เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
FIC: STRANGEIRONhoramiji
[SF] Inevitabilities
  • Title: Inevitabilities

    Fandom: Avengers: Endgame

    Pairing: Stephen Strange x Tony Stark

    Event: Post Endgame

    Note: งานเผาค่ะ บทหนังเผามายังไง เราก็เผากลับไปอย่างนั้นค่ะแค่ก—!!!


    .

    .


    ทะเลฝันร้ายซัดจิตใจเขาเข้าฝั่งทุกรุ่งสาง


    ก่อนลืมตาตื่น...ถอนหายใจนึกหวนครวญคร่ำพร่ำภาวนาให้ทุกอดีตเป็นเพียงภาพฝัน ให้เหตุการณ์อันน่าเจ็บปวดของจักรวาลไม่เคยเกิด ให้สรรพสิ่งยังคงตั้งอยู่...ไม่สูญสลาย ให้ทุกความรัก...ไม่เคยจากใครไป 


    ให้อ้อมกอดนั้นไม่พลันว่างเปล่า


    มือของเขายังจำสัมผัสของความแหลกละเอียดนั้นได้ ละอองแห้งสากยังอ้อยอิ่งอยู่ตรงปลายนิ้วไม่ว่ายามตื่นหรือหลับฝัน พยายามลืมลบกลับยิ่งจดจำ ทุกรายละเอียดตอกย้ำเหมือนภาพหลอนอันคลุ้มคลั่ง คืบคลานกัดกินทุกความสุขที่เคยประสบ เหลือทิ้งไว้แต่ซากความทรงจำอันว่างเปล่า ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่อยากเชื่อทั้งที่รู้อยู่แก่ใจ


    ปฏิเสธความจริงเป็นเพียงขั้นตอนแรกของความโศกเศร้า


    ขั้นตอนต่อไปคืออะไรจำไม่ได้ด้วยซ้ำ 

    แต่มันจะสำคัญตรงไหน


    ในเมื่อเขาอาจไม่มีวันข้ามผ่านไปได้

    ...แม้แต่ขั้นที่หนึ่ง


    “...”


    ตอนที่เจ้าเด็กพาร์คเกอร์สลายกลายเป็นริ้วพลิ้วไปจากอ้อมแขนนี้ โทนี่เคยไม่อยากยอมรับว่ารู้สึกพ่ายแพ้  ไม่...จนกระทั่งประตูแห่งความหวังอันริบหรี่ถูกปิดตายอย่างถาวรเมื่อโรดี้กลับมากระซิบข่าวร้ายสุดท้าย, ที่เขาจำได้แจ่มชัดว่าตัวเองกลั้นหายใจ, ยามเมื่อริมฝีปากของเพื่อนรักขยับเปล่งเสียงแผ่วเบา...บอกเขาเพียงสั้นๆ


    ‘มันทำลายมณีหมดแล้ว’ 


    ไม่มีอะไรที่เราทำได้อีกแล้ว


    ถ้อยคำไม่กี่พยางค์แพร่กระจายเหมือนเชื้อโรคร้าย ยังความปวดร้าวให้ทุกวินาทีในชีวิตของเขาหลังจากนั้น นั่นเอง...ตอนที่โทนี่ได้สัมผัส เรียนรู้และเข้าใจความหมายของคำว่า ‘แพ้หมดรูป’ อย่างแท้จริง


    ไหนล่ะ...หนึ่งหนทางที่เราจะชนะ?


    แล้วนี่นายเองก็ไม่อยู่

    จะไปหาคำตอบได้จากที่ไหนกัน


    “...”


    และไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร...การเปิดเปลือกตากลายเป็นเรื่องยากที่สุดของวัน แต่เมื่อทำได้ประสาทสัมผัสอื่นก็ค่อยๆ รับรู้ถึงความหดหู่ของสรรพสิ่งรอบกาย แสงแดดยามเช้า...ไม่สดใส กลิ่นอายของอากาศ...อบอวลไปด้วยความตาย เสียงพูดคุยที่ดังแว่วมาจากไกลๆ...มีแต่ความหมองหม่น ราวกับบทสนทนาของก้อนหินกับต้นไม้ 


    แห้งแล้ง...ไร้ชีวิตชีวา

    เหมือนทุกคนแค่อยู่ไปวันๆ ให้มันพ้นๆ


    ท่อนแขนผอมจัดยันร่างตัวเองลุกขึ้น กลอกตามองไปทั่วไร้จุดหมาย ถาดอาหารข้างหัวเตียงเคยไม่ถูกแตะต้องอย่างไร วันนี้ก็ยังเป็นเช่นนั้น คือเหตุผลให้สายน้ำเกลือยังแนบติดกับเนื้อเยื่อข้อมือเขาราวกับอวัยวะที่สามสิบสาม พวกนั้นลอบให้น้ำเกลือเขาในยามหลับ เพราะรู้ว่าเขาจะดื้อถอดมันออกเมื่อยามตื่น


    “...ฉิบ”


    พ่นคำสบถสั้นๆ หลังกระชากเข็มจากใต้ผิวหนังออกไปเลือดหยดเล็กๆ กระเซ็นตามออกมาเหมือนทุกครั้ง แต่มันเจ็บกว่าทุกวัน... ไม่รู้ด้วยซ้ำหากทิ้งปลายเท้าลงแตะพื้นตอนนี้จะเดินไหวหรือเปล่า ผิวเนื้อที่ยังพอเหลือหุ้มร่างอยู่ก็บอบบางเสียจนไม่รู้กระดูกจะแทงทะลุขึ้นมาวันไหน รู้สึกได้เลยว่าโหนกแก้มมันแหลมคมทิ่มตำใบหน้าจนเกินจำเป็น


    โทนี่มองไม่เห็นตัวเอง

    แต่จินตนาการออกว่าเหมือนคนใกล้ตาย


    แต่ผู้ปกป้องโลกที่ปกป้องใครเอาไว้ไม่ได้

    จะต้องมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไรกันอีก


    ทำไมไม่เป็นเขาที่ต้องตายเพื่อรักษามณีไว้

    ทำไมธานอสต้องได้มันไป

    ทำไมล่ะ...สเตรนจ์?


    ความเป็นไปได้หนึ่งเดียวนั้น, นายเห็นอะไร?


    “ความเจ็บปวดที่โลกต้องแบกรับ...เพื่อหมุนต่อไป”


    “...”


    โทนี่หรี่ตาไม่แน่ใจ

    มองชายในชุดนักบวชโบราณตรงหน้า


    กับผ้าคลุมที่ตั้งปกขึ้น, ราวโบกมือทักทาย


    “เยี่ยมเลย...”


    ตอนนี้เขาเลื่อนขั้นจากนอนฝันร้ายมาเห็นภาพหลอนตัวเป็น ๆ แล้วด้วย


    “วิญญาณพ่อมดตายนี่เฮี้ยนกว่าตอนเป็นจริงๆ ด้ว—ให้ตายสิ


    โทนี่ทรุดเข่าตั้งแต่ก้าวแรกอย่างที่คิด

    แต่ไม่ล้มพับลงไปเพราะใครบางคนไวพอ


    สอดแขนแกร่งเข้าประคองเอวสอบไว้


    “ดื้อน่ะดูออก แต่ไม่คิดว่าจะขนาดนี้...”


    เสียงทุ้มบ่นพึมพำ อาศัยจังหวะเจ้าตัวเผลอช้อนร่างคนดื้อที่ว่ากลับขึ้นไปนั่งกึ่งนอนบนเตียงตามเดิม ร่ายวงเวทย์สว่างวาบปิดแผลจากการดึงเข็มน้ำเกลือให้ ท่ามกลางสายตาสับสนระคนหวั่นใจว่าตัวเองกำลังจะกลายเป็นบ้าหรือเปล่า


    ก็ถ้าเขามโนคนตรงหน้าขึ้นมาจากจิตใต้สำนึกหรืออากาศธาตุ แล้วมือเรียวยาวคู่นั้นจะแตะตัวเขาได้ยังไง...


    นี่มันอะไรกัน


    “ฉันนึกว่านาย—”

    “ตาย?”

    “...จะละเอียดกว่านี้”


    สเตรนจ์พ่นลมหายใจเจือเสียงหัวเราะ ขณะมือผอมหุ้มกระดูกเอื้อมแตะใบหน้าหล่อเหลาโดยไม่รู้ตัวเหมือนจริงมาก...แต่ก็น่าสับสน อยากปักใจเชื่อ...หากไม่อาจหยุดเคลือบแคลงสงสัย ความมีตัวตนของชายตรงหน้าดูราวกับดักเล่ห์กลหลุมใหญ่ ๆ ง่ายนักหากจะลวงล่อให้ผู้ชมอย่างเขา...ยินยอมพร้อมใจตกลงไป


    มือเรียวยาวคว้าหมับ...กุมมือเล็กได้แทบมิด

    ยื้อมันออกจากข้างแก้มของตน


    อุ่น...

    มือคนตายไม่ควรอุ่นขนาดนี้


    “เห็นได้ชัดว่าผมไม่ใช่ฝุ่น”


    ความอบอุ่นพลันจางหายเมื่อสตีเว่นคืนมือผ่ายผอมให้กับเขา โทนี่เม้มปากทั้งนึกเสียดายไออุ่นและละอายความน่าเกลียดน่าชังของมือตนเอง เขานั่งกอดอกซ่อนมือแต่ละข้างไว้กับตัว มือ...ซึ่งเย็นเยียบเสียยิ่งกว่ามือของคนที่ควรจะตายไปแล้วอย่างหมอนี่


    “นี่มันทริคอะไรของพ่อมดอีกล่ะหมอ ที่ฉันเห็นตอนนั้นคือ? นายแค่แปลงร่างเป็นขี้เถ้าจากกระถางธูปไหว้เจ้าในแซงทั่มตบตาไอ้มันม่วงรึยังไง อ้อ เดี๋ยว...หรือจริงๆ ฉันแค่ยังไม่ตื่—”

    “โทนี่...”


    ไม่ต้องใช้มนตราคาถาใด

    เสียงทุ้มนุ่มนั่น...สะกดใจคนฟังได้ตลอด


    “ทานข้าวก่อน”

    “ฮะ?”

    “...แล้วผมอาจจะเล่าให้ฟัง”

    “ทำไมต้องมีข้อแม้ด้วยวะกะอีแค่—”

    “รู้ใช่ไหมว่าไม่ได้กำลังฝันและจริงๆ คุณอ่อนแอขนาดไหน ผมจับคุณมัดแล้วกรอกข้าวเข้าปากคุณตอนนี้เลยก็ได้...”

    “ดุชิบหายเลย”


    โทนี่บ่นงุบงิบ มองชามอาหารเด็กอ่อนในถาดแล้วทำหน้าขยะแขยง ไม่รู้เพราะไม่กินอะไรมาหลายมื้อร่างกายเลยไม่อยากรับ หรือมันแค่หน้าตาไม่น่ากินโดยธรรมชาติ


    “ไม่มีชีสเบอร์เกอร์เหรอ”

    “อยากอาเจียนหรือไง”

    “นี่อย่างกับซีรีแลกซ์...”

    “พวกเขาทำถูกแล้วคุณอดจนผอมปานนี้  ควรทานแต่อาหารแบบนี้ก่อน”

    “ไม่มีเวทย์เสกให้สุขภาพกลับมาแข็งแรงในทันทีทันใดบ้างเหรอหมอ”

    นัยน์ตาสีอ่อนดุขึ้นเล็กน้อย “ต้องให้ผมป้อนไหม โทนี่”

    “โอเค...” งึมงำเสียงอ่อย


    รีบคว้าช้อนขึ้นมาก่อนอีกฝ่ายเอื้อมถึง


    “ฉันหมายถึง‘โอเคกินเองก็ได้’ น่ะ”


    เคร้ง! ช้อนร่วงจากมือเล็ก

    หลังสั่นระริกและยื้อไว้ได้เกือบสามวินาที


    สตีเว่นส่ายศีรษะน้อยๆ หยิบช้อนขึ้นมาใหม่ ตักอาหารยื่นให้คนที่ไม่มีแรงแม้แต่จะกินเอง คนที่นั่งจ้องหน้าเขาสลับกับช้อนอย่างลังเล แต่สุดท้ายก็ก้มลงมางับอาหารเหลวเข้าปาก


    อุบ


    โทนี่ทำท่าจะคาย

    มองหน้าอีกฝ่ายแล้วไม่กล้าขึ้นมาดื้อๆ


    แต่ผิดคาด...คุณหมอไม่ได้ดุ

    ซ้ำยังยื่นมือยาวมารองใต้คางเขา


    “...?”


    พยักเพยิดเบาๆ, 

    เป็นสัญญาณว่า...ไม่เป็นไร


    “...”


    คนป่วยจึงกล้าคายอาหารใส่มือนั้น


    มันกวนใจโทนี่ได้วูบเดียว เพราะเจ้าของเหลวที่เขากลืนไม่ลงนั่นหายวับไปจากมือพ่อจอมเวทย์ในพริบตา สตีเว่นยกแก้วน้ำขึ้นให้เขาจิบระหว่างบ่นพึมพำ


    “คุณอยู่แบบนี้ไม่ได้แล้ว...”


    โทนี่ควรไปโรงพยาบาลก่อนจะเป็นอะไรไปมากกว่านี้ และเขารู้ดีว่าคงไม่ใช่ความผิดใครที่นี่นอกจากความดื้อของเจ้าตัวเอง สตีเว่นไม่รู้...อะไรทำให้ตนมั่นใจว่าอีกฝ่ายจะฟังเขา อาจเป็นแค่อีโก้ของเขาเอง หรือเป็นเพราะ...เขาเคยฟังโทนี่ก็ได้ 


    ง่ายๆ แค่นั้น

    คนหยิ่งสองคน...ที่ดันรับฟังกันและกัน


    “อาจจริงก็ได้...”


    เสียงแหบแห้งแทบมีแต่ลมกระซิบ


    เขาไม่ควรอยู่ที่นี่อีกแล้ว


    นัยน์ตาหม่นหมองมองลอดกระจกกั้นห้องออกไปด้านนอก ตรงทางเดินโล่งกว้างซึ่งสตีฟ โรเจอร์ส นาตาชา โรมานอฟฟ์ และบรูซ แบนเนอร์ยืนเกาะกลุ่มกันภายใต้บรรยากาศอันตึงเครียด แลกเปลี่ยนบทสนทนาที่พวกเขาไม่อาจได้ยิน


    แวบหนึ่ง,

    แววตากังวลของสตีฟมุ่งตรงมายังเขาพอดี


    โทนี่เสหน้ากลับมามองคนข้างกาย


    “ฉันทนมองหน้าใครในนี้ไม่ได้อีกแล้ว แม้แต่วินาทีเดียว...”


    และเขาคิดว่าคนอื่นๆ ก็คงเป็นเหมือนกัน 


    ความรู้สึกผิดอันไม่อาจหลีกเลี่ยงกำลังกัดกินเขาทั้งเป็น ไม่รู้ทำไม...การมองหน้าคนที่รอดชีวิตมาด้วยกันมันถึงได้ร้าวรานขนาดนั้น มันเหมือนเอามือไปรื้อตะเข็บด้ายที่เย็บปิดปากแผลไปแล้วให้แผลเหวอะหวะขึ้นมายิ่งกว่าเดิม อาจคล้ายกับ...ความรู้สึกของทหารที่รอดจากสนามรบกลับมาเพียงลำพัง แม้ไม่ใช่มือของตนที่ฆ่าเพื่อน แม้ไม่มีอะไรที่เราจะทำเพื่อช่วยเพื่อนได้อีกแล้ว แต่ก็ไม่อาจสลัดความรู้สึกผิดนั้นออกไปได้


    ทำไมไม่เป็นเรา

    มันคงง่ายกว่านี้ถ้าเป็นเรา


    “ไหนนายว่าทำแบบนั้นเราจะชนะไง...”


    แล้ว...ไม่รู้ทำไม

    แววตาของหมอนั่นถึงได้...สงสารกันนัก


    ทั้งเศร้าทั้งสงสารเขา 

    มาก...จนดูน่าสงสารซะเอง


    “...นายเห็นอะไรกันแน่”

    “ถ้าผมบอก...”


    เว้นวรรคนานคล้ายต้องกลืนน้ำลาย

    หรือ...ความขมขื่นอึกใหญ่?


    “...มันจะไม่เกิดขึ้น”


    เคร้ง!


    ไม่รู้ตัว...เผลอตบถาดอาหารโดยไม่ตั้งใจ

    นอกจากโมโหก็ไม่รู้อะไร ไม่รู้ตัวเลยจริงๆ


    “โทษที...”


    สตีเว่นไม่พูดอะไรตอบ มืออันแสนอ่อนโยนช่วยเกลี่ยเศษอาหารเหลวที่เปื้อนเปรอะใบหน้าซูบผอมตรงนั้นตรงนี้ให้เงียบๆ ความใจเย็นของอีกฝ่ายช่วยปลอบประโลมได้ดีไม่ต่างจากคำว่า ‘ไม่เป็นไร’


    เรียวขายาวก้าวข้ามห้องไปเปิดตู้ หยิบจับเสื้อผ้าหนาๆ มาชุดหนึ่งให้โทนี่เปลี่ยนใส่แทนชุดนอนที่เลอะไม่ต่างจากหน้าตาเมื่อครู่ 


    “จะพาไปไหน?”


    สงสัย แต่ก็ยอมให้ช่วยเปลี่ยนโดยง่าย

    นั่งนิ่ง ระหว่างเสื้อยืดถูกสวมผ่านหัวลงมา


    “อยากไปไหนล่ะ...”


    ก็ไม่อยากอยู่ที่นี่...ไม่ใช่หรือ


    ถาม, พลางดึงชายเสื้อลงมาจรดเอวที่แทบเหลือแต่กระดูก


    “ที่ไหนก็ได้ที่ไม่ใช่ที่นี่...แต่ก็ไม่รู้ว่าอยากไปที่ไหนไปดาวอื่นเลยได้ไหม...”

    “ยังไม่เข็ดกับอวกาศหรือไง”

    โทนี่หน้าเจื่อนแต่แวบเดียวก็ฝืนยิ้ม“งั้นมิติอื่นล่ะ? มีโลกที่ไม่มีความเจ็บปวดไหม? โลกที่ไม่มีความผิดหวังสิ้นหวัง...โลกที่เจ้าเด็กพาร์คเกอร์ยังอยู่ โลกที่— โลกที่ทุกคนที่หายไปไม่หายไป...”

    “...”


    โลกที่เราไม่พ่ายแพ้

    โลกที่ฉันไม่ล้มเหลว


    “โทนี่...โทนี่...”


    ลึกลงไปในอกซ้ายของสเตรนจ์วูบโหวง

    สูดลมหายใจ ทำยังไงก็ได้ให้เสียงไม่สั่น


    ประทับน้ำหนักมือลงบนบ่าข้างหนึ่ง

    บีบเบาๆ ผ่านแจ็คเก็ตซึ่งเขาเพิ่งช่วยสวมให้


    “หยุดคิดเรื่องนี้เถอะ”


    คนฟังเงยหน้าช้อนนัยน์ตาคลอประกายน้ำใสขึ้นมองเขา “เห็นอยู่ว่าทำไม่ได้”

    “...”

    “ทั้งจักรวาลมีนายคนเดียวที่รู้ซะด้วย เพราะงั้น...ช่วยบอกใบ้หน่อยได้ไหม? ไม่ต้องพูดอะไรก็ได้ แค่ส่งซิกหรืออะไรก็ได้ แค่— แค่ว่า...มันมีอยู่ไหม”

    “ผมบอกไม่ได้ถ้าผมบอก—”

    “มันจะไม่เกิดขึ้น ใช่ โอเค” โทนี่สวนทันควัน “รู้แล้วไม่ต้องย้ำ”


    เป็นอีกครั้งที่สตีเว่นไม่ต่อคำ

    มันไม่ยากสำหรับโทนี่ที่จะรู้สึกว่าแปลก


    นี่ไม่ใช่...สเตรนจ์คนที่สลายไปต่อหน้าเขา


    “โทษทีหงุดหงิดใส่อีกแล้ว”


    คนตรงหน้าดูไม่ถือสาอะไรเลย

    หนำซ้ำ...กลับดูเข้าอกเข้าใจ


    “คนเรามีวิธีรับมือความรู้สึกผิดต่างกัน...”

    “ซึ่งวิธีของฉันดูงี่เงามาก”

    สเตรนจ์ส่ายหัว “อย่าเลย”


    วงแหวนเวทย์ค่อยๆ หมุนวนจนเกิดประตูมิติ

    ลดมือลง เหลือบมองสตีฟ นาตาชา และบรูซ


    เพียงแวบหนึ่ง


    “อย่าอะไร”

    “อย่ารู้สึกผิด...”


    จอมเวทย์วาดมือไม้ไปในอากาศอีกครั้ง ผ้าปูที่นอนหมอนผ้าห่มก็ขยับเคลื่อนไหวจัดแจงตัวเองออกมาให้ดูคล้ายมีคนนอนคลุมโปงอยู่บนเตียง โทนี่มัวแต่รอฟังถ้อยคำต่อไปจนไม่ได้สนใจ


    สตีเว่นก็มัวแต่รอให้สามคนนั้นหันหลังไป

    จึงค่อยรุนหลังคนตัวเล็กกว่าข้ามประตูมิติ


    “ความรู้สึกผิด...ไม่ได้มีไว้สำหรับคุณโทนี่”


    โทนี่เลิกคิ้วสูงไม่เข้าใจ


    ไม่เห็นเข้าใจอะไรสักอย่างเลย


    .

    .


    “โทนี่คุยกับใคร...”


    สตีฟโรเจอร์สขมวดคิ้วเป็นปม

    สายตาวิตกกังวลเห็นได้ชัด


    นาตาชามองตามเข้าไปในห้อง“โรดี้หรือเปล่า...”

    “ไม่ไม่...ยังไม่มีใครเข้าไปเลยหลังจากถาดอาหาร” บรูซพึมพำ

    สตีฟกอดอกสีหน้าเครียดขึงขึ้นอีก

    “เราควรบอกเพ็พเพอร์...” นาตาชากระซิบ

    สตีฟพยักหน้า“แต่อย่าเพิ่งให้คนอื่นรู้...”


    บรูซเริ่มเดินไปเดินมาพยายามมองจากทุกมุมให้ทั่วถึงที่สุด เผื่อกระจก แสงเงา มุมห้องหรืออะไรก็ตามจะบังคนที่โทนี่คุยด้วยเอาไว้ บางทีคนนั้นอาจจะอยู่ในห้องน้ำก็ได้


    “มันไม่มีใครจริงๆ...บรูซ” นาตาชาย้ำ


    ในห้องนั้นไม่มีใครนอกจากโทนี่


    “อาจจะไม่มีอะไรร้ายแรงก็ได้” แบนเนอร์พึมพำคล้ายปลอบตัวเองอยู่ในที “...อาจเป็นแค่ช่วงนี้โทนี่แค่จิตตกมากไปเดี๋ยวก็คงหาย”


    สตีฟพยักหน้า แตะไหล่ทั้งสองคนเบาๆ เป็นเชิงบอกให้แยกย้าย 


    คล้อยหลังไปได้ไม่เท่าไร

    ห้องนั้นก็ไม่เหลือใคร


    ไม่แม้แต่...โทนี่


    .

    .


    “นึกแล้วเชียวว่าต้องมี”


    ปากว่าก่อนกัดชีสเบอร์เกอร์กร้วมใหญ่


    สเตรนจ์ได้แต่ส่ายหัวน้อยๆ ด้วยเอ็นดู เพราะกลัวเจ้าตัวจะทรุดหนักก่อนถึงมือหมอ กลัวจะเป็นอะไรไปมากกว่านี้เลยตัดใจใช้เวทย์ชั้นสูงช่วยพยุงพลังชีวิตคนป่วยแสนดื้อไว้ อย่างน้อยให้เข้าสู่สภาวะที่แข็งแรงพอประมาณและกระเพาะพอจะรับอะไรได้ หลังจากนั้นแค่ได้กินอะไรเข้าไปก็คงค่อยๆ ฟื้นกำลังกล้ามเนื้อขึ้นมาเรื่อยๆ เอง


    “ค่อยๆ ทานก็ได้ โทนี่”

    “ก็อยากรู้เร็วๆ”

    “หืม?”

    “นายบอกว่ากินข้าวแล้วจะเล่าให้ฟัง อย่าทำไก๋ไม่เนียน เป็นพ่อมดพอรับได้ แต่เป็นคนตอแหลก็คือไม่ผ่าน”

    “ไม่น่าช่วยให้กลับมามีแรงต่อปากต่อคำเลย”

    “ไม่ทันแล้ว” 


    ว่าพลางกลืนชิ้นเนื้อโปะชีสส่วนสุดท้ายเข้าปาก “เล่ามา”

    “เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า ผมแค่บอกว่า‘อาจจะเล่า’ ถ้าคุณยอมทาน—”


    โทนี่ยื่นมือมาข้างหน้าอย่างเคยชิน

    ก่อนตะปบหน้าอกตน “เวร...”


    อาร์ครีแอคเตอร์ไม่อยู่


    “ถอดผ้าคลุม โยนไม้กายสิทธิ์ แล้วมาต่อยกันสักตั้งเลยดีกว่า”

    “ผมแค่อยากให้คุณมีชีวิตอยู่ต่อ โทนี่ คุณคิดว่าผมยอมสละมณีแลกกับการให้ธานอสไว้ชีวิตคุณเพื่ออะไร...”

    “...”

    “เราคงไม่ชนะศึกนั้น ถ้าไม่มีคุณ”

    “ไม่ ‘จะ’ เหรอ?”


    สเตรนจ์เงียบไป


    อีกฝ่ายเริ่มทวนความคิดซ้ำ “ไม่เหมือนพูดถึงอนาคตเลย ไม่ใช่ ‘จะไม่ชนะศึกข้างหน้า’ แต่เป็น ‘ไม่ชนะศึกนั้น’ เฉยๆ เหรอ? น่าสนใจ”

    “ผมเอ่ยถึงข้อเท็จจริง...ที่ผมรู้”

    “งั้น...ตกลงว่าบอกได้แล้วเหรอ”

    “...”

    “ไหนว่าถ้าบอกมันจะไม่เกิดขึ้นไง อะไรของนายกันแน่ ให้ตายสิ ไม่คิดว่าคุยกับภาพหลอนจากจิตใต้สำนึกตัวเองมันจะงงขนาดนี้นะเนี่ย...” 


    สเตรนจ์ยังเงียบ 

    โทนี่กลอกตา“รู้อะไรมะ ช่างเหอะ”

    “โทนี่...”

    “นายไม่ตายก็ดีแล้ว...”

    “...”


    ถ้าพาร์คเกอร์ไม่ตายอีกคนก็จะดีมากๆ

    และจะดีที่สุด...ถ้าไม่มีใครต้องหายไปเลย


    ในร้านแฮมเบอร์เกอร์ไม่มีใครนอกจากสตาร์คและสเตรนจ์ อาจเป็นโชคดีของเขาก็ได้ที่ร้านชีสเบอร์เกอร์เจ้าโปรดยังเปิดกิจการอยู่ เจ้าของและพนักงานส่วนใหญ่ไม่ได้กลายเป็นฝุ่นจากการดีดนิ้วของไอ้ยักษ์ม่วงนั่น ตาลุงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าลูกน้องคนหนึ่งของตนหายไปไหน ดีเหมือนกันที่ไม่ต้องรับรู้อะไร


    ความจริงบางอย่างพอรู้แล้วก็ต้องแบกไว้

    แบกรับให้ไหวจนกว่าจะหมดลมหายใจ


    “รู้ไหมไม่ว่าผ่านไปกี่คืนกี่วันกี่ฝันร้าย ฉันก็สลัดความคิดนี้ออกไปจากหัวไม่ได้เลย...”

    “อะไร”

    “ทำไมตอนนั้นไม่เป็นฉัน”

    “...”

    “ถ้านายเก็บมณีไว้อีกครึ่งจักรวาลอาจไม่ต้อง...”


    เส้นเสียงของสตีเว่นสเตรนจ์ถูกความเงียบเล่นงานเป็นครั้งที่ไม่รู้เท่าไร เขารู้ตัวว่ามีพิรุธมากมายและคงหลอกโทนี่ไม่ได้ แต่ทุกครั้งที่เงียบมันไม่ใช่แค่กลัวหลุดปากเอ่ยอะไรออกไป เขาเงียบ...เพราะจุกกับความเจ็บปวดที่เขาเองต้องแบกรับ เพราะถูกมัดมือชกจากโชคชะตา เพราะไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไรได้


    เพราะมีความรู้สึกผิดที่ต้องรับมือเช่นกัน

    ความรู้สึกผิดอันหลีกเลี่ยงไม่ได้


    “คุณคิดแบบนั้นจริงๆ ใช่ไหม...”

    “คิดอะไร”

    “อะไรก็ได้...คุณตายเองก็ได้ ขอแค่คนอื่นไม่เป็นไรทั้งจักรวาลไม่เป็นไร...”

    “ใช่สิ”


    ไม่มีลังเล...แม้เพียงเสี้ยวอึดใจ


    “มันเป็นหน้าที่ของฉันสเตรนจ์ แต่ดูเหมือนฉันจะล้มเหลวทุกครั้ง...ทุกที ทำไมนายต้องทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ด้วยหมอ”

    “สมองคุณเลอะเลือนมากแล้วโทนี่”

    “เออ ก็เลอะเลือนพอจะนั่งคุยกับนายทั้งที่นายป่นเป็นผงไปเป็นเดือนๆ แล้วนี่แหละ ประสาทสิ้นดี ทำไมฉันไม่เห็นคนอื่นแทนวะ”

    “แล้วคุณอยากคุยกับใคร”

    “ไม่รู้อะ ใครก็ได้ที่ไม่ทำให้รู้สึกเหมือนโดนพ่อดุตลอดเวลาแบบนี้”


    สตีเว่นเกือบหลุดขำ

    โทนี่ระเบิดเสียงหัวเราะ

    บรรยากาศสว่างไสวขึ้นวูบหนึ่ง


    “แต่ว่ากันตามจริงนายตอนนี้ก็ใจดีเกินไป ตั้งแต่ในห้องนอนเมื่อกี้แล้ว อย่างกับไม่ใช่นายเลย จิตใต้สำนึกฉันดูทรยศกับละอองฝุ่นที่เคยเป็นนายจริงๆ มาก”

    “เรายังไม่ทันรู้จักกันดี คุณรู้ได้ยังไงว่าจริงๆ ผมไม่ใช่คนใจดี?”

    โทนี่ยักไหล่ “อาจจะใจดีก็ได้แต่ไม่ดีจนน่ากลัวขนาดนี้อะ เนี่ย! แล้วมองฉันแบบสงสารๆ เศร้าๆ ตลอดเวลาคือขอเหอะ ขนลุก”


    “คุณอาจสมควรได้รับมันก็ได้โทนี่”


    น้ำเสียงขอคนตรงหน้าตอนเอ่ยแต่ละคำ 

    ช่างอบอุ่นอ่อนโยนจริงจัง...และจริงใจสิ้นดี


    ได้แต่กลั้นยิ้มพอใจ เสหน้ามองหน้าต่าง


    “เราไม่รู้จักกันดีต่อไปแบบนี้น่าจะดีแล้ว”

    “อืม...เห็นด้วย”


    ดีแล้วจริงๆ


    ถ้าตอนนั้น...ผมรู้จักคุณดีกว่านี้...


    “ถ้านี่คือโลกที่ฉันต้องทนอยู่ต่อไป...และฉันถูกกำหนดมาให้ยังรอดชีวิต...”


    โทนี่โพล่งขึ้นแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย


    สายตายังเหม่อมองริมทางซึ่งปกคลุมด้วยต้นไม้ใหญ่สีเขียวขจี กิ่งก้านใบของพวกมันสั่นและไหวน้อยๆ ยามเมื่อกระรอกสองสามตัววิ่งไต่ตามกันขึ้นไปบนยอดสูง แสงแดดเริ่มดูสดใส และสายลมก็ไม่ได้อวลกลิ่นความสูญเสียมากเท่าตอนที่เขาเอาแต่จมดิ่งอยู่กับความสิ้นหวังในห้องนั้น


    “...คุณก็สมควรได้ใช้ชีวิตโทนี่”


    ได้โปรด,

    ใช้ชีวิตที่เหลืออยู่อย่างมีความสุขด้วย


    ความคิดของสตีเว่นสะท้อนก้องในใจ


    ถ้าคนตรงหน้า, ที่ผมกำลังได้ซึมซับ

    คือนิยามของโทนี่สตาร์ค 


    ตอนนั้น, 

    ผมก็ไม่ควรรู้จักคุณมากไปกว่านี้จริงๆ


    คุณมีหน้าที่ของคุณ

    ผมมีหน้าที่ของผม

    เราต่างมีบทบาทที่ต้องเล่น


    ทั้งจักรวาลหน้าที่ผม...ไม่อาจมอบให้ใคร


    ไม่ใช่สตีฟ โรเจอร์ส

    ไม่ใช่ธอร์

    ไม่ใช่บรูซ แบนเนอร์

    หรือนาตาชา


    ไม่ใช่อย่างยิ่ง...เพ็พเพอร์ พ็อตส์

    และพีเทอร์ พาร์คเกอร์


    เป็นใครใกล้ตัวคุณไม่ได้

    เป็นใคร...ที่รักคุณ, ไม่ได้เลย


    “นี่...สเตรนจ์”


    โทนี่หันกลับมามองคนตรงข้ามอีกครั้ง


    “พาไปอีกสักที่หนึ่งทีสิ”

    “ที่ไหน?”


    .

    .


    กระท่อมริมทะเลสาบ


    ต้นไม้รอบบริเวณร่มรื่นจนรู้สึกได้ชัดถึงความสดชื่นของอากาศ ใบไม้หลากเฉดสีบิดพลิ้วสลัดร่างจากขั้วร่วงหล่นลงเกลื่อนพื้น สเตรนจ์แทบจะเห็นฝูงปลาเล็กๆ เวียนว่ายอยู่ใต้ผิวน้ำใสสะอาด บรรยากาศที่นี่เหมาะกับการสร้างบ้านเล็กๆ อบอุ่นๆ สักหลังเหลือเกิน


    “คิดว่าไง?”


    และคงทำให้เขาประทับใจมาก

    หากไม่ติดว่าเคยมาเยือนก่อนแล้ว


    ในบรรยากาศสีเทา


    “ไม่เล็กไปสำหรับสองคนเหรอ?”

    “สาม...อย่างน้อยในอนาคตที่มโนไว้น่ะนะ แล้วก็กระท่อมนี่ฉันจะทุบทิ้งแล้วสร้างบ้านจริงๆ ทับลงไปต่างหาก ซื้อไว้กะมาอยู่หลังเกษียณนะเนี่ย คิดว่าชาตินี้อาจไม่มีวันซะแล้ว ใครจะไปนึกว่าอาชีพซูเปอร์ฮีโร่จู่ๆ มันจะได้เออร์ลี่รีไทร์”


    เจ้าของที่ดินยังเอ่ยเจื้อยแจ้วชี้นกชมไม้ให้ดูไปเรื่อย ใบหน้าซึ่งก่อนหน้านี้ยังซูบตอบผอมมีแต่กระดูกเริ่มกลับมาอิ่มเอมด้วยความสุข สตีเว่นอดดีใจไม่ได้ แม้รู้ว่าต่อให้ไม่มีเขาเข้ามา เจ้าตัวก็ต้องลุกขึ้นมาทำอะไรกับชีวิตที่เหลืออยู่ได้ดีมากๆ อยู่แล้ว


    เขารู้อยู่แล้ว และไม่ได้เปลี่ยนอะไรเลย


    นอกจาก...

    ทำให้รู้สึกว่าตัวเองได้มีส่วนช่วย, ก็เท่านั้น


    อย่างที่บอก,

    คนเรามีวิธีรับมือความรู้สึกผิดต่างกัน


    ความรู้สึกผิด...อันไม่อาจหลีกเลี่ยง


    “เอ้า...เป็นภาพหลอนที่เริ่มเอาท์คาร์ไปมากแล้วนะ บีบน้ำตาทำไมเนี่ย”


    หลังนิ้วชี้ที่มีรอยแผลนูนตลอดสันยกขึ้นปาดน้ำตาหยดหนึ่งออกจากแก้มตนเงียบๆ


    ความรู้สึกผิดที่ไม่จำเป็น...แต่ก็ยังรู้สึก


    อาจคล้ายกับ, ความรู้สึกของทหารที่รอดจากสนามรบกลับมาเพียงลำพัง แม้ไม่ใช่มือของตนที่ฆ่าเพื่อน แม้ไม่มีอะไรที่เราจะทำเพื่อช่วยเพื่อนได้อีกแล้ว แต่ก็ไม่อาจสลัดความรู้สึกผิดนั้นออกไปได้ โดยไม่มีวันเข้าใจเลยว่าทำไมทุกอย่างต้องถูกกำหนดไว้ให้เป็นเช่นนี้ ทำไมไม่เป็นเรา...มันคงง่ายกว่านี้ถ้าเป็นเราที่ตาย


    มันคงง่ายกว่านี้ ถ้ามันไม่ใช่เรา,

    ที่ต้องชี้เป้า นำร่อง...และส่งเพื่อนไปตาย


    “...”


    พอสเตรนจ์เอาแต่ยืนเงียบ โทนี่ก็เริ่มหมดมุกจะปลอบ อุตส่าห์ใช้มุกภาพหลอนบ้าบอนั่นกลบเกลื่อนมาได้ดีเกือบตลอดรอดฝั่งแล้วเชียว แต่ก็กลับมาพังในนาทีสุดท้าย นาทีที่ความอัดอั้นตันใจทั้งหมดที่สั่งสมไว้ของผู้ชายตรงหน้า...กลั่นตัวลงมาเป็นหนึ่งหยดน้ำตา


    โทนี่เดาไม่ออกทุกปริศนา

    แต่แน่ใจหลายๆ อย่าง


    “ที่จริงนายเล่าได้ถูกไหม? ถ้านายเล่าว่าจะเกิดอะไรมันจะไม่เกิดขึ้นแต่...”

    “...”

    “ทุกอย่างมันเกิดขึ้นไปหมดแล้วสำหรับนายใช่รึเปล่า?”


    ควรรู้อยู่แล้วว่าหลอกอัจฉริยะไม่ได้

    ถ้าอีกฝ่ายไม่เต็มใจให้หลอก


    สตีเว่นพยักหน้า


    “ที่ฉันสงสัยคือนายมา ‘ที่นี่’ ทำไมแต่แรก...” 


    โทนี่ขยับเข้ามาใกล้ 

    จิ้มปลายนิ้วลงบนอกกว้างของคนตัวสูงกว่า 


    “ไม่ใช่เพื่อมาให้กำลังใจฉันให้ใช้ชีวิตต่อไปจนถึงวันที่เราจะชนะธานอสได้แน่ๆ หนึ่ง พล็อตน้ำเน่าเกินไป อันนี้ไม่ซื้อ สอง เปลี่ยนอดีตไม่ส่งผลอะไรกับอนาคต นายเองก็น่าจะเข้าใจเรื่องนี้ดีเหมือนกัน ว่าแต่...นายวาร์ปมาทางรูหนอนไหน ไหนไทม์แมชชีนของนายน่ะ? ฉันคิดค้นแน่ๆ...ขอทิปไอเดียการสร้างตอนนี้เลยได้ไหม มันอาจไม่ส่งผลกับเส้นเวลาของนาย แต่ฉันทางนี้จะได้ไม่เมื่อยสมองมาก—”


    โทนี่เงียบไปถนัด 

    เมื่อมืออบอุ่นนั้น...กุมมือเขาไว้อีกครั้ง


    อุ่น...


    อย่าเพิ่งปล่อยเลย


    “มีนะโทนี่...”

    “...” 

    “โลกที่คุณได้สมหวัง โลกที่เจ้าเด็กพาร์คเกอร์ได้กลับมา โลกที่คนที่หายไปได้กลับมา...”


    แต่ความเจ็บปวดยังคงไหลเวียนอยู่ในนั้น

    ความเจ็บปวดที่โลกต้องแบกรับ,


    เพียงเพื่อหมุนต่อไป


    “แค่—“


    ความเจ็บปวดที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง


    “อ้อ แปลว่าเราชนะ...”


    และที่หมอ ‘กลับ’ มาทำใจดีกับเขาทั้งหมด

    ราวกับไม่เคยมีโอกาสในเวลาปัจจุบัน

    ราวกับไม่มีโทนี่สตาร์คอยู่ในโลกใบนั้น


    “แต่ฉันไม่อยู่เห็นมัน...?”

    “ผมขอโทษ...”


    โพล่งมันออกมาในที่สุด


    คำที่อยากพูดมาตลอด...แต่กลัวจะฟังดูไม่จำเป็นสำหรับอีกฝ่าย มันอาจดูไม่สมเหตุสมผลไร้สาระ ไม่มีประโยชน์อะไร และท้ายที่สุดคนฉลาดอย่างโทนี่ก็คงเข้าใจดีทุกอย่างโดยไม่ต้องอธิบายให้มากความ กับเรื่องที่ว่าทำไมตอนนั้น...เขาต้องยอมรักษาชีวิตคนเพิ่งรู้จักกันไว้ โดยแลกกับการให้ธานอสได้มณีที่ดูยังไงก็สำคัญกว่าไป


    หน้าที่เขาในเกมคือช่วยชีวิตโทนี่สตาร์คไว้

    เพียงเพื่อให้มาตายในเวลาที่เหมาะสม


    “ทำไมคิดไม่ได้ตั้งนานแล้วนะว่าไอ้ ‘นี่เป็นทางเดียว’ น่ะหมายถึงฉัน...”

    “โทนี่”


    สเตรนจ์อุทาน ดีที่ยังจับมือเจ้าตัวไว้จึงประคองลงนั่งกับพื้นได้ทัน เมื่อขาเล็กๆ สองข้างนั้นอ่อนยวบในฉับพลันทันด่วน


    “ไม่เป็นไรๆ...หมดแรงเบอร์เกอร์เฉยๆ”


    โทนี่ยิ้ม, อ่อนแรง แต่เป็นยิ้มจากใจ

    ยิ้มที่ปลอบโยนเขาได้ดีเท่าคำว่าไม่เป็นไร


    แบบนี้แหละ, เพราะแบบนี้

    จึงดีที่สุดแล้ว, ที่เราเพิ่งรู้จักกัน


    ถ้าผมรู้จักคุณนานกว่าที่เป็นตอนนั้น 

    อาจไม่มีวันทำมันได้ลง


    เพียงเท่าที่ได้รู้จักคุณเพิ่มอีกนิดในวันนี้

    ก็ทำเอาผมสงสัยเหลือเกินแล้ว


    ว่าจะต้องใช้ความใจร้ายมากเท่าไร

    ถึงจะทำมันได้, อย่างที่เคยทำ


    ส่งคุณไปตายได้...เหมือนที่ทำไปแล้ว


    “สรุปก็ยังไม่ตอบเลยนะว่ากลับมาทำไม”

    “คนเรามีวิธีรับมือความรู้สึกผิดต่างกัน”

    “อย่าเลย”

    “...”


    โทนี่ดึงคนที่ยังยืนอยู่ลงมานั่งข้างกัน


    “ต้องถามสิว่าอย่าอะไร จะได้ตอบว่าอย่ารู้สึกผิด เท่ๆ แบบที่นายพูดไว้ไงหมอ”


    สเตรนจ์ส่ายหัวยิ้มๆ


    “พูดจริง นายพูดถูกทุกอย่างแต่ไม่เอาไปใช้กับตัวเองเลยพ่อคุณ นายไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิดด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นอย่า—”

    “แม้ว่าผมจะกลับมาคุยกับคุณ แค่เพื่อยืนยันความคิดตัวเองว่าคุณคงเต็มใจสละชีวิตเพื่อปกป้องทั้งจักรวาลโดยไม่ลังเลน่ะเหรอ ตอนนี้ที่ผมรู้ว่าผมคิดถูก ผมยังห้ามตัวเองไม่ให้เสียใจไม่ได้เลย”


    ความเจ็บปวด

    ความรู้สึกผิด

    ความโศกเศร้าเสียใจ


    ไม่มีใครหลีกเลี่ยงทั้งหมดนั่นได้เลย,

    เมื่อคุณจากไป 


    “แต่เราจะทำอะไรได้นอกจากนี้ล่ะหมอ”

    “...”


    โทนี่ถอนหายใจเบาๆ โบกมือน้อยๆ


    “กลับไปได้แล้วไป”


    ความเงียบโรยตัวลงมาปกคลุมทั้งคู่ไว้

    นัยน์ตาเรียวคมแฝงแววเว้าวอนบางอย่าง


    เจือจาง, แอบซ่อนไว้ ณ มุมลึกสุด

    แต่เขาดันเข้าใจความหมายของมัน


    “สตีเว่น นายรู้ว่าฉันไปด้วยไม่ได้ ถ้าฉันไปสิ่งที่ฉันจะ— ไม่สิ สิ่งที่ฉันได้ทำ เอ๊ะ หรือมันควรเป็นสิ่งที่... เรียกว่าฉันในอนาคตทำไปแล้ว...เหรอ? แต่ถ้านี่คือปัจจุบันของฉัน เออ เอาเป็นว่านายเข้าใจที่ฉันจะพูด”

    “...”

    “ให้อะไรที่เกิดขึ้นแล้วเกิดขึ้นเถอะ ตรงนั้นไม่ใช่ที่ของฉัน ไม่ใช่เวลาของฉัน ให้คนอื่นได้ปกป้องสิ่งที่ฉันเคยปกป้อง— หรือจะปกป้องกันนะ?”


    สตีเว่นหลุดยิ้มน้อยๆ

    โทนี่ผลักคนข้างตัวเบาๆ


    “กลับไป เพื่อปกป้องอะไรก็ตามนั้นต่อจากฉัน คนอย่างนายเข้าใจดีอยู่แล้ว ไม่งั้นตอนนั้นนายคงไม่...น่ะนะ คิดซะว่าทำเพื่อโทนี่คนนั้นก็แล้วกัน ส่วนนี่น่ะ...”


    โทนี่หันนิ้วชี้เข้าหาตัวเอง


    “นี่มันก็แค่เพื่—”

    “เพื่อ...”

    “หยุดไม่ต้องพู—”

    “...ผม”


    เพื่อความสบายใจของผม

    เพื่อแบ่งเบาหัวใจที่หนักอึ้งของผมลงอีกนิด


    “เป็นอะไร ผมพูดผิดตรงไหน”

    “เออ ไม่ มันแค่รู้สึกแปลกๆ สะหยึมกึ้ยชอบกล ช่างเหอะ พาฉันกลับไปส่ง แล้วนายก็กลับไปได้แล้ว พ่ออัลบัสดัมเบิลดอร์”


    สะเก็ดไฟสว่างวาบเป็นวงแหวนประตูมิติ

    ทั้งคู่กลับมาโผล่ยังห้องนอนห้องเก่า


    สตีเว่น สเตรนจ์ตั้งพิกัดกลับยังไป ‘ปัจจุบัน’ 

    บอกลาอดีตที่ตนแอบกาลเวลาข้ามมา


    ก่อนกดปุ่มเพื่อเดินทางผ่านอุโมงค์ควอนตัม

    โทนี่สตาร์คคว้าแขนเขาไว้


    “คำถามสุดท้าย...ฉันได้มีลูกอย่างที่หวังรึเปล่า”


    คนจะไปหันกลับมามองคนข้างหลัง

    ค่อยๆ ยกแขนข้างหนึ่งขึ้นช้าๆ


    ริมฝีปากหยักไม่ขยับพูดอะไร


    แต่มือข้างนั้นค่อยๆ รวบนิ้วเข้าหากัน

    จนเหลือเพียงนิ้วชี้นิ้วเดียว


    .

    .


    และเธอไม่รู้เลยว่า

    พ่อของเธอเป็นคนยิ่งใหญ่เพียงไหน


    เสียสละมากเท่าไรเพื่อจักรวาลนี้


    ไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย

    แต่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้


    จากสิบสี่ล้านหกร้อยห้า,


    อาเห็นแค่หนทางเดียวจริงๆ




    .



    จบค่ะ แยกย้าย แงงงงงงงงง

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
Scole Gweh (@fb1269349961636)
น้ำตาจะไหล ฮื้ออออ มันจับ มันจับใจจนเจ็บ