแล้วนะ”
“เท็นจังปากเลอะน่ะ”ผมเอานิ้วแตะปากตัวเองบอกจุดที่ครีมหน้าเค้กเลอะปากเท็นจัง
“ตอนนี้หมดรึยัง” แน่ะยื่นหน้ามาใกล้เกิน ไม่กลัวผมอดใจไม่อยู่อีกรอบเหรอ คราวนี้ไม่มีอะไรช่วยบังแล้วนะ ก่อนหน้านี้มาร์คเดินมาเอาแคตตาล็อกไปจดข้อมูลแล้วรอบนึงน่ะ
“เหลือตรงนี้นิดนึง” ผมยิ้มแล้วลูบครีมออกให้ด้วยปลายนิ้ว บอกตามตรงผมทำแค่นี้ก็เขินแล้วแต่ต้องเก็บอาการ ไม่อยากเสียฟอร์มมาก ไม่อยากโดนเค้ารุกบ่อย มันเสียความมั่นใจ
“หนูหิวรึยัง โทรไปเร่งมาร์คเค้าหน่อยดีมั้ย เราจะได้ไปหาอะไรอร่อยๆกินกัน”
“ปล่อยมาร์คเค้าเลือกไปดีกว่า ผมนั่งมองเท็นจังก็อร่อยแล้ว” ผมอยากรู้..เค้าทำยังไงถึงคีพอารมณ์เก่ง ไม่ค่อยหลุดเขินออกมาบ่อยๆ
“ดูพูดสิ ถ้าไม่อยากให้ออกกฎเพิ่มก็เกรงใจกันหน่อย” เท็นจังส่ายหน้า ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงเสียเซลฟ์เพราะคิดว่าเค้าไม่ได้อินกับเรื่องของเรามากมาย (ก็เลยไม่ประหม่าแบบที่ผมเป็น) แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าที่จริงเค้าเก็บอาการเก่งทุกเรื่องทุกอารมณ์เดาจากสีหน้าแทบไม่ได้เลย
“ถ้าไม่เกรงใจ ผมคงเช็ดครีมนั่นด้วยปากแล้ว โอ๊ย!” ผมแซวยังไม่ทันจบมือเล็กๆก็ฟาดเพี้ยะลงมาเบาๆบนแขน พอรู้อยู่นะว่าเท็นจังก็เขินแหละ แต่เวลาอยู่ข้างนอกเค้ารักษาฟอร์มเก่งมาก ไอ้ที่จะแซวให้เขินจนแก้มแดงเหมือนเวลาอยู่กันสองต่อสองนี่แทบเป็นไปไม่ได้
เซ็งเลย ทำไมผมถึงหาจุดอ่อนเท็นจังไม่เจอ
“รุ่นพี่ไม่สบายรึเปล่าครับ” อยู่ๆมาร์คก็เดินฉับๆโผล่มาข้างหลังเท็นจัง
“ก็ปกติดีนะ ทำไมมาร์คพูดงั้นล่ะ” เท็นจังพูดจบก็เรียกให้มาร์คนั่งลง
“ก็..หลังหูรุ่นพี่แดงแจ๋เลยเหมือนคนแพ้อาหาร เอ๊ะ แต่ตอนนี้หายแล้วนี่ครับ” มาร์คขมวดคิ้วสงสัย ก่อนจะวางใบสเปคโซฟาเบดที่เขียนโน่นนี่ด้วยลายมือลงบนโต๊ะ
ไม่ได้รู้ตัวซักนิดว่าตัวเองเพิ่งเปิดเผยจุดอ่อนของเท็นจัง
“พี่ไม่ได้เป็นไรซะหน่อย” ผู้ปกครองของผมเอามือลูบๆใบหูแล้วบ่นอุบอิบ “สงสัยมาร์คตาฝาดมากกว่า” แน่ะ พูดกับมาร์คแล้วแอบมองผมทำไม กลัวอะไรครับ
เอาล่ะ ผมรู้แล้วเรื่องสีหน้าเนี่ย เท็นจังเค้าคงพอคุมได้จริงๆ แต่เวลาเขินจนทนไม่ไหวอารมณ์คงจะพุ่งไปที่หูสินะ หน้านิ่ง...แต่หูแดง
ผู้ใหญ่อะไร ทำไมน่ารัก
รู้จุดอ่อนขนาดนี้ ผมคงไม่ต้องกลัวเท็นจังแล้ว
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in