แอบเสียดายเหมือนกันนะ เมื่อวานน่าจะหนึ่งในไม่กี่วันที่เรารู้สึกดีกับตัวเอง ทุกอย่างมันดีมากจริงๆ ตั้งแต่เปิดหัววันมา จนถึงตอนหัวค่ำ ภาษากาย การแสดงออก ท่าทางต่างๆ มันออกมาเป็นบวกหมดเลย ได้หัวเราะจนแทบน้ำตาไหล ได้ยิ้มแบบไม่ต้องแคร์คนอื่น
...แต่ความรู้สึกนี้มันก็อยู่ได้ไม่นาน
พอกลับมาจากกินหมูกะทะ ก็ได้รับโทรศัพท์จากที่บ้านว่าเขาทะเลาะกันอีกแล้ว น่าจะเป็นรอบที่ล้านแปดของครึ่งปีแรกนี้ มีการลงไม้ลงมือกันเกิดขึ้นด้วย คนที่โทรมาคืออากู๋ รับสายแล้วเขาร้องไห้โฮใส่เลย บอกว่าโดนทำร้ายร่างกาย ซึ่งฟังจากน้ำเสียงแล้ว เหมือนสภาพจิตใจก็โดนทำร้ายอย่างแรงด้วย
คู่กรณีรอบนี้ก็ไม่ต่างจากครั้งก่อนๆ ตัวละครเดิม พล็อตเรื่องเหมือนเดิมเป๊ะไม่มีเปลี่ยน แทนที่จะคุยกันดีๆ เวลามีปัญหาอะไรกัน แต่ไม่รู้ทำไม บ้านเรากลับแก้ไขปัญหาด้วยกำลังก่อนตลอด
จะบอกว่าลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นก็ได้ เพราะพอรู้เรื่อง เราก็อารมณ์ปรี๊ดสูงมาก ไล่โทรหาทุกคนที่เกี่ยวข้อง โวยวายใส่เลยว่าทำแบบนั้นทำไม ทำไมไม่มีใครมาคอยช่วย ไม่มีใครมาห้าม พ่นคำพูดแบบไม่คิดเลยว่ามันจะไปทำร้ายจิตใจคนฟังหรือเปล่า
ทุกอย่างเกิดขึ้นไวมาก จากที่แฮปปี้มาทั้งวัน ก็กลายเป็นระเบิดออกมา หน้ามือเป็นหลังมือเลย ตัวสั้นไปหมด พูดจาติดๆ ขัดๆ หายใจไม่ค่อยออก แขนขาชา นี่น่าจะเป็นครั้งแรกๆ ในรอบหลายเดือนเลยที่เรารู้สึกหงุดหงิดจนอยากเอาหัวโขกกำแพงให้ตัวเองหลับไป จะได้จบๆ
แต่เรามาไกลเกินกว่าจะกลับไปมีวิธีการแสดงออกทางอารมณ์แบบนั้นแล้ว และโชคดีมากๆ ที่ตัดสินใจยกหูโทรศัพท์ไปหาแม่เพื่อขอคำปรึกษาว่าควรทำตัวยังไง ควรแก้ไขปัญหานี้ด้วยวิธีไหนดี
แม่พยายามทำให้เราใจเย็นลง ค่อยๆ คิดเป็นสเต็ปๆ เรื่องที่มันเกิดขึ้นวันนี้เราไม่เกี่ยว เราไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ แม่บอกว่ามากสุดเรามีหน้าที่แค่รับฟัง เราไปแก้ไขสิ่งที่มันเกิดขึ้นแล้วไม่ได้
พอคุยกับแม่เสร็จ ก็กดโทรไปหาทุกคนที่เราไประเบิดอารมณ์ใส่เมื่อกี้ (ยกเว้นคนที่ลงมือใช้ความรุนแรง) ไปขอโทษ บอกอากู๋ที่โดนทำร้ายร่างกายให้ใจเย็น อย่าวู่วาม ย้ำให้เขารับรู้ว่าเราอยู่ฝั่งเขา เราเชื่อในสิ่งที่เขาพูด
"กู๋มี (แมท)ธิว คนเดียวนะ"
.
"กู๋ไม่มีใครแล้ว นอกจาก (แมท)ธิว"
สองประโยคนี้นี่แหละที่ทำให้กลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ เรารู้สึกผิดมากๆ ที่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์นั้น เราควรช่วยเขาได้มากกว่าแค่รับฟังเฉยๆ ถ้าเราอยู่ มันคงไม่มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น เราโทษตัวเองทุกอย่างเลย เรารู้สึกเห็นแก่ตัวมากๆ ที่ออกจากบ้านมาใช้ชีวิตอยู่กับแฟน
แต่แฟนก็บอกว่าเราไม่ผิด พร้อมกับพูดเตือนสติว่า เราไม่สามารถไปควบคุมชีวิตคนอื่นได้ เขามีชีวิตของเขา เราก็มีชีวิตของเรา แฟนดึงสติกลับมาด้วยคำพูดที่ว่า ให้เอาตัวเองออกมาจากสถานการณ์ในบ้าน แล้วกลับมาอยู่กับเขา ค่อยๆ คิด ใจเย็นๆ
จนถึงขนาดที่แฟนบอกว่า หรือนี่จะเป็นสัญญาณว่าเราควรนัดนักจิตบำบัดได้แล้ว เพราะเหมือนว่านี่จะเป็นปมที่ใหญ่มากๆ ยิ่งปล่อยทิ้งไว้นาน ยิ่งไม่ดี
วันนี้ก็เลยโทรไปหาโรงพยาบาล ขอนัดหมอจิตให้เขาประเมินว่าเราอยู่ในระดับไหน ควรไปพบนักจิตหรือยัง ซึ่งก่อนหน้านี้หมอก็เคยบอกแล้วรอบนึงว่าเราควรไปพบนักจิต เพื่อแก้ไขปัญหาที่ยาไม่สามารถทำได้
เกือบลืม ตอนโทรคุยกับแม่ แม่บอกว่าส้ม (แมวแม่) เสียแล้ว . . . แย่เนอะว่ามั้ย เราไม่ค่อยคุยกับแม่ จนไม่รู้เลยว่าวันๆ นึงแม่รู้สึกยังไงบ้าง นอกจากไม่รู้แล้ว เรายังเอาปัญหาไปให้เขาคิดเพิ่มอีก
เฮ้อ...
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in