3
แผนของฟิชเชอร์ฟังดูน่าเชื่อถือ และดูดีมาก -- มากจนผมอดรู้สึกทึ่งในตัวเขาไม่ได้
ฟิชเชอร์เป็นคนที่มีความเป็นผู้ใหญ่เกินวัยตัวเองมาโดยตลอด แม้แต่เจคเองก็ลงความเห็นเช่นนั้น
ตั้งแต่จำความได้ ผมก็เห็นฟิชเชอร์เป็นคนแบบนี้ไม่เคยเปลี่ยน ฟิชเชอร์เป็นคนที่ไม่เคยหยุดนิ่ง เขาเป็นนักคิดพอๆกับที่เป็นนักปฏิบัติ
เริ่มต้นจาก ผมเห็นเขาเรียนรู้การโกหกอย่างแนบเนียน เพื่อให้ได้ของที่ตนเองต้องการ จากนั้นก็พัฒนาเป็นการโก่งราคา โดยการครอบครองสินค้าหายากไว้ที่ตนเอง เขาเรียนรู้ที่จะวางแผนซ่อนของมีค่าเอาไว้ตามตรอกซอยต่างๆ ที่ในจุดที่คุณคาดไม่ถึง แม้แต่เจ้าถิ่นกับตำรวจก็คาดไม่ถึงเช่นเดียวกัน -- อันที่จริงผมคิดว่าจนถึงวันนี้ พวกเขาก็ยังตามหากันไม่เจอ
ฟิชเชอร์ใช้เวลาเกือบทั้งวันหมดไปกับการสังเกตสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในเมือง -- ทั้งเขตหลังเมือง และในตัวเมือง -- เขาช่างสังเกตมาก มากจนสามารถจำรายละเอียดของผู้คน ปะติปะต่อเรื่องราวของผู้คนเข้าด้วยกัน จนได้เป็นข้อมูลส่วนตัว และความลับทั้งหลาย จากนั้นเขาก็ดึงข้อมูลเหล่านั้นมาใช้ประโยชน์ได้หลายต่อหลายครั้ง
และสุดท้าย ฟิชเชอร์ก็ถลำไปจนถึงเรียนรู้การทำระเบิดอย่างง่าย
ตอนแรกผมมองว่าฟิชเชอร์พยายามทำให้ตัวเองเป็นตัวสร้างปัญหาโดยใช่เรื่อง แต่เมื่อเห็นว่าเขาสามารถใช้ทักษะเหล่านั่น ทำให้ตัวเองรอดพ้นจากการจับกุมของเจ้าถิ่น และผู้คนที่ดาหน้าเข้ามาปะทะเขาได้เกือบทุกครั้ง ผมก็เริ่มเปลี่ยนความคิด -- บางทีฟิชเชอร์อาจจะไม่ได้พยายามสร้างปัญหาให้ตัวเอง บางทีเขาอาจจะทำทั้งหมดนั่น เพื่อไม่ให้ตัวปัญหาตามมาก่อกวนชีวิตเขาก็เป็นได้
ดังนั้นแล้ว เมื่อฟิชเชอร์ในวัยยี่สิบห้าปี กลายเป็นเด็กหนุ่มร่างสูง แข็งแรง หน้าตาดุดัน และพูดจาด้วยน้ำเสียงเอาจริงเอาจัง มาหาผมพร้อมด้วยมือขวาอย่างเจค ผมก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเชื่อในสิ่งที่เขาบอก
แผนของฟิชเชอร์เริ่มต้นจากให้เราทุกคนสวมสูทสุดเนียบ พร้อมกับแว่นตาดำแวววับ -- ที่เราไม่รู้ว่าเขาไปเอามาจากไหน
เขามองหน้าเจค สลับกับหน้าผม ก่อนจะพูดสรุปแผนเป็นครั้งที่สอง
“ฉันรู้ว่าพวกนายตื่นเต้น เพราะฉันเองก็ตื่นเต้นเหมือนกัน” เขาว่า “แต่เราต้องมีสติ จำเอาไว้ สติจะพาให้เราทำทุกอย่างไปจนถึงฝั่งฝันเอง มันคือใบพายของเรือที่เราลงมาด้วยกันแล้ว ถ้าใบพายของใครพังหรือหายสาบสูญไป เรือมีอันวายวอด ถ้าไม่อยากให้เรือระเบิด แล้วต้องบอกลาเรือสำราญสุดหรูของเรา--ฉันหมายถึงเรือจริงๆที่ท่าเรือ--ทุกคนต้องมีสติอยู่กับตัวตลอดเวลา เข้าใจตรงกันนะ”
ฟิชเชอร์ถูมือไปมา
“ฉันจะเป็นคนเดินนำขบวนเข้าไปเอง -- เจค กับซันนี่ นายสองคนเดินคู่ตามฉันมา หลังจากที่ฉันลงมือเปิดฉาก เจค นายตามประกบฉัน เราคนหนึ่งจะโกยเงิน และอีกคนหนึ่งจะคุมสถานการณ์ เผื่อกรณีมีใครคิดจะทำตัวเป็นพระเอกขึ้นมา จะได้ตักเตือนเป็นตัวอย่างได้ทัน ว่าอย่ามาทำตัวเท่ผิดเวลากับพวกเรา -- และนาย ซันนี่ หน้าที่ของนายคือดูต้นทาง นายต้องสอดส่องยาม และตำรวจไว้ให้ดี หน้าที่นายสำคัญมาก นายต้องส่งสัญญาณให้พวกเรารู้ตัว ก่อนที่จะหนีกันไม่ทัน เข้าใจไหม ถ้าเราโกยเงินทัน คุมสถานการณ์อยู่หมัด แต่เผ่นไม่รอด ก็เท่ากับเรือพายแตกก่อนที่จะไปถึงเรือสำราญ เข้าใจไหม -- เรือสำราญจะออกห้าโมงเย็น เราต้องไปที่นั่นตรงเวลา ไม่ช้าหรือน้อยไปกว่านั้นสักนาที เอาล่ะ ใครมีคำถามอะไรไหม”
“เราจะรู้ได้ไงว่าบนเรือนั่น จะไม่มีใครจับเราส่งเข้าคุก” เจคยิงคำถาม
“อ๋อไม่หรอก ไม่มีอะไรแน่นอนและปลอดภัยเลยบนเรือลำนั้น แต่ฉันได้ทำให้มันปลอดภัยแน่นอนแล้ว มีคนของเราและที่ซ่อนสำหรับเราบนเรือลำนั้น เดี๋ยวพวกนายก็จะเข้าใจเอง ว่าทำไมมันถึงปลอดภัย -- ฉันใช้ข้อมูลให้เป็นประโยชน์นิดหน่อยน่ะ”
ผมยกมือ
“ว่าไงซันนี่”
“ทำไมเราต้องย้อมผมกันด้วย” ผมถาม มองสีผมของแต่ละคนที่ดูแปลกตา เจคผู้เคยมีผมสีน้ำตาล ได้กลายเป็นสีดำสนิทไปแล้ว ส่วนฟิชเชอร์ที่เคยมีผมสีทอง ก็กลายเป็นสีน้ำตาลเข้ม ส่วนเส้นผมสีน้ำตาลของผมก็กลายเป็นสีทอง ซึ่งมันดูงี่เง่ามาก ถ้าคุณจะถามผมน่ะนะ
“เขาเรียกว่าการปลอมตัว ไอ้น้อง”
“ใช่ ลูกพี่พูดถูก” เจคเออออ พร้อมกับสวมแว่นตาดำ “ถึงแม้ว่าแผนการปล้นนี่จะใช้เวลาไม่นาน แต่เราต้องไม่ประมาท จนกว่าเราจะไปถึงเรือสำราญ และล่องทะเลไปไกลพอที่จะไม่มีใครตามตัวเราได้”
ผมไม่ขัดคอใคร เพราะถึงอย่างไร ผมก็กลายเป็นไอ้หนุ่มหัวทองไปแล้ว
ในเมื่อไม่มีใครตั้งคำถามอีก ฟิชเชอร์จึงเริ่มเดินหน้าแผนการปล้น เรามองหน้ากัน สูดลมหายใจเข้าลึกๆ พยายามขับไล่ความตื่นเต้นที่เกิดขึ้น และพยายามไม่สนใจเหงื่อที่เริ่มไหลมาตามขมับ และฝ่ามือ -- เราต้องเชื่อมั่นในแผน -- ต้องพยายามขับไล่ความคิดที่ว่าพวกเรา “มือใหม่” ออกไปจากหัว
เราสามคนสวมถุงมือดำ ขยับแว่นดำให้เข้าที่ คว้าปืนมาซุกเข้าด้านในสูทตัวเนียบ จากนั้นก็ลงจากรถ แล้วเดินหน้าสู่จุดหมาย ฟิชเชอร์เดินนำขบวน มีเจคประกบขวา ผมประกบซ้าย เขาออกแรงผลักให้ประตูเปิดออก เผชิญหน้ากับกลุ่มคนในร้าน จากนั้นก็สูดลมหายใจเข้าลึก แล้วพูดออกมาเสียงดังลั่นว่า “เฮ้ย!”
“มากันกี่ที่คะ”
เสียงเล็กๆดังขึ้นจากด้านข้างพวกเรา ทำให้พวกเราต่างพากันสะดุ้งโหยง
เราสามคนหันไปมองต้นเสียง ร่างเล็กๆของสาวเสิร์ฟที่กำลังถือกระดาษกับดินสอในมือ ดวงตาจับจ้องมาที่พวกเราอย่างรอคอย
เราสามคนคงจะยืนนิ่งไปนาน เพราะเธอกระแอมไอออกมาอีกครั้ง เหมือนจะเตือนให้พวกเราตอบเธอ
“เอ่อ -- สามที่ครับ” เป็นผมที่เผลอกระซิบตอบ และค่อยๆชูสามนิ้วขึ้นมา
ฟิชเชอร์กับเจคหันขวับมาทางผม แม้ว่าจะสวมแว่นตาดำอยู่ ผมก็พอเดาได้ว่าสายตาพวกเขาคงจะสะท้อนคำด่าในใจออกมาเป็นร้อยเป็นพันคำ
รู้ตัวอีกที พวกเราสามคนก็มานั่งเบียดกันอยู่ที่โต๊ะกาแฟเล็กๆของมุมร้าน มีน้ำเย็นสามแก้ววางไว้ตรงหน้า
“เดี๋ยวสักครู่ฉันจะมารับออเดอร์นะคะ แต่หากพวกคุณพร้อมจะสั่งแล้ว สามารถเรียกฉัน หรือสเตซี่ได้เลยค่ะ เราสองคนจะรับออเดอร์ไปให้พวกคุณเอง” สาวเสิร์ฟที่ติดป้ายชื่อว่านาเดียบอก ขณะที่มองดูสูทและแว่นของพวกเราด้วยสายตาแปลกๆ “เอ่อ -- และหากพวกคุณต้องการ ทางร้านมีบริการฝากเสื้อคลุมค่ะ” เธอพูดเบาๆ ก่อนจะเดินจากไป
ในตอนนั้นเองที่ผมกลายเป็นเชลยสังคมจากเพื่อนทั้งสอง และถูกฟิชเชอร์ตบหัวดังป้าปใหญ่
“ไอ้ซันนี่น้องรัก เรารู้นะว่านายซื่อ -- และบื้อ แต่ไม่รู้จริงๆ ว่าจะบื้อจนงี่เง่าได้ขนาดนี้ เฮ้ย! นี่เรามาปล้นนะ ไม่ใช่มานั่งร้านขนมหวานกัน ทำอะไรลงไปน่ะ ไอ้บ้า อยากกินนักใช่ไหม ขนมเค้กน่ะ! ห้ะ! อยากกินนักเรอะ!”
แล้วตบซ้ำอีกป้าปนึง
ซึ่งพูดตามตรง ผมว่าผมสมควรโดนแค่ป้าปเดียว และป้าปที่สองก็ทำให้ผมมีน้ำโหขึ้นมา “ก็แล้วนายพามาปล้นร้านขนมหวานทำไมล่ะ ฟิชเชอร์! มันจำเป็นเรอะ เช่าสูทมาเพื่อที่จะปล้นร้านขนมหวานที่นายด่าเจ้าของเขานักหนาน่ะ! ธนาคารอยู่ไม่กี่บลอคไปจากนี้ ทำไมไม่ไปที่นั้นให้คุ้มค่าสูทล่ะ!”
ฟิชเชอร์ชี้หน้าผม เส้นเลือดเริ่มปูดขึ้นมาตามขมับ “อย่านะ! นายอย่ากล้าดีมาขึ้นเสียงยอกย้อนฉันเชียว ซันนี่ ไอ้ตะวันดับแสง! เราตกลงกันแล้ว ธนาคารน่ะแค่แหล่งอ้างอิงให้เป็นตัวอย่างการปล้นเท่านั้น การวางแผนปล้นธนาคารที่มีระบบป้องกันสูงอย่างนั้น และมีเวลาหนีอันน้อยนิดน่ะ มันไม่คุ้มเสี่ยง! เสี่ยงทุกอย่างทั้งคนที่พยายามทำตัวเป็นพระเอก ระบบสัญญาณเตือน และไหนจะยามรักษาความปลอดภัยอีก! แลกกับการปล้นถล่มร้านขนมหวานที่ค้ากำไรเกินงาม เงินอื้อซ่าล้นร้าน ไร้ระบบป้องกันใดๆ ไม่มีทั้งยาม ไม่มีทั้งปืน จะมีก็แต่ผู้หญิงบอบบางๆ ที่ในสมองมีแต่ขนมเค้กกับวิปครีมน่ะ มันปล้นง่ายยิ่งกว่าอ้าปากด่านายหลายร้อยเท่า! และนายก็รู้ว่าการด่านายน่ะ มันง่ายสำหรับฉันแค่ไหน ซันนี่!”
แล้วฟิชเชอร์ก็สบถด่าผมมาท่อนหนึ่ง หยาบคายสะท้านจิตจนทำเอาโต๊ะที่อยู่ห่างออกไป แว่วได้ยินแล้วเผลอสะดุ้งหันมาทางเรา
เป็นเจคที่คอยห้ามทัพ “เฮ้ๆ ไม่เอาน่า ทำแบบนี้ ไม่ได้ช่วยให้เราออกไปจากเมืองนี่เร็วขึ้นกว่าเดิมเลยนะ”
เจคเหลือบมองนาฬิกาบนผนังร้าน
“บ่ายสองแล้ว เหลือเวลาอีกสามชั่วโมง ก่อนที่เรือสำราญจะออกท่า ถ้าพวกเราอยากจะหนีให้ทันเวลา พร้อมกับเงินก้อนโต เราต้องเริ่มลงมือแล้ว ตอนนี้ในร้านมีคนประมาณสิบคน เรายังคุมกันไหว”
ฟิชเชอร์สะบัดศีรษะไปมา ราวกับขับไล่อารมณ์แปรปรวนออกไปจากสมอง ขยับแว่นดำด้วยท่วงท่าที่ดูกลับมาเอาจริงเหมือนเดิม
“เอาล่ะ” ฟิชเชอร์ถอนหายใจ “แผนเดิม หน้าที่เดิม เข้าใจนะ ซันนี่ นายดูต้นทาง ส่วนฉันกับเจคจะเริ่มเปิดฉากเอง”
เป็นตอนนั้นเองที่สาวเสิร์ฟนาเดียเดินกลับมาที่โต๊ะเรา “ไม่ทราบว่าจะรับอะไรดีคะ” เธอถาม
ฟิชเชอร์กับเจคมองผม
ผมมองพวกเขาผ่านแว่นดำ -- ไม่แน่ใจว่าสัญญาณที่ส่งมานั่นหมายถึงอะไร -- ผมหมายความว่าพวกเขาเองก็สวมแว่นดำอยู่เหมือนกันนี่ -- ผมจึงทำไปตามสัญชาตญาณ
“เอ่อ -- โกโก้ร้อนสามที่ครับ”
“แก้วเล็กหรือใหญ่คะ”
“เล็กครับ”
“เพิ่มวิปครีมไหมคะ”
“พวกนายเอาวิปครีมไหม” ผมหันไปถาม ก่อนจะรีบหันกลับมาตอบนาเดียแทบไม่ทันว่า “เอาครับ”
ทันทีที่นาเดียเดินจากไป ผมก็โดนฝ่ามือของเจคกับฟิชเชอร์พร้อมกันดังป้าปใหญ่
“โกโก้เหรอ ห๊ะ ไอ้น้อง ชีวิตนี้ขาดน้ำตาลมากสินะเอ็ง” ฟิชเชอร์กัดเข้าให้ พร้อมกับกระชากเส้นผมของผมเต็มกำมือ
“หน้าตาพวกฉันดูอยากกินวิปครีมมากไหม ห๊ะ ซันนี่ ตอบมาซิ ตอบให้เข้าหูนะ!” เจคตบแก้มผมเข้าให้จนเป็นรอยแดง
“ก็ฉันทำไปตามสัญชาตญาณ” ผมว่า น้ำตาไหลจากความเจ็บปวดตามหนังศีรษะและผิวแก้ม “ก็แล้วจะให้ทำยังไงล่ะ ฉันไม่เคยมีประสบการณ์นี่ ถ้าไม่อยากให้แผนแตก ฉันก็ควรที่จะเล่นตามน้ำไปไม่ใช่เรอะ”
ฟิชเชอร์กับเจคส่ายหน้าไปมา ล้มเลิกที่จะเถียงกับผม
“ซาร่าอยู่ที่ไหนน่ะ” เจคพูดราวกับเพิ่งนึกขึ้นได้ “ทำไมฉันไม่เห็นเธอเลย ตั้งแต่เข้าร้านมา”
“ยายนั่นไม่กลับเข้าร้านเร็วหรอก เมื่อคืนเธอเพิ่งเข้าบาร์เหล้าไป -- อันที่จริงก็หลายวันติดต่อกันแล้วล่ะ” ฟิชเชอร์พูดเรียบๆ ยักไหล่ใส่ผมกับเจคที่ขมวดคิ้ว -- นี่เขาคิดจะทำตัวเป็นคลังข้อมูลขนาดนี้ไปอีกนานไหมนะ ผมนึกสงสัย
แต่แล้วฟิชเชอร์ก็ชะงักไป เขาหันไปทางประตูร้านที่เปิดออก และตามมาด้วยเสียงโหวกเหวกดังลั่นร้าน
พวกเราหันตามไป และพบว่ามันคือเสียงของกลุ่มนักกีฬาไฮสคูลที่เพิ่งบุกเข้าร้านมา เด็กหนุ่มกลุ่มนั้นดูบึกบึน และกำลังอยู่ในวัยที่สนุกสนานเต็มที่ -- ที่ผมพูดแบบนั้น ก็เพราะว่าพวกเขาดูเหมือนจะเมานิดๆ หน้าแดงก่ำ และหัวเราะร่วนกันผิดธรรมชาติ -- ดูเหมือนพวกเขาจะไปสนุกกันมาข้ามวัน และพาตัวเองมาจบลงในสถานที่ที่ดูขัดกับตัวเองสุดๆอย่างร้านขนมหวาน
ถ้าเป็นปกติ ผมคงคิดว่าพวกเขาดูน่าหัวเราะไปแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะตัวผมเองกับเพื่อนอีกสองคนกำลังแต่งชุดสูทสุดเนียบ พร้อมกับโกโก้(เพิ่มวิปครีม)สามแก้ว
“ยุ่งยากขึ้นมาอีกนิด ลูกพี่” เจคกระซิบกับฟิชเชอร์ ซึ่งผมเห็นด้วยกับเขา -- ใครจะไปรู้ว่ากลุ่มเด็กหนุ่มนักกีฬานี้ จะอยากทำตัวเป็นพระเอกขึ้นมารึเปล่าในตอนที่เราปฏิบัติการ
“ไม่มีเวลาจะลังเลแล้ว เรามาไกลกันเกินกว่าจะถอย” ฟิชเชอร์ตอบ และเขาพูดถูกทีเดียว มาถึงนาทีนี้ เราต้องไม่ให้เด็กหนุ่มที่มีกล้ามบึกมาขวางทางระหว่างเรากับตั๋วทองออกจากเมืองนี้
“โกโก้อร่อยไหมคะ” เด็กสาวคนหนึ่งเดินเข้ามาทักเรา ใบหน้าหวานส่งยิ้มโปรยปรายมาให้ ขณะที่สอดส่องไปตามเสื้อสูทและแว่นตาของพวกเรา
แต่ไม่มีใครตอบเธอ
“ฉันชื่อโดฟ” เธอแนะนำตัว นิ้วมือขางหนึ่งขดไปตามลอนผมสีบลอนด์ของตัวเอง “พวกคุณดูไม่เหมาะกับที่นี่เลยนะ”
“เหรอ งั้นเหมาะกับที่ไหนละ” เจคผู้ชอบไหลตามผู้หญิงหันไปตอบเธอในที่สุด
“ไม่รู้สิ -- ธนาคารมั้งคะ”
“ธนาคารหรือ” เจคเลิกคิ้ว “เธอคิดว่าพวกฉันดูเหมือนนายธนาคารที่นั่งนับธนบัตรประมาณนั้นหรือ”
“เปล่าหรอกค่ะ พวกคุณดูเหมือน -- คนคุ้มกัน -- แบบที่นักธุรกิจใหญ่โตเค้าชอบมีกันในหนังน่ะ” เธอหัวเราะ น้ำเสียงดูร่าเริงเกินจริง “พวกคุณมาตามคุ้มกันใครอยู่หรือเปล่านี่”
“เปล่าครับ คุณผู้หญิง” เจคตอบสาวโดฟ “วันนี้พวกเราแค่มานั่งพักผ่อน ดื่มโกโก้ร้อนกันเท่านั้น” จากนั้นก็ยกแก้วโกโก้ให้เธอดู แล้วจิบนิดๆอย่างมีจริต ก่อนจะอุทานออกมาว่า “เฮ้ย!”
“โกโก้คุณซาร่า อร่อยที่สุดค่ะ คุ้มกับราคา”
“เปล่า ผมหมายความว่า -- เฮ้ พวกนายลองชิมดูสิ” เจคชักชวนพวกเรา ขณะที่อมยิ้มอยู่ที่มุมปาก
พวกเราชิมโกโก้ แล้วต้องนิ่งไปชั่วขณะ
“รสชาติโกโก้คุณซาร่าอร่อยคุ้มราคาจริงๆค่ะ” สาวเจ้ายืนยัน จากนั้นก็ชี้ไปที่ป้ายราคาข้างๆเรา -- ป้ายที่เราไม่ทันสังเกตมาก่อน -- แล้วมันก็ทำให้เรานิ่งตะลึงไป -- ราคาโกโก้ของที่นี่ เท่ากับค่าแรงแบกของของเราเกือบทั้งวันได้เลยทีเดียว
โดฟถือวิสาสะเดินเข้ามาใกล้เราขึ้นไปอีก “นี่ ถ้าคุณกำลังว่าง และไม่ว่าอะไร ช่วยคุ้มกันฉันบ้างสิ”
“จากอะไรหรือ คนสวย”
“จากตาหัวแดงคนนั้นค่ะ” โดฟชี้มือไปที่เด็กหนุ่มคนหนึ่งในกลุ่มนักกีฬาไฮสคูล เขาดูตัวใหญ่ที่สุด และเป็นหัวโจกของทุกคนในกลุ่ม หน้าที่เต็มไปด้วยกระกำลังแดงเล็กน้อยด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ที่ค้างอยู่ในกระแสเลือด
“เจ้าหัวแดงมันทำอะไรคุณหรือโดฟ”
“เขานอกใจฉัน” โดฟพูดเสียงแข็ง ดูฉุนเฉียวขึ้นมาทันที “เขาทิ้งฉันไปหาผู้หญิงที่แก่กว่า สวยน้อยกว่า ขาใหญ่กว่า จนกว่า โง่กว่าฉัน และที่สำคัญ เธออกไข่ดาว!”
“ถ้าเขาทิ้งเธอ แล้วมันจะนับว่าเขานอกใจเธอได้ยังไง” ผมถาม
โดฟถลึงตาใส่ผม “เขานอกใจฉัน แล้วจากนั้นก็ทิ้งฉันไงล่ะ!”
เราสามคนจ้องมองเธอพูด มองหน้าอกเธอ ก่อนจะหันไปมองหนุ่มหัวแดง -- ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับหนุ่มสาวคู่นี้ก็ตาม มันทำให้เราเริ่มสงสัยว่ามันเกี่ยวกับ เรา ด้วยหรือ
“ที่รัก ฉันพอรู้ว่าเธอคงเกลียดความรู้สึกที่เป็นฝ่ายถูกทิ้ง” เจคเรียกโดฟให้หลุดจากภวังค์แค้น “ลืมเจ้าหน้าตกกระนั่นไปเถอะ เธอหาใหม่ได้ดีกว่าหมอนั่นอยู่แล้วล่ะน่า”
“ใครๆก็ว่าอย่างนั้น” โดฟกัดฟัน “แต่ฉันไม่ชอบถูกแย่งของที่เป็นของฉัน”
ฟิชเชอร์เหลือบตามองโดฟ แต่ปล่อยให้เจคเป็นคนยิงคำถามต่อไป
“แล้วเธอจะให้พวกฉันคุ้มกันอะไรเธอ โดฟ ในเมื่อ -- ดูเหมือนพวกเธอก็ต่างคนต่างอยู่กันไปแล้วนี่”
โดฟหัวเราะเสียงสูง ริมฝีปากที่ทาลิปสติกสีแดงสดเหยียดยิ้ม “อ๋อ เขาคิดว่าเขาเป็นอิสระจากฉัน แต่ไม่หรอก เขาแค่ยังไม่รู้ตัวเท่านั้น ว่าอีกไม่นานเขาก็ต้องกลับมาหาฉัน -- อาจจะไม่เกินสิบนาทีข้างหน้านี่”
แล้วโดฟก็ดึงตั๋วคู่หนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อคลุม ทำเอาเราสามคนชะงักไป
-- มันคือตั๋วเรือสำราญ
“เดี๋ยวเขาก็จะรู้ตัว ว่าเขาทำตั๋วสองใบนี่หาย แล้วเขาจำเป็นต้องกลับมาเอาที่ฉัน” โดฟพูดอย่างผู้ชนะ “เขาวางแผนที่จะใช้ตั๋วสองใบนี่ หนีไปกับยายผู้หญิงคนนั้น บอกลาชีวิตน่าเบื่อๆในเมืองบ้านนอกนี่ไปพร้อมกับวัยจบไฮสคูล ไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ในเมืองใหญ่ที่ไม่ได้เหม็นคาวปลา เรื่องน้ำเน่าพอๆกับเพลงวางแผนหนีตามกันในวิทยุนั่นแหละ แต่ก็นั่นล่ะ มันโรแมนติกสุดๆเหมือนกัน และฉันไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นแน่ วันนี้จะต้องไม่มีใครหนีตามกันได้ นอกจากฉันกับอิ๊กกี้!”
ในตอนนั้นเองที่ประตูร้านเปิดขึ้นอีกครั้ง นายอิ๊กกี้สุดที่รักของเธอหันไปมองร่างบางที่เดินเข้าประตูมา เขาส่งเสียงเรียกชื่อเธอคนนั้นออกไป พร้อมกับวิ่งไปกอดเธออย่างแนบแน่น แล้วยกร่างของเธอขึ้นสูง ในขณะที่บรรดาเพื่อนๆนักกีฬาต่างส่งเสียงร้องและแซวกันหนวกหูลั่นร้าน
“ยายอกไข่ดาวนั่น!” โดฟเค้นเสียง กำตั๋วในมือแน่นจนยับยู่ยี่
แล้วในนาทีที่ร่างของผู้หญิงคนนั้นถูกหมุนกลับมาทางเรา ผมก็เพิ่งเห็นหน้าเธอชัดๆ
เป็นช่วงเวลาที่เหมือนมีพลังงานบางอย่างเกิดขึ้นอย่างมหาศาล มากจนทำให้เสียงรอบข้างต่างเงียบสงบไปทันที หูของผมได้ยินแต่เสียงหัวเราะของเธอ ราวกับว่าเธอกำลังหัวเราะอยู่ข้างหูผมในขณะนี้ -- ผมได้ยินแต่เสียงหัวใจของตัวเองเต้นแรงดัง ตึก-ตัก เหมือนเสียงกลองที่ตีระรัว --
เป็นเสียงของฟิชเชอร์ที่เรียกให้ผมกลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง
“เสียเวลากันมากแล้ว” เขาพูด เหยียดแผ่นหลังตั้งตรง และมือข้างหนึ่งล้วงเข้าไปในเสื้อสูท “เริ่มกันได้แล้ว”
ไม่รู้เป็นเพราะแวบหนึ่งผมรู้สึกเหมือนฟิชเชอร์มองมาทางผม หรือเป็นเพราะการขยับตัวอย่างรวดเร็วของฟิชเชอร์ มันเลยกระตุ้นให้ผมตัดสินใจทำในสิ่งที่ไม่คาดคิด
ผมลุกขึ้น แล้วเดินตรงไปทางกลุ่มนักกีฬาและหญิงสาวผมสีเข้ม หูแว่วได้ยินเสียงเพื่อนตัวเองมาจากทางด้านหลัง
“เก่งมาก ซันนี่! ในที่สุดแกก็เป็นผู้ใหญ่!” เจคร้อง ดูเป็นปลื้มกับการที่ผมตัดสินใจเปลี่ยนมาเป็นคนเปิดฉาก
มือข้างหนึ่งของผมล้วงเข้าไปในสูท กำกระบอกปืนแน่น สองหูไม่ได้ยินอะไรนอกจากเสียงฝีเท้าตัวเอง ยิ่งผมเดินเข้าไปใกล้มากเท่าไหร่ ผมยิ่งเห็นใบหน้าของทุกคนชัดมากขึ้นเท่านั้น -- โดยเฉพาะใบหน้าของเธอคนนั้น
แวบหนึ่งเราสบตามองกัน -- แล้วดวงตาสีเขียวสดคู่นั้นก็ทำให้ผมนิ่งตะลึงไป มันทำให้ผมคิดได้ ว่าในที่สุดแล้ว อะไรคือสิ่งที่ผมควรทำเสียที
ผมปล่อยมือจากกระบอกปืนอันเย็นเฉียบ สูดลมหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง ก่อนจะเลี้ยวหัวมุม --
--เดินเข้าห้องน้ำ
ฟิชเชอร์กับเจคมองเห็นทุกอย่าง และทั้งหมดที่พวกเขาเห็นคือลูกน้องที่พวกเขาปลื้มใจ เดินเปิดฉาก แล้วเลี้ยวเข้าห้องน้ำไปหน้าตาเฉย
“อะไรว่ะนั่น” พวกเขาสบถออกมา
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in