เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
SCHEMING SCANDALSamanthachiew
SCHEMING SCANDAL : การปล้น ขนมเค้ก และกองซากมะเขือเทศ (ตอนที่9)



  • 9


    ผมเบิกตาโพลง ปล่อยให้ความรู้สึกเย็นยะเยือกเข้าครอบงำร่างกายตัวเอง เชื่อผมเถอะ -- ในนาทีสิ้นใจนั้น คุณไม่มีความรู้สึกหรอกว่ากระสุนทะลุส่วนไหนของร่างคุณ อาจจะเป็นปอด ตับอ่อน หรือขั้วหัวใจ -- แต่สุดท้ายคุณก็จะตระหนักได้อยู่ดี ว่าอวัยวะเหล่านั้นกำลังหยุดทำงาน และทิ้งให้คุณกลายเป็นเพียงซากศพเย็นยะเยือกและซีดเผือด


    ผมมองร่างในชุดเสื้อคลุมสีน้ำเงินเข้มของซาร่า เธอยืนตัวแข็ง และมองตอบผมไม่ต่างกัน


    ในไม่ช้า มือบางข้างนั้นก็ปล่อยกระบอกปืนร่วงลงพื้น ร่างของเธอมีรอยเลือดซึมออกมาตรงกลางอก ก่อนจะค่อยๆขยายออกเป็นวงกว้าง


    ผมเห็นเจควิ่งตรงเข้าไปยึดปืนจากซาร่า ปล่อยให้ร่างของซาร่าล้มลงกับพื้น


    “ฟิชเชอร์!” เจคเรียกชื่อฟิชเชอร์ออกมา -- ไม่ยักกะเรียกชื่อผม


    และในนาทีนั้นเอง ผมก็ตระหนักได้ว่าไม่มีกระสุนเจาะทะลุร่างผมสักนัด นอกจากทะลุร่างของซาร่า  -- และวิถีกระสุนก็ไม่ได้มาจากปืนของผม


    -- แต่มาจากร่างของฟิชเชอร์


    ฟิชเชอร์ไอค่อกแค่ก ยันตัวขึ้นมาจากพื้น มีเจคช่วยประคองให้เขาขึ้นมานั่งพิงเคาท์เตอร์ได้ ผมตรงเข้าหาฟิชเชอร์ และเปิดเสื้อสูทเขาออกเพื่อสำรวจดูบาดแผล


    มันเฉี่ยวสีข้างเขาไป คงจะเป็นแผลลึกพอดู และเจ็บแสบน่าดู แต่ไกลกับคำว่าตายเยอะ


    “นายทำพวกเราตกใจแทบแย่!” ผมร้องออกมาอย่างโล่งอก


    ฟิชเชอร์ยักไหล่ “เล่นไปตามน้ำน่ะ” เขาพูดปนหอบ สีหน้าบิดเบี้ยวเพราะเจ็บแผล “ยิงยายนี่จากทางด้านหลัง ง่ายกว่ายิงจากทางด้านหน้าเยอะ”


    คราวนี้เป็นซาร่าที่ไอค่อกแค่ก เธอกุมมือที่บาดแผลเอาไว้ ก่อนจะยันตัวขึ้นมาพิงประตูร้าน แล้วจ้องมองพวกเรา -- เธอเป็นหญิงบ้าที่ตายยากจริงๆ


    เราสี่คนจ้องมองกันอยู่อึดใจหนึ่ง ต่างไม่มีคำพูด -- แต่แล้วก็มีเสียงนรกดังขึ้นมาจากที่ไกลออกไป



    หว่อออ -- หว่อออ -- หว่อออ


    ตำรวจกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ -- ใครบางคนได้เรียกตำรวจมา และไม่ว่าจะแจ้งตำรวจด้วยวิธีใดก็ตาม มันทำให้เรารู้ตัวว่าเวลากำลังจะหมดลงแล้ว


    ผมมองฟิชเชอร์กับเจค และหันไปมองลูซี่


    “พาเธอหนีไป” ผมกระซิบบอกกับเพื่อนทั้งสอง “พวกนายฉลาดกว่าฉัน เก่งกว่าฉัน และกล้าหาญกว่าฉัน พวกนายจะดูแลลูซี่ให้ฉันได้ -- พาลูซี่ขึ้นเรือสำราญไปแทนฉัน -- ฉันจะถ่วงเวลาที่นี่เอาไว้เอง”


    ฟิชเชอร์กับเจคมองหน้าผมเหมือนกำลังมองหอยทากข้างทาง


    “พูดอะไรของนาย” เจคแหว “เรามาด้วยกัน ก็ต้องไปด้วยกัน เราจะออกไปจากที่นี่ด้วยกัน พร้อมกับผู้หญิงของนาย เข้าใจไหม”


    “เราหนีไม่ทันหรอก” ฟิชเชอร์ขัด สีหน้าดูนิ่งสนิท “เราจะหนีกันไม่ทัน ถ้าหากมีฉันเป็นตัวถ่วงไปด้วย แผลฉันไม่ถึงตาย แต่ก็ขยับตัวยากลำบากน่าดู กว่าจะไปถึงเรือสำราญ มีหวังโดนโยนเข้าซังเตไปก่อน พวกนายหนีไปก่อน ฉันจะเป็นคนถ่วงเวลาตำรวจไว้ที่นี่เอง”


    “ไม่เอานะฟิชเชอร์ นายเป็นหัวหน้าของเรา นายต้องไปต่อ” ผมประท้วง


    แต่เจคกลับนิ่งไป เขาเปิดดูบาดแผลของฟิชเชอร์ มองดูเลือดที่ไหลออกมา และสีหน้าอันเจ็บปวดของเพื่อนตัวเอง ก่อนจะหันมามองผม


    และผมก็แปลความนัยน์ของสายตาคู่นั้นไม่ออก -- ผมไม่เคยแปลความนัยน์อะไรออกเลย ให้ตายสิ


    “รู้อะไรไหม” เจคค่อยๆพูดออกมา “ว่าฉันติดหนี้พวกนายเอาไว้มหาศาล -- ทั้งเรื่องที่ให้กำลังใจฉันในตอนที่ทั้งเมืองประนามเรื่องแม่ฉันหนีไปกับชาวประมง ตอนที่ฉันโดนเหยียดหยามว่าฉันเป็นลูกโสเภณีชั้นต่ำ เป็นเด็กกำพร้า โง่เง่า ขาดการศึกษา และ -- อะไรนะ -- สวะสังคม”


    คราวนี้ทั้งฟิชเชอร์และผมต่างมองเจคด้วยความงุนงง


    “ฉันไม่เคยเข้มแข็งได้ด้วยตัวเอง ไม่ว่าคนอื่นจะคิดว่าอย่างไรก็ตาม ฉันรู้ตัวเองดีที่สุด -- ตั้งแต่วันที่แม่ปล่อยให้ฉันนอนแข็งเกือบตายที่ริมท่าเรือ ฉันก็ไม่เคยเหมือนเดิมอีกเลย และจะไม่มีวันกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อีก -- พนันได้เลย ว่าพวกนายก็รู้ดีว่าฉันเปลี่ยนไปนับจากวันนั้น” เจคดึงจดหมายฉบับหนึ่งออกมาจากเสื้อสูทของตัวเอง ก่อนจะชูให้ผมดู


    “ฉันไม่รู้ว่านายหมายถึงอะไร” ผมว่า


    มีเสียงคนขยับตัวรอบร้าน -- ดูเหมือนทุกคนจะเริ่มเป็นอิสระกัน เมื่อไม่มีใครถือปืนคุมสถานการณ์ และในจังหวะนั้นเองที่ลูซี่ทำให้สิ่งที่ไม่เคยมีใครคาดคิดเอาไว้


    อย่าขยับ!” ลูซี่ยืนจังก้าอยู่ข้างพวกเรา พร้อมกับขู่คำรามเสียงสูง โดยมีปืนของผมในมือ -- นี่เธอเอาไปตอนไหนนะ “อย่าท้าทายฉันนะ บอกไว้เลย อย่าลองดีกับหญิงท้องจากเขตหลังเมือง ถ้าไม่อยากกลับบ้านสภาพนิ้วด้วน” เธอย้ำ เมื่อเห็นอิ๊กกี้ขยับตัวยุกยิก


    เจคปล่อยให้ลูซี่คุมสถานการณ์ เขาคลี่จดหมายออก แล้วชี้ไปที่คำลงท้ายจดหมายที่เขียนเอาไว้ว่า ‘จากแม่


    “นี่ไม่ใช่ลายมือแม่ฉันเลย คล้ายมากนะ -- แต่ยังไม่ใช่ -- หลอกฉันไม่ได้หรอก”


    ผมกับฟิชเชอร์นิ่งไป


    “ฉันรู้ว่าพวกนายเขียนจดหมายเก๊ๆให้ฉัน ต้องการให้ฉันเข้าใจว่าแม่ยังรักและคิดถึงฉัน -- ทั้งๆที่ความจริงแล้วนั้น มันไม่ได้เป็นแบบนั้น จริงไหม” เจคจ้องมองจดหมายในมือ “แต่พวกนายก็เลือกที่จะช่วยและปกป้องฉันด้วยวิธีที่อ่อนโยนที่สุดเท่าที่พวกนายเคยทำนับตั้งแต่เกิดมา -- ปลอมจดหมาย -- ไม่น่าเชื่อ และน่าขนลุกที่สุด! แต่มันก็เป็นไปแล้ว --”


    “นายรู้ตัวตอนไหน” ผมถาม


    “ตั้งแต่ฉบับแรกเลย” เจคตอบ ทำเอาผมหน้าชาไปชั่วขณะ -- นี่มันรู้ตัวเร็วขนาดนั้นเลยเรอะ


    “เป็นความคิดของซันนี่น่ะ” ฟิชเชอร์พูดเบาๆอย่างอ่อนแรง “มันบอกว่าจะเป็นวิธีช่วยไม่ให้นายซึมเศร้า”

    เจคหัวเราะออกมา “ก็จริง เพราะตอนนั้นฉันกำลังจะเป็นบ้า” จากนั้นก็พูดอะไรบ้าๆออกมา “เพราะฉะนั้นถึงเวลาที่ฉันจะตอบแทนพวกนาย ฉันจะอยู่ถ่วงเวลาที่นี่เอง”


    “หยุดงี่เง่าเถอะน่า! ยิ่งเถียงกัน ก็ยิ่งเสียเวลานะ”


    “ไม่ต้องห่วง ฉันวางหมุดเอาไว้ตามถนนแล้ว พวกตำรวจคงมีแจ็คพ็อตโดนกันจนล้อฟีบบ้างล่ะ” ฟิชเชอร์หัวเราะคิกๆ “เพราะงั้นเราพอมีเวลาเถียงกันได้อยู่น่า ซันนี่ ใจเย็นๆ”


    ผมกลอกตาใส่ฟิชเชอร์ “กดแผลตัวเองต่อไปเหอะน่า!”


    “ฟังนะ” เจคบอกผม “สิ่งที่ดีที่สุดบนโลกใบนี้ คือการที่คนเป็นลูกได้มีโอกาสโตมากับพ่อแม่ตัวเอง -- แบบที่นายโตมากับพ่อแม่ตัวเอง -- มันไม่เกี่ยวหรอกว่าพวกนายจะขาดอะไรกันไปบ้าง มันเกี่ยวแค่ว่าพวกนายมีอะไรให้กันและกันบ้างต่างหาก  พวกท่านอาจจะมีปากเสียงกัน เรื่องนายตกงาน เรื่องหลังคารั่ว และ -- อะไรอีกนะ --”


    “เชื้อรา กับสวนที่รกน่ะ” ผมตอบรับเร็ว


    “นั่นแหละ -- แต่ประเด็นคือนายมีโอกาสที่จะเติบโตมากับสิ่งที่เรียกว่าครอบครัว -- ซึ่งมันไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนจะมีได้ และมันคือสถาบันที่แข็งแรงที่สุด ยิ่งกว่าโล่กันกระสุนไหนๆ”


    แม้แต่ฟิชเชอร์ดูนิ่งไปกับคำพูดของเจค


    “และทั้งนายทั้งลูซี่ ไม่มีใครหันหลังให้กับเด็กที่กำลังจะเกิดมา ตอนนี้นายมีโอกาสที่จะสร้างครอบครัวของตัวเองแล้ว อย่าทำให้มันกลายเป็นเรื่องผิดพลาด และโดดเดี่ยว แบบที่ฉันกับฟิชเชอร์เจอมา”


    “นายหมายความว่าอะไร” ผมถาม


    “มีตั๋วสองใบอยู่ในกระเป๋านาย” เจคว่า “ใช้มันกับลูซี่ให้คุ้มค่าล่ะ”


    “ไม่เอานะ!” ผมร้อง “ฉันทิ้งพวกนายไปไม่ได้หรอก! จะบ้าเรอะ!”


    ฟิชเชอร์ตบหน้าผมดังป้าป แต่คราวนี้เป็นเชิงหยอกล้อมากกว่าจะทำโทษ


    “เจคพูดถูก ใช้ตั๋วนั่นไปกับผู้หญิงของนาย เผื่อว่าคนที่ฉันตกลงด้วยบนเรือนั่นคิดตุกติก นายค่อยใช้ตั๋วสองใบนี้แก้สถานการณ์ไปก่อน”  ฟิชเชอร์บอก “ฉันในตอนนี้ หนีไปได้ไม่ไกลหรอก แต่อย่าห่วงเลย ฉันจะหาทางตามพวกนายไปเอง -- นี่ฉันคือใคร ฟิชเชอร์จอมวางแผนนะ -- ฉันหาทางไปจนได้ล่ะน่า”


    “แล้วนายก็วางแผนได้แย่และอ่อนหัดที่สุดที่เคยมีมาในประวัติโจรปล้นเลย”


    ฟิชเชอร์หัวเราะกับคำเสียดสีของผม  แล้วผมกับเจคก็หัวเราะตามเขา


    เสียงรถตำรวจเข้ามาใกล้ แต่ฟังดูจำนวนลดลงไป -- ชัดเจนว่าใครบางคนได้ติดกับดักฟิชเชอร์ไปแล้ว

    “ฉันจะอยู่กับฟิชเชอร์เอง” เจคบอก “เราหาทางไปกันเองได้นี่ จริงไหม”


    ฟิชเชอร์ทำท่าจะขัดในตอนแรก แต่สุดท้ายก็ยักไหล่ให้กับเจค ท่าทีดูสบายอารมณ์ผิดสถานการณ์


    “ซันนี่” เสียงของลูซี่ดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง ผมหันไปมองเธอ สีหน้าดูซีดเผือด เมื่อจ้องมองบาดแผลของฟิชเชอร์ และคราบเลือดบนพื้น


    “ที่รัก” ผมบอกเธอ “ได้เวลาไปกันแล้วล่ะ”


    เสียงปรบมือดังแทรกขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ


    และมันก็มาจากยายซาร่า จอมเพี้ยนแห่งร้านขนมหวาน --


    ชัดเจนว่าเธอจะไม่ยอมตายจากพิษกระสุนนั่นง่ายๆ -- สภาพเธอดูแย่กว่าฟิชเชอร์ มีเลือดไหลออกมาจากมุมปาก และกลางอก แต่สีหน้ายังคงดูเย่อหยิ่งและเพี้ยนเหมือนเดิม


    “จบอย่างมีความสุข หนีตามกัน หยั่งกะเพลงวิทยุแน่ะ” เธอพูดเสียงยินดีเกินจริง มีเสียงโดฟดังมาจากด้านหลังว่า เห็นไหม ฉันบอกแล้ว  “แล้วยังไงล่ะ หนีไปขึ้นเรือสำราญเรอะ -- ตลกสิ้นดี -- ฉันจะคอยดูพวกเธอตอนถูกจับโยนเข้าซังเตตลอดชีวิต”


    ผมจับมือลูซี่แน่น จ้องมองเธอ และพยักหน้าให้ “เราจะทำสำเร็จ ลูซี่”


    เธอพยักหน้าตอบผมอย่างไว้วางใจ


    เสียงตำรวจร้องบอกมาจากนอกร้านให้ใครสักคนมอบตัว


    “แล้วไว้เจอกัน” ผมบอกฟิชเชอร์กับเจค


    พวกเขาชูนิ้วให้ผม เป็นเชิงบอกลา -- มีฟิชเชอร์ส่งสัญญาณเพิ่มเติมว่าให้ออกไปทางห้องใต้ดิน ที่เขาเคยอธิบายเอาไว้ว่ามีทางเชื่อมออกไปยังท่อระบายน้ำข้างนอก


    แล้วจู่ๆทั้งร้านก็ต้องนิ่งสนิท เพราะเสียงที่ตำรวจตะโกนบอกนั้น ไม่ได้เรียกตัวพวกเรา



    ออกมามอบตัวเดี๋ยวนี้ ซาร่า ลอดจ์!” ตำรวจประกาศผ่านมาจากหน้าร้าน “ไม่อย่างนั้นเราจะเข้าทำการจับกุมคุณเดี๋ยวนี้”


    -- แต่เป็นซาร่า


    แล้วทุกคนก็งงเป็นไก่ตาแตก จ้องมาทางฟิชเชอร์ เจค กับผม เป็นทางเดียวกัน


    “ไม่ใช่พวกนายเรอะ” พวกเขาว่า


    แต่ดูเหมือนในร้านจะมีแค่ฟิชเชอร์ที่ไม่สับสนต่อสิ่งที่เกิดขึ้น เขาเหลือบมองซาร่าที่กำลังถอนหายใจอย่างหนักหน่วง


    “ไม่ใช่แค่ฉันก็แล้วกัน ที่สุดท้ายต้องถูกจับ” ซาร่ากัดฟันตอบ ดูเหมือนแมวอารมณ์เสียที่ถูกดึงหาง “พวกนายไม่รอดไปง่ายๆหรอก”


    “ทำไมพวกเขามาตามจับเธอ” เจคขมวดคิ้ว


    ฟิชเชอร์ชี้นิ้วไปทางเมนูเครื่องดื่ม “จำโกโก้ที่พวกนายดื่มกันไปได้ไหม” เขาว่า “คิดว่ารสชาติคุ้นๆเหมือนอะไรไหม”


    ผมนึกถึงรสสัมผัสของโกโก้วิปครีม ความหอมของมัน และรสชาติที่อร่อยชวนติดใจให้ดื่มซ้ำๆ --

    -- มันเหมือน --


    กัญชา


    คำพูดที่ผมโพล่งออกมาทำให้ทั้งร้านร้องอุทานออกมาตามๆกัน เหมือนกำลังฟังเรื่องประจานอันน่าอับอายสุดจะทน


    “ฉันไม่ได้ภูมิใจนักหรอก” ซาร่าว่า พร้อมกับจุดบุหรี่สูบ พ่นควันออกมายาวๆ สภาพดูปลงกับสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่สะดุ้งสะเทือนกับเสียงโห่ร้อง  “ไม่อย่างนั้นจะให้ลูกค้ากลับมาซื้อบ่อยๆได้ยังไง ฉันจะขายเครื่องดื่มกับขนมออกไปเยอะๆได้ยังไง ถ้าไม่ใช้วิธีนี้ ในเมื่อพวกเธอเกือบทุกคนซื้อแค่คนละอย่างสองอย่าง แต่กลับนั่งแช่ในร้านข้ามวันข้ามคืน”


    เสียงด่าทอดังกระฮึ่มรอบร้านทันที -- แต่อย่างที่บอก ซาร่าปลงกับมันแล้ว


    ความอัปยศของซาร่า ทำให้ทั้งผมกับเจคหันไปมองถุงใส่เงินในมือของฟิชเชอร์อัตโนมัติ -- ถ้ายายนี่กำลังล้มละลาย แล้วในถุงเงินนั่น -- --


    ฟิชเชอร์เทกองเศษเหรียญและธนบัตรจำนวนเล็กน้อยออกมาจากถุงใส่เงิน สีหน้าดูนิ่งสนิท เหมือนคนหมดคำพูด ในขณะที่ซาร่ามีแต่คำว่า “เจ้าพวกโง่” ส่งมาให้พวกเราอย่างชัดเจน


    และนั่นอธิบายได้ทุกอย่าง ว่าทำไมฟิชเชอร์ถึงยกนิ้วโป้งมาให้เรา ในนาทีที่เขาเห็นเงินในเครื่องคิดเงินตอนแรก ถ้าผมเป็นฟิชเชอร์ ผมก็คงไม่สั่งให้เพื่อนในขบวนหยุดแผนการดังเอี้ยด แล้วล่าถอยไปง่ายๆเหมือนเต่าหดเข้ากระดอง ในเมื่อเราเปิดโรงซะยิ่งใหญ่อลังการเหมือนฝูงนกพิราบแตกกระเจิงไปซะขนาดนั้น และตอนนี้มันทำให้เรายอมรับความเป็นจริงว่าเรามันบ้าที่มาปล้นร้านขนมหวานที่กำลังจะล้มละลาย  ร้านที่มีแค่หญิงเพี้ยน เศษเงิน กับขนมเค้ก


    “เธอไปรับกัญชามาจากใคร” เจคถาม


    ไม่!” ฟิชเชอร์ขัด “อย่าเอ่ยชื่อเขา”


    เป็นที่รู้กันว่ารายใหญ่จากเขตหลังเมือง เป็นชื่อต้องห้าม


    “นายรู้ว่าที่นั่นใครใหญ่” ซาร่าพ่นควันสีเทาออกมา มือควานหาบางสิ่งในกระเป๋าอีกครั้ง ปล่อยให้เสียงขู่ของตำรวจดังต่อไป “แต่ที่นี่ -- ในร้านนี้ -- ฉันใหญ่ที่สุด จะติดซังเต หรือจะตาย ฉันเป็นคนเลือกเอง” พูดจบก็ใส่แว่นทรงพิลึก เหมือนแว่นประดาน้ำเข้ากับหน้าตัวเอง


    แล้วเธอก็ทำเรื่องบ้าบิ่นที่สุดออกไป


    กระเป๋าที่เราคิดว่ามีแต่ขวดเหล้าของเธอนั้น กลับมีอย่างอื่นอยู่ในนั้นด้วย --


    มันคือระเบิดขนาดเล็ก


    เล็ก -- แต่มากพอที่จะทำลายบริเวณนี้ให้เสียหายได้ ไม่ต้องบอกเลย


    ยายนี่มีระเบิดพลีชีพ!


    ฟิชเชอร์มองระเบิดในมือเธอ ก่อนจะมองสีหน้าของเธอ แล้วหันมามองพวกเรา มองทั้งผม เจค กับลูซี่


    สีหน้าของฟิชเชอร์ในตอนนั้น ยากที่จะลืมได้  มันเป็นสีหน้าของคนตกใจสุดขีด


    หลบ!!! เขาร้องบอก ขณะที่ซาร่าพุ่งทะยานออกไปนอกร้าน แล้วเขวี้ยงระเบิดนั่นออกไป


    ทั้งผมและเจคตอบรับคำสั่งฟิชเชอร์อย่างว่องไว สัญชาตญาณเอาตัวรอด ทำให้เราช่วยกันดึงโต๊ะกาแฟที่อยู่ข้างตัวมาบังเป็นโล่ระหว่างเรากับประตูร้าน


    บรึ้ม!


    แรงปะทะกระแทกเข้ามาในร้าน ตามมาด้วยเสียงโวยวายของตำรวจ และเสียงหวีดร้องของผู้คนในร้าน ผมคาดว่าจะเห็นเศษกระจกและคราบเลือดลอยกระจายในอากาศ -- แต่กลับไม่เป็นอย่างนั้น

    เพราะระเบิดของยายซาร่า ไม่ใช่ระเบิดพลีชีพ


    แต่เป็นระเบิดพริกไทย!


    เสียงไอค่อกแค่กดังสนั่น ตามมาด้วยเสียงโอดครวญทรมาน เพราะแสบเบ้าตากับโพรงจมูกสุดจะบรรยาย


    แล้วเสียงหัวเราะของยายซาร่าก็ดังขึ้นท่ามกลางกลุ่มควันสีเทา








Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
rcngfylwb (@gfjyellow__)
ชอบการปลอมจดหมายช่วยเจค เป็นวิธีที่อ่อนโยนมากจริง ๆ ส่วนหญิงเพี้ยนซาร่าก็แสบสุด ๆ 5
Samanthachiew (@Samanthachiew)
@gfjyellow__ 55555