คุณอยากออกเสียงภาษาอังกฤษให้ดีขึ้นไหม?
ผมแนะนำให้คุณอ่านบทความนี้จนจบ แต่สำคัญที่สุดคุณต้องทำตามสิ่งที่เขียนในบทความนี้และทำตามโดยไม่ตั้งคำถาม หรือมีข้อแคลงใจ สงสัย อยากให้คุณลองทำก่อนจนเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลง แล้วเราค่อยมานั่งคุยกันถึงปัญหาที่คุณเจอ และคำแนะนำเพื่อแก้ปัญหา – Just Do It!
ก่อนอื่น ผมคงต้องพูดถึงเหตุผลที่ผมตัดสินใจเขียนบทความนี้ขึ้น ผมเองเคยเป็นนักเรียนสายภาษาที่มีความถนัดด้านการฟังและแยกเสียง นอกจากนี้ผมยังชื่นชมความสมบูรณ์แบบ ผมก็เหมือนนักเรียนไทยส่วนใหญ่ที่เรียนภาษาอังกฤษจากโรงเรียน และก็พยายามอย่างมากเพื่อให้ใช้ภาษาอังกฤษได้สมบูรณ์แบบที่สุด ในเรื่องของการออกเสียง ผมใช้เวลาว่างอ่านบทความบนอินเทอร์เน็ต และดูวิดีโอในยูทูป เพื่อศึกษา ฝึกฝน และนำมาใช้จนสำเร็จ ผมได้พบข้อสังเกตบางอย่างที่น่าสนใจจากเนื้อหาที่ศึกษา และค่อนข้างเชื่อว่ายังไม่มีใครในประเทศไทยเคยพูดถึง
Forget what they teach you, what you think you know and follow me...
ธรรมชาติการพูดภาษาอังกฤษในหน่วยประโยค มีข้อแตกต่างจากภาษาไทย หรือภาษาจีน ตรงที่ “ไม่ใช่ทุกคำในประโยคจะออกเสียงเท่ากัน” ลองสังเกตเวลาพูดภาษาไทย ทุกคำมีความชัด และความดังเท่ากัน
แต่ในภาษาอังกฤษ สิ่งที่ต้องออกเสียงชัดกว่า และดังกว่า คือคำประเภท content words แต่สิ่งที่เราจะออกเสียงเบากว่า หรือบางครั้งจะถูกรวบเสียงหรือออกเสียงแค่ครึ่งเสียง (schwa /ə/ or short i /i/) คือคำประเภท function words ผมขออธิบายคำทั้ง 2 ประเภทแบบง่ายๆ ดังนี้ คือ
Content Words - ออกเสียงชัดกว่า และดังกว่า
Noun (thing or person): pen, dog, work, music, town, London, teacher, John
Adjective(describes a noun): good, big, red, well, interesting
Verb (action/state): (to) be, have, do, like, work, sing
Adverbs (describes a verb, adjective or adverb): quickly, silently, well, badly, very, really
Negatives: not, isn’t, aren’t, haven’t, don’t
Interjection (short exclamation, sometimes inserted into a sentence): oh!, ouch!, hi!, well
Function Words - ออกเสียงเบากว่า หรือบางครั้งจะถูกรวบเสียงหรือออกเสียงแค่ครึ่งเสียง (schwa /ə/ or short i /i/)
Helping Verbs: do, be, have, can, could, may, might, must, ought to, shall, should, will, would
Prepositions (links a noun to another word): to, at, after, on, but
Conjunctions(joins clauses or sentences or words): and, but, when, although, or, even if, until
Determiners (limits or "determines" a noun): a/an, the, 2, some, many
Pronouns (replaces a noun): I, they, he, what, why, when, who, that, something, everyone
ลองดูบทสนทนาต่อไปนี้
A: What are you doing?
B: I am just looking for my phone.
ส่วนที่ขีดเส้นใต้เท่านั้นที่จะออกเสียงดังกว่า และชัดกว่า
กิจกรรม 1: Highlight or underline “what to pronounce with more clarity and loudness in the following passage”
Well, here’s a story for you: Sarah Perry was a veterinary nurse who had been working daily at an old zoo in a deserted district of the territory, so she was very happy to start a new job at a superb private practice in North Square near the Duke Street Tower. That area was much nearer for her and more to her liking. Even so, on her first morning, she felt stressed. She ate a bowl of porridge, checked herself in the mirror and washed her face in a hurry. Then she put on a plain yellow dress and a fleece jacket, picked up her kit and headed for work.
เฉลย
Well, here’s a story for you: Sarah Perry was a veterinary nurse who had been working daily at an old zoo in a deserted district of the territory, so she was very happy to start a new job at a superb private practice in North Square near the Duke Street Tower. That area was much nearer for her and more to her liking. Even so, on her first morning, she felt stressed. She ate a bowl of porridge, checked herself in the mirror and washed her face in a hurry. Then she put on a plain yellow dress and a fleece jacket, picked up her kit and headed for work.
Placement
Placement แปลตรงตัว การวาง หรือการกำหนดตำแหน่ง ในบริบทของการเรียนรู้เรื่องการออกเสียง Placement คือตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งที่เสียงวางอยู่
โดยส่วนตัว ผมคิดว่าเรื่องนี้เป็นหนึ่งในเรื่องที่ยากที่สุดเนื่องจากความคุ้นชินกับ Placement ในภาษาแม่ แต่หากใช้เวลาฟังเสียงและสังเกตุเสียงของคนในแต่ละภาษา เราจะเริ่มแยกแยะตำแหน่งที่เสียงวางอยู่ได้
เพื่อให้เข้าใจภาพของ Placement มากขึ้น ให้ลองสังเกตุวิธีที่ผู้คนที่อยู่รอบตัวพูดก่อน ผมสังเกตุได้ว่าคนที่พูดภาษาแต้จิ๋ว ภาษาฮกเกี้ยน หรือคนจากภาคเหนือของไทยมักจะมี Placement ในตำแหน่งจมูก (เสียงขึ้นจมูก) เวลาพูดภาษาแม่ (ภาษาแต้จิ๋ว: https://youtu.be/7t57_O40zPc, ภาษาฮกเกี้ยน: https://youtu.be/j55pvOelTWU, ภาษาเหนือ: https://youtu.be/vBqZt49Kxag)
แต่เมื่อสลับกลับมาพูดภาษาไทยถิ่นกรุงเทพ เสียงจะต่างออกไป คือ Placement จะอยู่ที่ตำแหน่งลำคอ (ผู้พูดคนเดียวกันแต่พูดภาษาไทย https://youtu.be/Fn40ZiNAUQg)แต่จะมีหลายกรณีที่ผู้พูดไม่สามารถแยกแยะ Placement เนื่องจากความคุ้นชินกับภาษาแม่ ในทางเดียวกันภาษาอังกฤษก็มี Placement ที่ต่างจากภาษาไทยกรุงเทพ ภาษาเหนือ ภาษาแต้จิ๋ว และภาษาฮกเกี้ยน
Placement ในภาษาอังกฤษ อยู่ตำแหน่งที่ต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับสำเนียงดั้งเดิมของผู้พูด ตัวอย่างเช่น
General American: Middle of the mouth, throat, tongue, chest
Southern American: Bottom back
New York: Lower lip, teeth
British: Upper teeth, narrow
Cockney: Jaw
Australian: Nasal, top back
Mouth Posture
ต่อเนื่องจาก Placement ในภาษาอังกฤษในแต่ละสำเนียง Mouth Posture (รูปปาก) ก็เป็นอีกหนึ่งหัวข้อสำคัญที่เราต้องฝึกฝนจนเกิดความคุ้นชินกับรูปปาก
วิธีศึกษาเพื่อเลียนแบบ Mouth Posture ที่ดีที่สุดคือ การสังเกตุรูปแบบของปากของเจ้าของภาษาในขณะพูด สิ่งที่ควรสังเกตุ มี 3 ข้อ ดังนี้
รูปปากแนวตั้ง หรือ แนวนอน (vertical or horizontal)
รูปปากแคบ หรือ กว้าง (wide or narrow)
รูปปากบีบ หรือ คลาย (tight or loose)
จากการสังเกตุเบื้องต้น พบว่า
- General American: รูปปากแนวตั้ง กว้าง และคลาย (https://youtu.be/cRoVJyH_hn0) - หมายเหตุ: ผู้พูดในคลิปไม่ใช่เจ้าของภาษา
เปรียบเทียบ
- Midwestern American (Clinton): รูปปากแนวนอน กว้าง และบีบ VS New York (Trump): รูปปากแนวตั้ง กว้าง และบีบ (https://youtu.be/s7gDXtRS0jo)
- Received Pronunciation: รูปปากแนวนอน แคบ และบีบ (https://youtu.be/zwSZEifT5Uw)
การสังเกตุจะทำให้เราตระหนักถึงภาพที่เป็นธรรมชาติของรูปปากของเจ้าของภาษาในขณะพูด เมื่อสามารถจำและรู้สึกถึงรูปปากของเจ้าของภาษาได้แล้ว ขั้นตอนสุดท้ายคือการเริ่มเลียนแบบรูปปากเพื่อให้ออกเสียงได้คล้ายเจ้าของภาษามากที่สุด
เหตุผลที่ผมนำทั้งสองหัวข้อนี้มาพูดก่อน เพราะเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลามากในการสังเกตุ เพื่อให้เกิดความคุ้นชิน และเริ่มฝึกฝนด้วยตัวเองได้
International Phonetic Alphabet (IPA) หรือ สัทอักษรสากล คือ สัทอักษรชุดหนึ่งที่กำหนดโดยสมาคมสัทศาสตร์สากล เพื่อชี้แนวทางให้ผู้เรียนภาษาต่างๆสามารถศึกษาวิธีถอดเสียงภาษานั้นๆด้วยตนเองได้
เนื่องจาก อักขรวิธี (Orthography) ในภาษาอังกฤษมีความซับซ้อน และไม่มีกฎตายตัว ลองดูตัวอย่างคู่ของคำที่เขียนด้วนรูปสระตัวเดียวกัน แต่เสียงอ่านต่างกันอย่างสิ้นเชิง
Be : Best
Cough : Rough
Bacon: Bath
IPA นี้เองจะเป็นเครื่องมือที่จะช่วยให้เราสามารถออกเสียงได้อย่างถูกต้อง
จุดประสงค์ของบทนี้คือการเรียนรู้การออกเสียง “เสียง” แต่ละเสียงในภาษาอังกฤษให้ได้ใกล้เคียงกับเจ้าของภาษามากที่สุด
ต่อไปคือตารางของ IPA ชุดที่ปรากฏในภาษาอังกฤษ
Vowels
Full Vowels | Followed by R | ||
IPA | Example | IPA | Example |
ɑː | PALM, bra | ɑːr | START, star |
ɒ | LOT, pod, John, blockade | ɒr | moral, forage |
æ | TRAP, pad, tattoo | ær | barrow, marry |
aɪ | PRICE, ride, pie | aɪər | Ireland, hire |
aɪ.ər | higher, buyer | ||
aʊ | MOUTH, loud, down, how | aʊər | flour |
aʊ.ər | flower | ||
ɛ | DRESS, bet, prestige | ɛr | error, merry |
eɪ | FACE, made, fail, vein, pay | ɛər | SQUARE, mare, scarce, cairn, Mary |
eɪər | player | ||
ɪ | KIT, lid, historic | ɪr | mirror, Sirius |
iː | FLEECE, seed, mean, pedigree, idea | ɪər | NEAR, beard, fierce, serious |
iːər | freer | ||
oʊ | GOAT, code, go, foal, follower | oʊər | mower |
ɔː | THOUGHT, Maud, dawn, fall, straw | ɔːr | NORTH, FORCE, horse, hoarse, aural |
ɔːər | sawer | ||
ɔɪ | CHOICE, void, boy | ɔɪər | coir |
ɔɪ.ər | employer | ||
ʊ | FOOT, good, full | ʊr | courier |
uː | GOOSE, food, tissue, cruel | ʊər | boor, moor, tourist, CURE |
uːər | truer | ||
ʌ | STRUT, bud, untidy, justiciable | ɜːr | NURSE, word, girl, fern, furry, Berlin |
ʌr | hurry, nourish | ||
Weak Vowels and Symbolic Consonants | |||
ə | COMMA, ago, quiet, focus | ər | LETTER, perceive, history |
əl | bottle (either [əl] or [l̩]) | ||
ɪ | roses, enough, Martin | ən | button (either [ən] or [n̩]) |
əm | rhythm (either [əm] or [m̩]) | ||
i | HAPPY, mediocre (either /iː/ or /ɪ/)[ | iə | serious, California (either /iːə/, /ɪ.ə/, or /jə/) |
u | fruition (either /uː/ or /ʊ/) | uə | influence (either /uːə/, /ʊ.ə/, or /wə/) |
Stress | Syllabification | ||
ˈ | intonation /ˌɪntəˈneɪʃən/ | . | /ˈhaɪər/ hire, /ˈhaɪ.ər/ higher /ˈtæks.peɪər/ taxpayer |
ˌ |
IPA | Examples |
b | buy, cab |
d | dye, cad, ladder |
dʒ | giant, badge |
ð | thy, breathe, father |
f | fan, caff |
ɡ | guy, bag |
h | high, ahead |
j | yes, hallelujah |
k | sky, crack |
l | lie, sly, gal |
m | my, smile, cam |
n | nigh, snide, can |
ŋ | sang, sink, singer |
p | pie, spy, cap |
r | rye, try, very |
s | sigh, mass |
ʃ | shy, cash, emotion |
t | tie, sty, cat, latter |
tʃ | China, catch |
θ | thigh, math |
v | vie, have |
w | wye, swine |
z | zoo, has |
ʒ | pleasure, vision, beige |
Reference: https://en.wikipedia.org/wiki/Help:IPA/English
คลิกลิงค์ข้างล่างเพื่อศึกษาการออกเสียง IPA แต่ละตัว http://www.ipachart.com/
ในบทนี้ เราจะใช้สิ่งที่เรียนในบทก่อนหน้าเกี่ยวกับ IPA เพื่อการเรียนรู้วิธีออกเสียง“คำ” ในภาษาอังกฤษ และวิธีลงเสียงหนักบนพยางค์ใดพยางค์หนึ่งของคำ
ผมสามารถรับประกันได้ว่าถ้าผู้เรียนเข้าใจกฎเหล็กข้อนี้แล้ว ก็จะสามารถออกเสียงคำทุกคำในภาษาอังกฤษได้เหมือนเจ้าของภาษา โดยที่อาศัยแค่การฟัง และความเข้าใจ
ก่อนอื่น มี 2 สิ่งที่ผมอยากให้เข้าใจก่อนที่จะไปดูกฎดังกล่าว 2 สิ่งที่ว่า คือ พยางค์ และ การลงเสียงหนัก
พยางค์ (Syllable)
พยางค์ สามารถทำความเข้าใจง่ายๆ ดังนี้
คำ 1 พยางค์ - boy, walk, house
คำ 2 พยางค์ - sofa, river, London
คำ 3 พยางค์ - plantation, historic, vanity
คำ 4 พยางค์ - reputation, infirmary, America
การลงเสียงหนัก (Stress)
ภาษาอังกฤษต่างจากภาษาไทยตรงที่ว่า ใน 1 คำจะมีพยางค์ที่ลงเสียงหนักอย่างน้อย 1 ตำแหน่ง (มากที่สุด 2 ตำแหน่ง) เช่น
Sofa /ˈsoʊ.fə/
Vanity /ˈvæn.ə.t̬i/
Television /ˈtel.ə.vɪʒ.ən/
คำในภาษาอังกฤษจะออกเสียงสระเต็มเสียงแค่บนพยางค์ที่ลงเสียงหนักเท่านั้น (ซึ่งมีได้มากที่สุด 2 ตำแหน่งใน 1 คำ) ที่เหลือจะออกเสียงสระครึ่งเสียง (schwa /ə/ or short i /i/)
Sofa /ˈsoʊ.fə/
River /ˈrɪv.ɚ/
London /ˈlʌn.dən/
Pilot /ˈpaɪ.lət/
Vanity /ˈvæn.ə.t̬i/
Television /ˈtel.ə.vɪʒ.ən/
America /əˈmer.ɪ.kə/
ดังนั้น เราจึงเข้าใจว่าทำไมคำว่า ลอนดอน จึงออกเสียงว่า ลั้น-เดิ่น ไม่ใช่ ล้อน-ด่อน (https://youtu.be/nFZcLPJPuJY นาที 1.27)
พยางค์ที่ลงเสียงหนักมีคุณบัติ 5 ประการ ดังนี้
พยางนั้นจะออกเสียงยาวกว่า
พยางค์นั้นจะออกเสียงดังกว่า
พยางค์นั้นจะออกเสียงสูงกว่า
พยางค์นั้นจะออกเสียงด้วยสระเต็มเสียง
พยางค์นั้นจะต้องใช้ facial movements ที่มากกว่า - Look at the mirror when you say the word. Notice your jaw and lips in particular.
แบบฝึกหัด: Listen to the following passage and identify word with “stress” using ˈ mark, take a look at the first sentence as your example
https://www.dialectsarchive.com/general-american-9
Well, here’s a ˈstory for you: ˈSarah ˈPerry was a ˈveterinary nurse who had been working ˈdaily at an old zoo in a deˈserted ˈdistrict of the ˈterritory, so she was very ˈhappy to ˈstart a new job at a ˈsuperb ˈprivate ˈpractice in North ˈSquare near the Duke ˈStreet ˈTower. That area was much nearer for her and more to her liking. Even so, on her first morning, she felt stressed. She ate a bowl of porridge, checked herself in the mirror and washed her face in a hurry. Then she put on a plain yellow dress and a fleece jacket, picked up her kit and headed for work.
When she got there, there was a woman with a goose waiting for her. The woman gave Sarah an official letter from the vet. The letter implied that the animal could be suffering from a rare form of foot and mouth disease, which was surprising, because normally you would only expect to see it in a dog or a goat. Sarah was sentimental, so this made her feel sorry for the beautiful bird.
หลายคนมักจะพูดว่า ภาษาอังกฤษไม่มีเสียงวรรณยุกต์ (tone) ซึ่งเป็นธรรมชาติที่แท้จริงของภาษาอังกฤษ
อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้พูดที่มีภาษาแม่เป็นภาษาที่มีวรรณยุกต์ เรามักจะเติมเสียงวรรณยุกต์ให้ภาษาอังกฤษในขณะที่พูด ผมค่อนข้างอัศจรรย์ใจเมื่อได้ค้นพบว่าคนไทยสามารถพูดภาษาอังกฤษด้วยการเติมเสียงวรรณยุกต์ที่สม่ำเสมอและมีกฎตายตัวขณะพูดได้ทุกคำ ตัวอย่างเช่น “ไอ ว้อนท์ ทู แฮฟ ชาวเว่อร์ นาว” หรือ “มาย ด๊อก อี๊ส แฮ้ปปี้” ซึ่งผมค่อนข้างเชื่อว่าไม่มีคนไทยคนไหนปฏิเสธได้ว่า ไม่รู้วิธีการออกเสียงภาษาอังกฤษโดยไม่เติมเสียงวรรณยุกต์ (ถึงแม้จะพยายามปกปิดด้วยการพยายามใช้เสียงสูงต่ำที่คล้ายคลึงกับเจ้าของภาษามากที่สุดก็ตาม)
ผมได้ค้นพบความจริงข้อนี้ ขณะที่เรียนภาษาญี่ปุ่นในโครงการแลกเปลี่ยนที่ประเทศญี่ปุ่น ผม ในฐานะผู้ที่มีภาษาไทยเป็นภาษาแม่ ผมจะได้ยินเสียงในภาษาญี่ปุ่นแบบที่มีวรรณยุกต์กำกับเสมอ และพยามใช้หูเพื่อฟังและเติมวรรณยุกต์ให้กับภาษาญี่ปุ่น แม้ว่าในภาษาญี่ปุ่นจะไม่มีแนวคิดเรื่องวรรณยุกต์ก็ตาม (เหมือนกับภาษาอังกฤษ) ตัวอย่างเช่น คำว่า 日本 (nihon) กับ 二本 (nihon) ที่ออกเสียงโดยมีวรรณยุกต์กำกับว่า หนิ่ฮ่น กับ นิห่น ตามลำดับ ในขณะที่แท้จริงแล้วภาษาญี่ปุ่นจะใช้สิ่งที่เรียกว่า Pitch (高低アクセント) เพื่อกำหนดว่าเสียงหนักตกลงบนพยางค์ไหนเพื่อกำหนดเสียงสูงหรือต่ำ โดยในตัวอย่างดังกล่าวจะมี IPA กำกับดังนี้ /niꜜhoɴ/ และ /nihoꜜɴ/ อย่างไรก็ตาม ไม่มีแนวคิดเรื่องวรรณยุกต์ (声調) ปรากฏในภาษาญี่ปุ่น ดังนั้นในขณะที่เรียนภาษาญี่ปุ่น ผมมักจะพยายามเติมวรรณยุกต์ที่ใกล้เคียงให้ภาษาญี่ปุ่นเสมอ ซึ่งบางคนอาจบอกว่าเป็นวิธีที่ผิด แต่ผมมองว่าการใช้สิ่งที่คุ้นเคยและอยู่ใกล้ตัวนั้นง่าย ประหยัดเวลาและมีประสิทธิภาพมากกว่า
ผมใช้กฎเดียวกันในการสังเกตุธรรมชาติของภาษาอังกฤษเพื่อให้คนที่พูดภาษาไทยเป็นภาษาแม่สามารถหลุดพ้นจากการใช้เสียงวรรณยุกต์ตามความคุ้นชินแบบไทยได้ และสามารถใช้เสียงวรรณยุกต์ในชุดที่ใกล้เคียงกับเจ้าของภาษามากที่สุด โดยไม่ต้องพยายามมากเกินไปจนรู้สึกกระอักกระอ่วม (overwhelmed)
1. เสียงวรรณยุกต์ยืนพื้นของภาษาอังกฤษ ในคำพยางค์เดียว หรือ พยางค์ที่ไม่มีเสียงหนัก คือ “เสียงวรรณยุกต์เอก”
ลองเปลี่ยนเสียงวรรณยุกต์ของคำพยางเดียวต่อไปนี้เป็นเสียงวรรณยุกต์เอก และเราจะเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน
Rock Car Park Wait Swim
Thai Tone: ร๊อค คาร์ พ๊ารค เว๊ท สวิม
Neutral Tone: หร่อค ข่าร์ ผ่าร์ค เว่ท สหวิ่ม
2. เสียงในพยางค์ที่มีเสียงหนักลง จะเป็นเสียง”โท” หรือ “ตรี” สลับกับ ไม่มีกฎตายตัว (สำเนียงในอเมริกาเหนือเกือบทั้งหมดมักจะมีความถี่ของการใช้เสียงตรีมากกว่า) เช่น
London ลั่น-เดิ่น
Really รี้ล-หรี่
Computer เขิ่ม-พวิ้ว-เท่อร์
Inventory อิ้น-เหว่น-ทริ่
ในระดับหน่วยคำ นี่เป็นกฎตายตัวในภาษาอังกฤษแต่หากคำหลายคำรวมกันเป็นหน่วยประโยคแล้ว จะมีกฎและข้อบ่งชี้อื่นๆที่เราจะต้องศึกษาเพิ่มเติ่ม อย่างไรก็ตามเบื้องต้น ผมอยากให้ฝึกการใช้เสียงเอก และ โท หรือตรีในหน่วยคำให้ได้อย่างเป็นธรรมชาติก่อน เพราะวิธีการจะซับซ้อนมากขึ้นในหน่วยประโยค
แบบฝึึกหัด: ให้อ่านออกเสียงประโยคต่อไปนี้ จำไว้ว่า Content Words are stressed. Stressed word is longer and goes in a higher pitch.
Let’s do it slowly and with focus. We’ll take our example sentences from the passage.
Sarah Perry was a veterinary nurse who had been working daily at an old zoo in a deserted district of the territory.
She was very happy to start a new job at a superb private practice in North Square near the Duke Street Tower.
That area was much nearer for her and more to her liking.
Even so, on her first morning, she felt stressed.
Now real life sentences:
What are you going to do?
I don’t know. Do you have any idea?
Do you want to see movies?
Intonation
Intonation หรือ Melody คือการเปลี่ยนแปลงของเสียงสูงหรือต่ำในประโยคที่จะประกอบด้วย เสียงขึ้น (Rising) และ เสียงลง (Falling)
ตัวอย่างเช่น เมื่อออกเสียงคำว่า Alright ด้วยเสียงขึ้น จะให้ความรู้เคลือบแคลง ไม่เห็นด้วยเต็มร้อย แต่เมื่อออกเสียงด้วยเสียงลง จะให้ความรู้สึกเห็นด้วย ตกลง เห็นตามนั้น
ในภาษาอังกฤษ มีกฎตามธรรมชาติดังนี้
เสียงลง:
ประโยคบอกเล่า: I like watching TV.
ประโยคอุทาน: What a cool watch!
ประโยคคำสั่ง: Stop it!
Question tags (โดยคาดว่าคำตอบจะเป็น “yes”): The food is done, isn’t it?
WH Questions - What’s your name?
เสียงขึ้น:
Yes/No Questions - Do you like it?
ประโยคที่จะมีสิ่งอื่นมาต่อท้าย/ประโยคที่ยังไม่จบ: If you’re gonna come to my house…. (another sentence) ....
Question tags (โดยคาดว่าคำตอบจะเป็น “no”): The food is done, isn’t it?
Practice: Role play the dialogue following intonation rule
A: Hi, is your name Mia?
B: Yes, my name is Mia. Are you Robin?
A: Yes, I am Robin!
B: Finally! The infamous Robin! I've heard so much about you that I feel like I already know you.
A: Oh no, I hope they had positive things to say.
B: Don't worry. All of the stories were good. How were you able to find me so quickly?
A: It was pretty easy to find the beautiful woman in a red dress next to the fountain.
B: Well, I guess that kind of narrowed it down!
A: Mia, could I interest you in some lunch down the street at my favorite cafe?
B: Yes, it's a great day for a little walk and some lunch.
ตลอด 6 บทที่ผ่านมาผมได้บอกความลับ และสร้างเครื่องมือให้คุณหมดแล้ว แต่สิ่งที่จะทำให้การออกเสียงภาษาอังกฤษของคุณเป็นธรรมชาติที่คุณจะขาดไม่ไดัคือ เสียงในหัว
ผมไม่มีคำแนะอ่านอื่นนอกจาก ฟัง ฟัง และฟังให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ฟัง ทำความเข้าใจ ปล่อยผ่านเข้ามาในหัวจนทุกครั้งที่คุณเห็นภาษาอังกฤษ คุณจะอ่านในหัวด้วยการออกะเสียงแบบเจ้าของภาษา
เมื่อเวลานั้นมาถึง คุณจะสามารถออกเสียงภาษาอังกฤษได้แบบที่คุณไม่ต้องคิด และเป็นธรรมชาติ
- จบ -
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in