เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
#squarreadsquarrium
[Review] ทนายตีนเปล่า : 1984 ที่มีอยู่จริงในจีน
  • The Barefoot Lawyer  ทนายตีนเปล่า

    ผู้เขียน : เฉินกวงเฉิง
    ผู้แปล : ปิยะวัตน์
    สำนักพิมพ์ : สันสกฤต
    ราคา : 380

    หนังสือที่เขียนโดยเฉินกวงเฉิง ชายตาบอดชาวจีนที่เกิดในชนบท มีฐานะและความเป็นอยู่ยากจนมาก แถมที่บ้านยังมีพี่น้องเยอะ ถึงแม้จะสามารถเป็นแรงงานได้แต่ก็เพิ่มความลำบากเรื่องค่าใช้จ่ายเหมือนกัน ช่วงแรกของหนังสืออาจจะดูเนือย ๆ อยู่บ้าง เพราะเป็นการเล่าเรื่องราวตั้งแต่เด็ก แต่สิ่งที่เราเห็นก็คือความอิหยังวะของตรรกะพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่เราจะเห็นอยู่ตลอดทั้งเล่ม

    และเราก็ได้เห็นการต่อสู้กับความไม่ยุติธรรมมาตลอดชีวิตของเฉินกวงเฉิง

    เป็นคนยากจนที่เกิดในชนบทของประเทศจีนก็แย่พออยู่แล้ว เฉินกวงเฉิงเป็นคนพิการตาบอด ซึ่งก็ใช้ชีวิตลำบากกว่าคนอื่นเค้าเข้าไปอีก แต่เขาก็พยายามจนได้ไปเรียนที่โรงเรียนคนตาบอดในต่างเมืองจนได้ และถึงแม้จะเป็นคนพิการก็ยังต้องเสียภาษีเท่ากับคนอื่น แถมครอบครัวยังต้องเสียมากขึ้นอีก เพราะทุกปีจะต้องมีการออกไปทำงานอาสาเพื่อเก็บชั่วโมง แต่ถ้าพิการและทำงานให้ไม่ได้ก็ต้องจ่ายเป็นเงินแทน

    ชีวิตของกวงเฉิงต้องต่อสู้มาตลอดเวลา ด้วยความที่เป็นคนพิการ การใช้ชีวิตก็จำยิ่งลำบากกว่าคนอื่น สู้ตั้งแต่เริ่มเข้าโรงเรียนและไปเจอกับความไม่ยุติธรรมต่าง ๆ หรือการไปขึ้นรถสาธารณะแล้วโดนเก็บเงิน ทั้งที่กฎหมายก็เขียนไว้ให้ยกเว้นค่าบริการสำหรับคนพิการ 

    สิ่งที่กวงเฉิงใช้อย่างเป็นประโยชน์มากที่สุดอย่างหนึ่งคือ สื่อมวลชน ยิ่งเรื่องไหนที่ได้รับความสนใจ ได้รับการเผยแพร่ไปสู่คนทั่วไปมากเท่าไรก็จะสามารถเรียกเสียงประชาชนและได้รับการแก้ไขเร็วมากขึ้นเท่านั้น 

    ซึ่งมันก็เป็นเรื่องจริงของทุกประเทศทั่วโลก ถ้าสื่อมวลชนยังไม่ถูกควบคุมจนไร้ประโยชน์ไปซะก่อน

    การต่อสู้ที่หนักหน่วงและเปลี่ยนชีวิตที่สุดคือการต่อสู้เพื่อช่วยเหลือชาวบ้านที่ถูกทางการจับไปทำแท้ง เพื่อสนองนโยบายลูกคนเดียว แม่งเป็นประเด็นที่อ่านแล้วขยะแขยงที่สุดเรื่องนึง ไม่ว่าจะการโฆษณาชวนเชื่อด้วยประโยคอันไร้มนุษยธรรมอย่าง "มีแม่น้ำเป็นสีเลือดยังดีกว่ามีคนเพิ่มขึ้นหนึ่งคน" ซึ่งการต่อสู้ครั้งนี้ทำให้เขาโดนเพ่งเล็งจากรัฐบาล โดนตามล่า โดนทำร้าย โดนจับไปขัง จับยัดข้อหา และอีกหลายอย่างที่ไม่ใช่ผู้เจริญเขาทำกัน 

    นโยบายลูกคนเดียวสวนทางกับวิถีของคนจีนที่จะต้องมีลูกเยอะ ๆ เพื่อเอาไว้ช่วยงานครอบครัว ลูกชายเป็นกำลังสำคัญ เป็นความหวัง เป็นแรงงานการเกษตร (และสวนทางกับนโยบายของตัวพรรคในรัฐบาลเหมา ที่กระตุ้นให้คนในชาติมีลูกเยอะ ๆ ยิ่งคนเยอะก็จะยิ่งแข็งแรง)  และลูกผู้หญิงที่ไม่เป็นที่ต้องการเท่าลูกชาย เพราะจะต้องแต่งออก ไม่สามารถอยู่กับพ่อแม่ไปยันแก่เฒ่าได้ ทำให้ประชากรชายในประเทศจีนมีมากกว่าประชากรหญิงอย่างมีนัยยะสำคัญ 

    ตัวเลขมันน่าสนใจจนอดคิดไม่ได้ว่า พ่อแม่จะทำยังไงกับลูกเมื่อรู้ว่าเป็นลูกผู้หญิง .. ?

    การต่อสู้ครั้งนี้ทำให้กวงเฉิงกลายเป็น ทนายตีนเปล่า เต็มตัว เขาใช้วิชากฎหมายที่ทั้งอ่านตำราและศึกษาเองมาช่วยคนเดือดร้อนอย่างเต็มที่ และนั่นก็พาความเดือดร้อนเข้ามาหาเขาซะเอง ด้วยการถูกคุกคามจากทางการ การถูกนำตัวไปขัง คนในครอบครัวคนที่เคยติดต่อกับกวงเฉิงก็ซวยไปด้วย

    เขาถูกคุมตัวที่บ้าน พอเริ่มขยับตัวพวกตำรวจก็เริ่มทำเรื่องวุ่นวาย นำกำลังมาเต็มท้องถนนเพื่อขัดขวางกวงเฉิง แต่แล้วก็จับเขาเข้าคุกเป็นเวลากว่า 4 ปีด้วยข้อหาขัดขวางการจราจร พอออกจากคุกมากก็ยังต้องโดนขังต่อที่บ้านอีก เป็นอะไรที่ทุเรศทุรังและน่ารังเกียจที่สุด นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาต้องลี้ภัยออกนอกประเทศในที่สุด

    และภายในหนังสือยังทำให้เรารู้จักความเป็นจีนมากขึ้น ทั้งในภาคการเมืองและวัฒนธรรม หลาย ๆ อย่างที่ฝังรากลึกอย่างพวกความเชื่อก็แฝงให้เราเห็นทั้งเรื่อง

    เอาล่ะ เล่ามากกว่านี้ก็แทบจะไม่ต้องอ่านแล้ว ไปอ่านเองดีกว่า

    ----

    เราว่าหนังสือเล่มนี้เหมาะกับทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่สนใจประเด็นสังคม ใครที่อ่าน 1984 แล้วอินก็ต้องอ่านเล่มนี้อินเหมือนกัน (เมนชั่นถึงบ่อยมากเพราะนี่คือ 1984 ในชีวิตจริง) มันทำให้เราเห็นความจริงของประเทศมหาอำนาจว่าเบื้องหลังเละเทะขนาดไหน ภายใต้ความยิ่งใหญ่ที่กดทับสิทธิหลาย ๆ อย่างของคนในประเทศอยู่ 

    พออ่านแล้วลองเอามาเปรียบเทียบกับประเทศตัวเอง จะเจอว่าไม่มีอะไรต่างกันเลย เราทุกคนพูดความจริงได้ แต่ไม่การันตีชีวิตหลังจากนั้น อาจจะมีคนมาเคาะประตูบ้านเรียกเราไปปรับทัศนคติ เข้าไปนอนในคุกเล่นซักสามสี่ปี หรือหนักเข้าหน่อยก็พาไปโรงพยาบาลบ้าทำเหมือนเราเป็นผู้ป่วยทางจิต ถ้าทนไม่ได้กับสิ่งนี้ก็คงต้องลี้ภัยไปอยู่ที่อื่น แต่แน่นอนว่าไม่การันตีความปลอดภัยอีกเหมือนเดิม อย่างที่เราเห็น ๆ กัน

    ถามว่าที่ประเทศจีนหนักกว่าเรามั้ย ต้องบอกว่ามากกกกกก ประเทศเรายังสามารถด่าอีตู่หน้า...ติดเทรนด์ทวิตเตอร์กันได้ทุกวัน แต่ถ้าเป็นในจีนออกมาพูดความจริง ออกมาด่าสีจิ้นผิงหรือพรรคคอมมิวนิสต์ของนางขนาดนั้นก็นั่นแหละ อย่างที่เฉินกวงเฉิงและหลาย ๆ คนโดน

    แต่ถึงแม้เราจะต้องโกรธกับมัน เราก็อยากให้ทุกคนอ่าน จะได้ตระหนักถึงความตอแหล เละเทะ และน่าอ้วกของสังคมแบบนั้น และช่วยผลักดันให้สังคมเราเดินไปในทิศตรงกันข้ามให้ได้

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in