เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
me : 2020panpanmeme
เว - ลา
  • เรามีเวลาเหลือกันอีกมากขนาดไหน ?
    // เรามีชีวิตมานานเท่าไหร่แล้ว คงตอบไม่ยาก

    // แต่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกนานเท่าไหร่
    คงเป็นเรื่องที่ตอบไม่ได้

    ต่อให้เราคิดว่าความตายอยู่ตรงหน้า
    และเราจะหยิบยื่นมันให้ตัวเองตอนไหนก็ได้

    แต่ถ้าหากพระเจ้าไม่ให้เราตาย
    และยัดเยียดลมหายใจให้เราต่อไป
    การอยู่ต่อไปอีกสัก 30 ปี หรือ 50 ปี ล่ะ?
    คงเป็นเรื่องที่ตลกไม่ออก 

    มีความคิดอยู่สองแบบ
    ที่ถูกป้อนเข้ามาในสมอง


     


    • เวลามีจำกัด เราไม่รู้ว่าจะตายวันนี้หรือพรุ่งนี้ อยากทำอะไรก็รีบทำ — ฉันเคยเป็นมนุษย์ฝั่งนี้ รู้สึกถูกกดดันตลอดเวลา ชีวิตต้องมีตารางเเน่นเอียด ใช้เวลาอย่างคุ้มค่า เป็นมนุษย์มัลติทาสก์

    to do list ยาวเหยียดดดดถูกบรรเลง เมื่อเริ่มวันเริ่มสัปดาห์ จบวันพร้อมกับความไม่สบายใจที่มองดูช่องตารางว่างเปล่าที่ไม่ถูกขีดลงไป เพราะงานที่ไม่เสร็จ
    จากที่เคยทำอะไรได้หลายๆอย่างพร้อมกัน ก็ทำไม่ได้แล้ว แม้แต่ตอนนี้ แค่ทำทีละอย่าง ยังต้องใช้เวลาใช้พลังมหาศาลในการรวบรวมสมาธิ

    ฉันไม่ได้เป็นมนุษย์ฟังก์ชั่นตั้งแต่เด็ก ตอนเป็นเด็กฉันจำได้ว่าตัวเองเอาแต่วาดรูป ไม่ค่อยออกไปเล่นกับคนอื่นเพราะย้ายบ้านบ่อยย้ายโรงเรียนก็บ่อย แต่พอพ่อไม่อยู่แล้ว และชีวิตถูกวางตั้งไว้ให้อยู่กับแม่แค่สองคน — ฉันเลือกที่จะวางดินสอ สี ทิ้งเอาไว้ และตั้งใจเรียนหนังสือ ฉันหันมาเป็นเด็กที่เอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาเรียนเมื่อตอนมัธยมต้น ทำกิจกรรมทุกอย่่าง ทำทุกอย่างที่คิดว่าดี และฉันก็ทำได้ดีทุกอย่่าง 

    / แต่นั่นไม่สำคัญหรอก /

    ‘เรียนดีขนาดนี้ มีความสุขมั้ย?’
    คำถามที่นิสิตฝึกสอนคนหนึ่งถามฉัน

    ตอนนั้นฉันอยู่ชั้น ปวช.2
    ตั้งแต่ ม.ต้น ฉันรักษาผลการเรียนอยู่ในอันดับต้นๆ มาตลอด ไม่เคยต่ำไปกว่านั้นและไม่ยอมให้ต่ำไปกว่านั้น 

    คำถามที่ถูกถามมา เหมือนไม่คิดอะไร
    แต่มันเป็นคำถามที่กระแทกใจฉันอย่างรุนแรง
    และฝังหัวฉันมาจนตอนนี้


    ‘มีความสุขมั้ย?’


    ฉันจำไม่ได้ว่าตอบไปว่าอะไร
    แต่ฉันยังคิดอยู่เสมอเลยว่า ฉันมีความสุขมั้ย กับสิ่งที่กำลังทำอยู่ — วางทุกอย่างลงอีกครั้งแล้วถามตัวเองว่า เรามีความสุขมั้ย

    / คร่ำเคร่ง จน Burn out กับชีวิตตัวเอง / 


    ๒ 


    • ชีวิต ยังมีพรุ่งนี้เสมอ — สบายๆมากขึ้น 
    ผ่อนคลายมากขึ้น  
    และสุดท้ายฉันก็เคลื่อนตัวไปอยู่อีกฝั่ง ...
    ฝั่งตรงข้ามกับตารางที่สุดแสนจะแน่นเอียด
    คือการใช้ชีวิตอย่างอิสระ เลื่อนลอย 
    ฉันทำอะไรตามใจมากขึ้น รู้สึกถึงอิสรภาพที่มาทักทายพร้อมกับความฟุ้งซ่านด้วย! 

    อืม 

    มันอาจจะจริงทั้งสองข้อก็ได้นะ
    หรืออาจจะไม่เป็นจริงเลยสักข้อ

    [ ขึ้นอยู่กับว่า ; ตัวเราเอง เลือกที่จะเชื่อแบบไหน ]

     ไม่ว่าเราจะตายไป หรือเราจะอยู่ต่อ
    แต่ชีวิตมันไม่ใช่การ ด้นไปเรื่อยๆ 
    ตามความอยาก ตามความต้องการ 
    ตามสิ่งเร้า หรือสถานการณ์ต่างๆ 

    แต่มันคือการอยู่อย่่างมีเป้าหมาย
    และวัตถุประสงค์


    เราจะใช้เวลาที่มีอยู่ขณะนี้ไปเพื่ออะไร? 
    เรากำลังทำอะไรอยู่?
    ทำไปเพื่ออะไร?

    มีแต่คำถามมากมายในหัวเต็มไปหมด
    แล้วฉันมีความสุขอยู่หรือเปล่า?


    ฉันคิดว่า ความสุขเป็นเรื่องเปราะบาง
    แต่ก็หนักแน่นในเวลาเดียวกัน 

    สำหรับฉันความสุขเป็นเหมือนสายลม


    ในขณะที่เราคิดว่่าเรามีความสุข
    ชั่วพริบตา เพียงดีดนิ้ว มันก็หายวับไป 

    และในขณะที่เราไม่ทันได้คิดว่าเรามีความสุขหรือเปล่า
    เราอาจเผลอยิ้มให้กับอะไรที่พัดผ่านเข้ามาเหมือนสายลม เพียงเราเดินทอดน่องไปตามถนนหนทาง
    เปิดใจมองออกไป เราอาจจะได้รับความสุขเล็กๆ ที่ถูกส่งมาผ่านแม่ค้าขายพวงมาลัย หรือลูกแมวสักตัว

    ยิ่งเราเปิดใจให้กว้างมากเท่าไหร่
    ความสุขที่เป็นเหมือนลมก็จะถูกพัดเข้ามาได้ง่ายขึ้น
    และมากขึ้น — และแน่นอนว่า เราก็ต้องยอมให้มันถูกพัดผ่านออกไปด้วยเช่นกัน

    ในเชิงสถาปัตยกรรมที่ว่าด้วยการออกแบบพื้นที่ว่าง (Space) พื้นที่ ที่จะมี Ventilation ที่ดี ควรมีทางให้ลมเข้า และมีทางให้ลมออก ต้องมีช่องเปิด 2 ช่องเอาไว้เสมอ ฉันหวนคิดถึงชีวิต

    ว่ามันก็เช่นนั้น : เราควรเปิดใจของตัวเองให้กว้างมากพอที่จะรับ และให้ไป 

    ปล่อยให้สิ่งต่างๆ ไหลเวียนเข้ามา
    อาจจะทั้งสิ่งดีและสิ่งร้าย
    เหมือนลมที่พัดเอาความเย็นมาพร้อมๆกับฝุ่นผง
    แต่นั่นก็คือธรรมชาติของ ‘ชีวิต’
    สุดท้ายมันจะผ่านไป
    หลงเหลือไว้เพียงความรู้สึกที่เรามีต่อสิ่งนั้น แปรเปลี่ยนเป็น ประสบการณ์

    • 
    ย้อนกลับไปที่เรื่องของเวลาและชีวิต
    มีหนังสือหลายเล่มที่เขียนเกี่ยวกับความหมายของการมีชีวิตอยู่ แต่ไม่มีอะไรสำคัญมากเท่่ากับการรับรู้ความต้องการแห่งจิตใจของตัวเองเราเอง 

    สำหรับฉัน การรับรู้จิตใจตัวเอง คือการเปิดใจของตัวเองให้กว้าง กว้างมากพอที่จะให้องค์พระผู้เป็นเจ้าหอบหิ้วสายลม พายุ เมฆฝน และแสงแดด พัดผ่านสาดส่องเข้ามาในชีวิตของฉัน เพื่อรับรู้ว่า ชีวิตฉันเป็นของพระเจ้าและฉันกำลังเป็นอย่างไรอยู่ในตอนนี้ — การรับรู้จิตใจสัมพันธ์กับการรับรู้ตัวตนว่าตัวเองเป็นใคร กำลังเป็นยังไง และ จะทำอะไรต่อไป 


    การใช้ เวลา ที่ยังเหลืออยู่บนโลกนี้
    จึงอาจไม่ใช่การวางแผน และทำตามแผน
    เพราะมันไม่มีอะไรเป็นไปตามแผน และฉันไม่อาจจะฝืนทำตามแผนได้อีกแล้ว เพราะเมื่อความล้มเหลวซัดเข้ามา มันยิ่งทำให้ฉันเหนืื่อยอ่อนและท้อแท้เหลือเกิน


    แต่ต่อจากนี้มันคือการค่อยๆ รับรู้เสียงที่พัดผ่านเข้ามา
    ใช้ชีวิตด้วยความจริงใจ รับฟังเสียงข้างในตัวเอง ค่อยๆลงมือทำ ค่อยๆ ก้าวขาเดินไปตามจังหวะที่มันควรจะเป็น ตามเสียงที่มาจากข้างในหัวใจ ซึ่งมีเพียงเราที่รู้ว่า เวลาไหนควรเต้น ควรวิ่ง ควรเดิน หรือควรหยุดเพียงเพื่อโยกไปมากับที่ หรือหยุดนิ่ง

    ( เสียงนั้นในเชิงจิตวิญญาณคือการรับเอา Holy Spirit หรือพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าเข้าสู่ภายในชีวิต )

    เรียนรู้การกลั่นกรองเสียงที่มาจากภายนอก ที่คอยหลอกล่อชีวิตของเรา ให้หลงทาง ฉันเชื่อมั่นว่า หากเราตั้งมั่นคงในเสียงที่มากจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ (Holy Spirit) เราจะไม่หลงทาง

    ทางที่ว่่า ไม่มีใครรับรองว่ามันจะสวยงามและสะดวกสบาย — แต่ทางนั้น เป็นความจริงและเป็นชีวิต
    ทางที่ฉันมีพระเจ้า ทางที่มีพระเยซูคริสต์ คอยนำทางและสอนฉัน ให้เดินไปในหนทางที่ยากลำบากของชีวิตในโลกนี้


    ยิ่งเขียนก็ยิ่งยืดยาว
    เพราะความคิดมันทำงานไม่หยุดหย่อน
    เรื่องนี้เป็นเรื่องที่คงคุยกันไปได้ยาวๆ
    และเป็นเรื่องที่ต้องเรียนรู้กันไปเรื่อยๆ
    ตลอดชีวิต

    คงจบไว้เท่านี้
    เเละพักนิ้วมือ เพื่อเงยหน้าใช้ชีวิตต่อไป
    ไว้แวะมาใหม่นะ :-)

    Ps. 
    อีกหนึ่งเรื่องที่เราเรียนรู้ในการคุยกับตัวเอง
    นอกจากการเขียน Diary Log คือการ ทำ Diary  ในรูปแบบเสียง เป็น Audio Journal 
    บางวันเราไม่มีเรี่ยวแรงที่จะเขียนจริงๆ แต่เรายังต้องการคุยกับตัวเองหรือระบายสิ่งที่อยู่ในความคิดจิตใจออกมา เราสามารถฟังตัวเองได้ซ้ำๆ ซึ่งเราพบว่ามันช่วยให้เราเข้าใจตัวเองมากขึ้น 

    นี่ก็เป็นอีกเรื่อง ที่เราค้นพบ เป็นเหมือนอุปกรณ์ในการช่วยดูแลจิตใจตัวเองอีกทางหนึ่ง



    ขอให้ทั้งคุณและฉันได้ยินเสียงหัวใจตัวเองมากขึ้นในทุกๆวัน ขอให้ทั้งคุณและฉันก้าวเดินอย่างหนักแน่นมั่นคง ขอให้ทั้งคุณและฉันอยู่รอดปลอดภัย จากอันตรายที่คุกคามจิตใจและวิญญาณของเรา ขอให้ทั้งคุณและฉันแข็งแรงมากขึ้น ไม่ว่าต่อจากนี้จะเราเจออะไรก็ตาม 

    ขอให้เราไม่ลืมว่า
    ทุกสิ่งพัดผ่านเข้ามา
    และจะผ่านไป

    ทั้งสุขและทุกข์เลย






Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in