เมื่อลมหายใจกลายเป็นอากาศ...
ผมจำได้ว่า ผมเคยเห็นและอ่านออกเสียงชื่อหนังสือเล่มนี้ เป็นจังหวะพ้องกันในใจหลายครั้งแล้ว ชื่อหนังสือสี่คำนี้ลอยผ่านสายตา ไหลเวียนปะปนกับข่าวสารและเรื่องราวบนหน้าจอมือถือผมในความถี่ที่ไม่บ่อยนักแต่ก็ไม่ขาดหาย แต่ถึงอย่างนั้นการปรากฏขึ้นและเลือนหายไปของมัน ก็หวนกลับมาอยู่ในจังหวะที่เหมาะเจาะอีกครั้ง เมื่อผมได้อ่านคำแนะนำหนังสือเล่มนี้ใน twitter อ.ประจักษ์ ก้องกีรติ นักวิชาการด้านสังคมศาสตร์และการเมือง ที่ผม follow อยู่ว่า
"เล่มนี้เป็นหนังสือดีที่สุดเล่มหนึ่งที่ได้อ่านในรอบปีที่แล้ว พูดถึงความหมายของชีวิต
คนเขียนเป็นนายแพทย์แต่ใช้ภาษาได้งามราวกับงานวรรณกรรมชั้นดี"
ข้อความสุดกระชับไม่เกิน 120 ตัวอักษรนั่นเอง คือจังหวะรัวกลองปิดสนามลั่นสุดท้าย ที่ผลักดันให้ผมรีบตัดสินใจไปฉวย When Breath Becomes Air จากชั้นในร้านหนังสือ ในอีกไม่กี่วันต่อมา
เมื่อลมหายใจกลายเป็นอากาศ คือเรื่องราวที่ Dr. Paul Kalnithi ประสาทศัลยแพทย์ ชาวอเมริกันเชื้อสายอินเดีย ได้เล่าถึงมุมมองต่อชีวิตตนเองและความพยายามอย่างกล้าหาญถึงที่สุด ในการต่อสู้กับมะเร็งร้ายที่แพร่กระจายไปทั่วปอดของเขา มันคลืบคลานเข้ามาในช่วงที่ Paul กำลังถึงจุดสูงสุดของสายอาชีพ ณ ทำเลแห่งชีวิตที่งดงามทั้งการงานและครอบครัวนั่นเอง ที่ซึ่งเขากำลังได้รับตำแหน่งแพทย์หัวหน้าศูนย์วิจัยทางประสาทวิทยา และกำลังวางแผนสร้างครอบครัวที่มั่นคงกับ Dr. Lucy ภรรยาผู้คบหากันมาตั้งแต่เป็นนักเรียนแพทย์ และเป็นคนเดียวกันที่จะประครอง Paul ไปยังวันสุดท้ายของลมหายใจ
Paul เกริ่นเรื่องด้วยการพาชีวิตตัวเองย้อนไปในสมัยเด็ก กลางที่ราบสูงทะเลทรายร้อนระอุในรัฐ Arizona เขาในวัยนักเรียน High School มักเดินเตร็ดเตร่ลอบเลาะผืนทรายท่ามกลางความสงสัยในชีวิตและความหมายของการดำรงอยู่ วรรณกรรม ปรัชญา และกวีนิพนธ์ ถูกอ่านและซึมซาบสู่สำนึกของเขา ราวกับว่าสิ่งนามธรรมเหล่านั้น จะกลายเป็นคำตอบของสิ่งที่เขาเฝ้าสงสัยมาโดยตลอด จนกระทั่งเขามองเห็นอีกสิ่งหนึ่ง สิ่งทางกายภาพที่รองรับฐานความรู้สึกนึกคิดและการมีชีวิตจิตใจของมนุษย์ ที่อาจจะสามารถมาเติมเต็มความใคร่สงสัยของเขาได้ ความซับซ้อน, ลึกลับ รวมถึงน่าค้นหาของสมองและระบบประสาท หันความสนใจของ Paul มาสู่การปักหมุดหมายให้ชีวิต ในฐานะประสาทศัลยแพทย์ในที่สุด
เขาพาเราล่องไปในทะเลสาบแห่งความทรงจำ ตั้งแต่ระลอกคลื่นแรก ที่ Paul ได้กรีดใบมีดลงบนผิวแข็งกร้านจากน้ำยาดองศพของอาจารย์ใหญ่ เรื่อยไปจนถึงฉากที่เขากลายเป็นหัวหน้าแพทย์ประจำบ้านผู้เก่งกาจ มีเพียงแค่เนื้อเยื่อประสาทที่ผิดปกติเท่านั้น ที่มีค่าพอจะจรดกับใบมีดผ่าตัดของเขาได้ บางครั้งเขาก็พาเราโยนตัวออกไปลอยคว้างในฐานะผู้สังเกตการณ์ ขณะที่เรือความทรงจำของเขาลำนั้น กำลังโต้ไปบนเกลียวคลื่นแห่งจริยธรรม เรื่องราวหมิ่นเหม่ทางจริยธรรมการแพทย์ของเขาและเพื่อนร่วมงาน ถูกเล่าอย่างเกรี้ยวกราดทว่าเยือกเย็น หลายครั้งข้อความที่ Paul เล่า มันสั่นกระเทือนคนอ่านอย่างผม ที่ซึ่งเป็นฟันเฟืองหนึ่งของระบบการแพทย์ขนาดมหึมา ให้กลับมาตั้งคำถามต่อตัวเอง และตระหนักละอายในบางอย่างที่เคยได้คิดหรือกระทำลงไป
แม้ที่หมายของเรือความทรงจำลำนี้ ดูเหมือนจะแน่ชัดแล้ว นั่นคือการล่องไปเกยฝั่ง หาดแสนสงบที่ซึ่งลมหายใจของพอลจะปนคลุ้งไปกับสายลมและอากาศ แต่เขาเองก็คงเป็นต้นหนทีี่ดีเดือดไม่เบา Paul พาเรามุ่งเข้าไปในทิศทางลมร้ายแห่งความตายนับครั้งไม่ถ้วน เรื่องราวศัลยแพทย์ผู้คลุกคลีกับความตายของคนไข้และผู้คนรอบกาย ถูกถ่ายทอดอย่างตรงไปตรงมาแต่ก็คลุกเคล้าด้วยภาษาที่กลมกล่อมมีสเน่ห์ จนบางคราวก็ทำให้ผู้อ่านอย่างเราพลอยรู้สึกคุ้นชินกับความตายไปอย่างไม่รู้ตัว เหตุใดความตายมันช่างแสนธรรมดาและใกล้ตัวเสียเหลือเกิน...
ภาษาและการลำดับเรื่องราวขอ Paul โยกโคลงเราไปมา ราวกับว่าเขาเองนั่นแหละ ที่เป็นผู้บรรจงสร้างระลอกคลื่นเหล่านั้นอย่างละเมียดละไม เขาเองยังชวนให้เราตั้งคำถามถึงความฝันและความสำเร็จฉาบฉวยที่สังคมให้ค่า ตลอดจนศรัทธาในศาสนา กับคุณค่าแท้จริงของการมีชีวิตอยู่ เขาทยอยจุดไฟให้เราเห็นว่า สิ่งต่างๆที่เราต่อสู้ และกอปรร่างมันขึ้นมาตลอดทั้งชีวิต ก็หามีค่าไปมากกว่าลมหายใจในวินาทีที่เรากำลังจะตาย เมื่อยามที่การสูดอากาศเข้าปอดและหายใจออกยังเป็นเรื่องง่ายดาย เรามักต่างลืมที่จะฉกฉวยความสุขจากมันไปเสียสนิท
ใครจะไปรู้เล่าว่าการเฝ้าตามหาความหมายชีวิต ของเด็กหนุ่มปราดเปรื่องคนหนึ่ง คำตอบของคำถามนั้นมิได้ปรากฏในรูปของปรัชญานามธรรม หรือแม้แต่ในคราบหมอที่เก่งกาจ ผู้เคยผ่านการจากลาของชีวิตนับครั้งไม่ถ้วน ทว่ากลับเป็นสภาวะอ่อนล้าไร้เรี่ยวแรงต้านต่อความตาย ในฐานะ "คนไข้" ต่างหากที่พาเขาเข้าใกล้คำตอบที่เขาแสวงหามาทั้งชีวิต
เมื่อยามที่วาระสุดท้ายของ Paul มาถึง เขาอยู่พร้อมหน้าท่ามกลางครอบครัวที่เขารัก และ Cady ตัวน้อย ลูกสาววัยแบเบาะเพียงคนเดียวของเขา ที่นอนซุกอยู่ในวงแขนที่ผ่ายผอมและโรยราเต็มที แน่นอนตอนนี้ Paul พาพวกเรามาถึงฝั่งแล้ว มันเป็นการถึงฝั่งอย่างฉับพลัน ที่เขาไม่ได้เล่ารายละเอียดอะไรมากนัก คงอาจเป็นเพราะเขาคงจะกำลังต่อสู้อย่างทรมานกับมะเร็งที่กำลังดื้อยาและลุกลานไปทั่วพูปอดของเขาทั้งสอง หลังจากนั้น Lucy รับหน้าที่เป็นผู้ส่งและขมวดสารทั้งหมดของ Pual ให้แก่เรา เธอเล่าเรื่องอย่างราบเรียบและเข้มแข็ง เธอโอมอุ้มขณะเดียวกันก็คลี่คลายลมหายใจสุดท้ายของ Paul ให้โผยพัดไปกับอากาศและล่องลอยมาสู่พวกเราอีกครั้ง ด้วยความรักที่เธอมีให้ Paul อย่างน่านับถือ มันจึงถูกถ่ายทอดออกมาเป็นบทสุดท้ายที่แสนงดงามของหนังสือเล่มนี้
เมื่ออ่านถึงย่อหน้าสุดท้ายของหนังสือ ผมรู้สึกว่าอารมณ์หนักอึ้งโบ๋กลวงมากมายที่เราได้เผชิญมาในสองบทแรก กลับถูกเติมจนเต็มด้วยวิธีการเล่าเรื่องที่เรียบง่ายและเบาสบายของ Lucy เธอเสมือนทำให้ Paul ที่เคยหายวับไป กลับมาหาเราที่ชายฝั่งของทะเลสาบแห่งนั้นอีกครั้ง และเขาจะยังคงสถิตย์อยู่ที่นั่น ตราบที่หน้ากระดาษของหนังสือเล่มนี้ยังถูกพลิกอ่านโดยผู้คน
ถ้าหากใครสักคนจะยกให้ When Breath Becomes Air เป็นหนังสือที่พูดถึงความตายได้อย่างงดงามที่สุด Paul อาจทำให้มันงดงามก็จริงอยู่ แต่สำหรับผม Lucy ต่างหาก คือผู้แต่งแต้มเรื่องราวนี้ให้งดงามได้อย่างถึง "ที่สุด" ให้แม้แต่ลมหายใจสุดท้ายของชีวิต กลับกลายไปเป็นอากาศโปร่งสบาย งดงามและพัดพายไปราวกับสายลม
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in