ดิฉันเป็นผู้ตามที่ดีมาเสมอค่ะ
ไม่ว่าพี่ไกด์หน้าเหี้ยมจะ บอกให้ทำอะไรดิฉันทำตามหมด
ก้าวขาตรงนี้นะ เหยียบตรงนั้นนะ อย่าทิ้งระยะห่างเพื่อนนะ แต่ต้องรีบเดินนะ อย่าเหยียบแรงนะ แต่ต้องรีบเดินนะ แต่ต้องไม่ทิ้งห่างเพื่อนนะ
เข้าใจค่ะว่าพี่เหี้ยมเค้าซีเรียส ไม่อยากให้เราตายคาน้ำพุร้อนซัลเฟอร์ หรือตกลงไปในกระทะทองแดง
การเดินที่นี่เรียกว่า ต้องเคร่งครัด ก้าวต่อก้าว รอยเท้าต่อรอยเท้า
เริ่มที่พี่เหี้ยมเดินนำและหยั่งเท้าลงไปที่แผ่นเกลือซัลเฟอร์ ที่ข้างใต้มีน้ำเดือดปุดๆ ระอุด้วยไอเหม็นๆของสารอะไรต่อมิอะไรที่ระเหยขึ้นมา
เขาให้ลูกทีมซึ่งเป็นไกด์อีกคน ไล่ต้อนเราจากด้านหลัง เพื่อคอยดูว่าไม่ให้มีคนออกนอกทาง
ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็น เจ๊อเมริกัน ที่ดูตื่นเต้นกับบ่อผุดทุกบ่อที่เจ๊แกผ่าน
ส่วนเจ๊เจนนิเฟอร์น่ะเหรอ ขอตัวที่จะไม่เดินต่อในทางเดินช่วงสุดท้าย และขอเดินย้อนกลับไปทางเดิม โดยให้เหตุผลว่ากลิ่นซัลเฟอร์ทำให้เจ๊แกคลื่นไส้
ทางเดินช่วงสุดท้ายของ Dallol จะอยู่ค่อนมาทางด้านหลัง บ่อน้ำพุร้อนใหญ่ๆ ออกมา ราว 500 เมตร
ตรงนี้จะเป็นช่วงของน้ำพุร้อน ที่ระอุขึ้นมา มันไม่ได้พุ่งเป็นน้ำพุแบบในสวน
แต่มันจะค่อยๆผุดออกมาตามชั้นหิน และพาแร่ธาตุต่างๆออกมาตกตะกอน เป็นเหมือนหินงอกรูปร่างต่างๆ
เป็นที่แปลกตา และเป็นที่น่าเดินเข้าไปชมความงาม ของสีสันที่แปลกตา จากความแตกต่างของแร่ธาตุที่ตกตะกอน
ที่น่าหวาดเสียวคือ เกลือและแร่ธาตุบางจุดนั้น ตกตะกอนมาไม่นาน ยังมีความเปราะอยู่มากหากรับน้ำหนักคนแม้ดูภายนอกมันจะดูแข็งแรงแน่นเปรี๊ยะก็ตาม
พี่หน้าเหี้ยมหัวหน้าไกด์บอกว่า เคยมีนักท่องเที่ยวซุกซนบางคน ออกนอกเส้นทาง แล้วเท้าทั้งเท้าจุ่มลงไปในบ่อน้ำร้อนที่ร้อนที่สุด ผิวหนังลอกยับเยือนจนต้องพาทุกคนในทริปกลับไป Makele
ฉะนั้น พี่เหี้ยมจึงค่อนข้างเข้มงวดกับพวกเรามาก
พวกเราเดินอย่างระมัดระวังไปเรื่อยๆ
กลิ่นซัลเฟอร์ และและความร้อนจากทั้งแดดและไอน้ำเบื้องล่าง
ทำให้รู้สึกเหมือนถูกขังอยู่ในห้องซาวน่าที่มีคนปาไข่เน่าใส่ สัก 5-7 ฟอง
ความรู้สึกอึดอัดนี้ทำให้เหงื่อของดิฉันออกจนเสื้อชุ่มโชก
ตาเอ่อไปด้วยน้ำตา เพราะรู้สึกระคายตาเล็กน้อย แต่ไม่ถึงขั้นแสบตา
ดิฉันยังเดินต่อไหวค่ะ
แต่เจ๊อเมริกันที่เมื่อกี้ร่าเริง ตอนนี้เริ่มหน้าซีดและมีไกด์ประกบแล้ว อีกสองสเตปเจ้น่าจะเป็นลมพับคาบ่อแน่ๆ
ทุกคนเคยหลีกทางให้เจ๊เดินนำจนพ้นจุดที่มีไอระเหยไปก่อน
ดิฉันไม่เป็นลมแน่นอนค่ะ
เกิดมายังไม่เคยเป็นลมเลย
ไอ้เหม็นแค่นี้ไม่มีทางได้กินดิฉันแน่ๆ
เดินต่ออย่างห้าวหาญ
ให้สมศักดิ์ศรีสาวสยาม
นี่ดิฉันไม่ได้แค่มาท่องเที่ยว
ดิฉันกำลังแบกชื่อเสียงของประเทศมากับดิฉันอยู่
ดิฉันในฐานะตัวแทนประเทศไทยในเอธิโอเปีย
จะต้องทำให้คนทั่วโลกได้รับรู้ ว่าเราเป็นนักท่องเที่ยวที่ดี เป็นเพื่อนร่วมทริปที่น่ารัก
แต่
ไม่ทันจะได้ยืดหยัดเพื่อชื่อเสียงของประเทศต่อ
ภัยจากภายในร่างกายดิฉันก็เริ่มก่อตัว
ความรู้สึกเหมือนมีหนูตัวใหญ่ๆวิ่งขึ้นวิ่งลงในท้องนี่มัน.....
ดิฉันจิกเล็บแน่น
หายใจลึก ท่อง พุธโธ ท่อง ยุบหนอ พองหนอ
ลำไส้บีบรัดตัว ขับวัตถุภายในให้เคลื่อนคล้อยลงตามแรงโน้มถ่วง
หนูตัวที่เลยไต่ขึ้นลง ดูเหมือนมันจะพาเพื่อนมาเพิ่ม
ดิฉันขมิบ ปราการด่านสุดท้าย หรือด่านเดียวจริงๆที่จิตสำนึกของดิฉันควบคุมได้
บอกมันว่า
ไม่ให้ออก มันไม่ใช่เวลานี้ หยุด กลับขึ้นไป กลับไปลำไส้ใหญ่บ้านเดิมของพวกแก
“ You shall not pass !!!!!”
ดิฉันคิดว่าตัวการเรื่องนี้คืออะไร
ทั้งที่ดิฉันมีวินัยออกมาจัดการไปรอบนึงตอนตีสี่ (ขอบถนน)
คิดไปคิดมา มันต้องเป็นนมแพะแก้วนั้นแน่นอน
ดิฉันผู้แพ้นมวัว มาแต่ไหนแต่ไร ไม่มีตัวย่อยแลคโตสในระบบทางเดินอาหาร
ท้องผูกที่ไร ไม่เคยได้ซื้อยาถ่าย นมขวดเดียวนี่ก็หมดไส้หมดพุง
รู้ตัวว่าแพ้นม
แต่เมื่อเช้าเห็นทากะซังชงนมแพะผงอยู่ เค้าแค่ถามว่า “เอาสักแก้วไหมเดี๋ยวชงให้”
ด้วยความกระแดะอยากมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ชาย ผลก็เป็นอย่างนี้แล
นี่คือบาปของการทรยศต่อลำไส้ตัวเอง
โอ๊ยยยยยยยยยยยยยยย
มันมาอีกแล้ว
แต่ตอนนี้ยังไม่มีทีท่าว่า ทางเดินชมบ่อน้ำพุร้อนนี้จะหมด
ห้องน้ำเหรอ อย่าหวัง หวังให้คนอาศัยอยู่แถวนี้ยังยากเลย
เอาล่ะ มันมีอีกวิธี ดิฉันต้องพยายามก่อน
ดิฉันต้องผ่อนคลายแรงดันในช่องท้อง
ส่วนท่ีเป็นอากาศสามารถขับออกตอนนี้ได้
ปราณธาตุลมเอ๋ยจงหมุนเวียน
ให้ปราการตรวจก่อนว่าสิ่งที่มา เป็นลมจริง ไม่ใช่ต่อน
แล้วค่อยๆขับออกไป ผ่อนคลาย เบาๆ ผุยๆ
เงียบๆ อย่าให้มีเสียง แค่นี้ก็ไม่มีใครรู้ เพราะกลิ่นน้ำผุร้อนข้างนอกกับข้างในลำไส้ดิฉัน น่าจะเหม็นพอกันแหละตอนนั้น
มันซื้อเวลาไปได้ราวสิบนาที
จนเราผ่านเขตน้ำพุร้อนมาได้
แล้วมันก็มาอีก
คราวนี้ มันไม่ธรรมดา
ของจริง ตัวจริง มันมาแล้ว
มันบอกว่า คราวนี้คือที่ของพวกมัน
มันมาเพื่อชนะ
มันมาเพื่อเป็น the face
สัญญาณไม่ดีแล้ว มองไปรอบๆ หินก้อนนั้นน่าจะ พอบังดิฉันได้ เอาล่ะ ไปล่ะ โอ๊ย รออีกแป๊ป อย่าเพิ่งเดิน final walk อย่าเพิ่งเป็นเดอะเฟส หินก้อนนั้น หินจ๋า
ทันทีที่ดิฉันก้าวออกนอกเส้นทาง ไกด์คนนึงรีบประกบฉันทันที
ไกด์ : จะไปไหนคุณ
ดิฉัน : เอ่อะ คือ ดิฉันปวดอึมากๆ ดิฉันขอไปจัดการตรงนั้นได้ไหม (เร็วๆ ค่ะ จะมาถามอะไร จะแตกแล้วจร้า จะแตกแล้ว)
ไกด์: ไม่ได้ๆ
ดิฉัน : ทำม้ายยยยยยยยยย ไม่ไหวแล้ว(ทำหน้าดราม่ามาก พร้อมจะวิ่ง)
ไกด์: ที่นี่เป็นจุดอ่อนไหวทางพรมแดน ระหว่างเอธิโอเปีย กับ เอริเทรีย พวกเราไม่ถูกกัน ทหารพรมแดนไม่ค่อยชอบใจนักถ้าคุณจะทำแบบนั้น
ดิฉัน: แต่
ไกด์: ไม่มีแต่ คุณจะขี้แล้วถูกยิงตาย หรือคุณจะเดินต่อ
พอมีคำว่า ยิง ขี้ดิฉันหดกลับขึ้นไปอยู่คอหอยเลยค่ะ เดินก็ได้จ่ะพ่อ รีบๆเลยจ่ะพ่อ
ดิฉันจิกเล็บที่ผ่ามือไปตลอดทาง ขนลุกซู่ทุกก้าวเดิน
แต่อย่างที่บอก ดิฉันเสมือนแบกชื่อเสียงของประเทศมาด้วย
การขี้ของดิฉัน
อาจจะเป็นสาเหตุที่จุดชนวนปมความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างสองประเทศ
อาจจะลุกลามไปเป็นสงครามที่มีคนตายเป็นเบือ
หน้าประวัติศาสตร์คงตลกพิลึก
ถ้าบอกว่าจุดเริ่มต้นของสงคราม
มาจากนักท่องเที่ยวขี้แตกคนหนึ่งจากไทยแลนด์
..........
อ่านบทต่อไป บทที่ 15 < บ่อประทินผิวและงานเกลือ >
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in