1
“ชีวิตมันเฮงซวย” เสียงแหบห้าวดังขึ้นภายในห้องเล็กๆห้องหนึ่ง -- เล็กมากจนผมรู้สึกเกือบไม่มีอากาศหายใจ -- แหงล่ะ ห้องนี้มันมีแค่พื้นที่ให้ผมเดิน ส่องกระจก อ่านหนังสือ และซิทอัพ -- แต่ถึงอย่างนั้นบรรยากาศรอบตัวก็พาทำให้ผมรู้สึกหลอดลมตีบตันอยู่ตลอดเวลา และผมได้สรุปกับตัวเองว่าถ้าไม่ใช่เพราะความอับทึบของอากาศที่ไม่ถ่ายเท มันก็ต้องเป็นเพราะเสียงบ่นจากห้องข้างๆ
-- อย่างเช่นในตอนนี้เป็นต้น
“ฉันจะไม่ทนอีกต่อไป” เสียงนั้นพูด
ผมเหลือบมองเพดานอิฐสีหมอง ขณะที่ทอดตัวนอนอยู่บนพื้นอันเย็นเฉียบ สองหูฟังคำพูดอันดุเดือดมาจากห้องข้างๆ
“นี่ไม่ใช่ที่ที่เราสมควรอยู่” จากนั้นก็เงียบไปเหมือนใช้ความคิด “-- นี่พวกนายฟังฉันอยู่ไหม”
แมงมุมตัวหนึ่งกำลังไต่อยู่ข้างกำแพงในห้องผม -- หวังว่ามันจะไม่มาก่อกวนผมในกลางดึกนะ
“เฮ้! ได้ยินฉันไหม”
เพราะผมไม่ชอบให้อะไรมาไต่ตัวผม ในตอนที่ผมกำลังเคลิ้มหลับเอาเสียเลย
“ซันนี่ --”
และผมก็ไม่ชอบให้ใครมาเรียกชื่อผมแบบระบุเจาะจง ในตอนที่รอบตัวเงียบเชียบเช่นเดียวกัน -- คุณเข้าใจนะ มันทำให้ผมรู้สึกเป็นเชลยสังคมอะไรสักอย่าง เหมือนกับตอนเด็กๆ ที่ถูกครูเรียกชื่อห้วนๆ ในขณะที่ทั้งห้องกำลังตั้งใจเรียน
“ซันนี่ ฉันรู้ว่านายกำลังฟังฉันอยู่” เสียงนั้นว่า “เลิกนอนแผ่บนพื้นแข็งๆนั่น แล้วขานตอบฉันมาซะ เจ้าบ้า -- และรู้เอาไว้นะ พื้นแข็งๆนั่นจะทำให้หลังนายหักสักวัน จำคำพูดฉันไว้”
“ก็ได้ ฟิชเชอร์ ฉันฟังนายอยู่”
“ฉันคิดว่ามันไม่ถูกต้องที่เรามาอยู่ที่นี่ และฉันคิดว่าเราต้องไม่ทนอีกต่อไป”
ผมนิ่งคิดกับคำพูดนั้น แล้วจึงตอบว่า “นายพูดคำนั้นไปแล้วนะ ฟิชเชอร์”
“ซันนี่ อย่าขัดฉัน” ฟิชเชอร์ขู่ฟ่อกลับมา ผมพอจะนึกภาพออก ว่าใบหน้าของเขาคงจะดูเหมือนหมาล่าเนื้อที่อารมณ์เสียสุดๆ คิ้วดกหนาคงขมวดเป็นปม ริมฝีปากเผยอ ยิงฟันแยกเขี้ยว ริ้วรอยก่อนวัยปรากฏตามหน้าผาก และดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นก็จะดูดุดัน เหมือนหมาที่กำลังจ้องตะครุบเหยื่อ
ครั้งล่าสุดที่ผมเห็นฟิชเชอร์กลายร่างเป็นหมาล่าเนื้อ คือตอนที่เขาคิดแผนอันล้ำเลิศขึ้นมาได้ -- อย่างน้อยเขาก็มั่นใจว่าแผนของเขาเป็นอย่างนั้น -- และเราก็มั่นใจว่าแผนของเขาเป็นอย่างนั้นจริงๆ
แต่นั่นมันก่อนที่เราจะรู้ว่าความวุ่นวายอันบ้าคลั่งได้รอพวกเราอยู่
“มันมีเหตุผลที่เรามาอยู่ที่นี่นะ ฟิชเชอร์” ผมบอกเบาๆ เริ่มรู้สึกปวดหลังขึ้นมาเล็กน้อย “ทั้งฉัน ทั้งนาย ทั้งเจค พวกเราสามคนไม่ได้มาติดแหง็กอยู่ที่นี่โดยบังเอิญ”
“โอ้ย แหงล่ะ! แต่ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องบังเอิญทั้งหลายนั่น เราก็คงจะไม่มาอยู่ที่นี่” ฟิชเชอร์โวยโดยที่พยายามลดเสียงไม่ให้ดังจนเกินไป “ไม่อย่างนั้น ป่านนี้เราคงเป็นเศรษฐีอยู่ในเรือสำราญสุดหรู สวมสร้อยทองคำแวววับ และดื่มไวน์กันจนโลกดับไปแล้ว”
ผมนึกถึงแผนของฟิชเชอร์ นึกถึงเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้น บางทีเขาอาจจะถูก -- ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องบ้าๆที่จู่ๆก็เกิดขึ้นมากะทันหันนั่น พวกเราก็คงไม่มาติดแหง็กอยู่ที่นี่
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเรามาอยู่ที่นี่โดยบังเอิญอยู่ดี -- สุดท้ายแล้ว ดูเหมือนนี่เป็นสถานที่ที่เรารนหาเรื่องเสี่ยงเข้ามาเองด้วยซ้ำ
เพราะแผนของฟิชเชอร์ เป็นแผนที่ไม่ได้เสี่ยงธรรมดา แต่เป็นแผนที่อันตรายด้วย
“และซันนี่ ถ้าไม่ใช่เพราะลูซี่ของนาย แผนก็คงไม่เละเทะเป็นมะเขือเทศโดนสับแบบนั้น! นี่เป็นความผิดของนายเหมือนกัน และถ้านายยังรักเพื่อนที่มาติดแหง็กอยู่ที่นี่กับนาย ยังรักฉัน และเจค -- ซันนี่ มันถึงเวลาที่นายต้องฟังแผนใหม่ของฉัน”
คราวนี้ผมลุกขึ้นมานั่งขัดสมาธิกับพื้น รู้สึกถึงความเย็นที่ยังคงอยู่บนแผ่นหลังตัวเอง
ใช่ ผมเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ทุกคนมาติดอยู่ที่นี่
ส่วนนึงแล้วนั้น มันเป็นเพราะผม แผนของเราถึงได้พังพินาศ
และแผนที่ว่านั่น คือแผนปล้นร้านขนมหวาน -- ถ้าให้ระบุชัดกว่านั้นก็คือ ร้านขนมหวานของคุณซาร่า
และที่นั้น คือสถานที่ที่ความวุ่นวายสุดโต่งได้เกิดขึ้น จนเละเทะเป็นมะเขือเทศโดนสับอย่างที่ฟิชเชอร์ได้บอกจริงๆ
และวันนั้นเราทั้งสี่ก็เดินเข้าไปในร้าน โดยไม่รู้เลยว่ากองซากมะเขือเทศกำลังรอเราอยู่
“ฟิชเชอร์!” ผมจำได้ว่าตัวเองตะโกนเรียกชื่อเขาดังลั่น แต่ร่างของฟิชเชอร์ก็นิ่งไม่ไหวติง
“บ้าชะมัด” เขาสบถออกมา ขณะกดบาดแผลตัวเอง เลือดไหลเลอะไปทั่วฝ่ามือ
ปัง!
เสียงปืนดังลั่นร้าน
แล้วเลือดก็ไหลนองบนพื้น พร้อมกับเสียงกรีดร้องโหยหวน เต็มไปด้วยความหวาดกลัว และขวัญผวา
รู้สึกชอบคำว่าเละเทะเป็นมะเขือเทศโดนสับอย่างบอกไม่ถูก เป็นsubtextของคำว่าวุ่นวายโกลาหลที่น่ารักน่าเอ็นดูที่สุดเท่าที่เคยเจอ