จากที่อาริและไคสะว่าไว้
‘ที่รัก’ ของเอฟเวอลินนั้นมีหลายรูปแบบ เป็นเรื่องปกติทั่วไป และไม่ได้พิเศษอะไรนัก
อาคาลิใช้เวลาอยู่พักใหญ่ในการทำตัวให้ชินกับมัน รวมถึงเรียนรู้และทำความเข้าใจไปด้วย
มันอาจเป็นคำเรียกชื่อเล่นแทนตัวคู่สนทนา อันนี้บ่อยสุด วิธีที่เธอใช้แสดงความใกล้ชิดผสมเอ็นดู เป็นการเรียกเสียงหวานหากคนพูดอารมณ์ดี, หรือหวานยิ่งกว่าหากเป็นการจิกกัดหยอกล้อที่เจ้าตัวชอบนักหนา อาคาลิได้ยินเอฟเวอลินใช้กับไคสะและอาริอยู่บ่อยๆ มีบ้างที่เป็นคนที่เธอไม่รู้จัก แต่ก็เห็นได้ชัดว่าเป็นเพื่อนที่ดีของเอฟเวอลิน บางครั้งเธอเองก็ถูกเรียกแบบนั้นอยู่บ้าง – ไม่ถี่เท่าสองคนแรก แน่ล่ะ – แต่ก็มี อะไรประเภท: “ที่รัก เธอลืมหมวกเอาไว้” หรือ “ที่รัก อาหารขยะพวกนั้นจะฆ่าเธอก่อนอายุยี่สิบแปด” อะไรเทือกๆ นั้น
หรืออาจเป็นคำเตือน อาคาลิยังไม่เคยเจอกับตัวหรอกนะ, ยัง
พวกนั้นมักจะมาพร้อมกับน้ำเสียงราบเรียบและสายตาไม่สบอารมณ์ เมื่อคนคนนั้นเป็นเอฟเวอลิน แค่สองอย่างก็มากพอที่จะทำให้นักข่าวหรือพิธีกรปากไม่ดีหน้าเสียและยอมถอย เป็นปฏิกิริยาตามธรรมชาติ อาคาลิเข้าใจพวกเขาอยู่ มีบ้างเหมือนกันที่ยังพยายามจะต่อต้าน เอฟเวอลินก็แค่จ้องตานานเข้าหน่อย, ไม่นานก็เสตาหนีกันทุกราย บางรายถึงกับเดินหนีออกไปด้วยความอับอาย ปล่อยให้เจ้าตัวยักไหล่อย่างไม่แยแส ประเภทนี้จะเจอได้ยากกว่าหน่อย แต่ก็เห็นได้ประปราย
แล้วก็.. แบบที่สาม
แบบที่สาม.. ว่ากันตามตรง อาคาลิยังไม่ชินมันนักหรอก
เท่าที่สังเกต เอฟเวอลินไม่เคยใช้กับใครให้เธอเห็น มักจะเกิดในเวลาที่อยู่กันตามลำพัง, คนอื่นไม่อยู่ในระยะได้ยิน และระยะห่างระหว่างเราน้อยกว่าปกติ
คล้ายกับตอนนี้
(เธอเปล่าคาดหวัง จริงนะๆ)
“ไม่เลวเลย นี่น่าจะใช้ได้แล้วล่ะ” ในที่สุด.. ในที่สุด เอฟเวอลินก็เงยหน้าขึ้นมาจากกระดาษในมือ ใบหน้ามีรอยยิ้มน้อยๆ แสดงความพอใจ อาคาลิถอนหายใจเฮือกโตอย่างโล่งอก แทบจะไหลตัวจมลงไปกับโซฟา หลับตาด้วยความเหนื่อยล้า
พวกเธอใช้เวลาตั้งแต่บ่ายขลุกอยู่กับท่อนแรพที่อาริมอบหมายมาให้เธอ หัวข้อนั้นเปิดกว้างจนชวนให้หัวโล่งและออกนอกประเด็น แต่ยังมีเอฟเวอลินคอยให้คำแนะนำปรึกษาไม่ให้มันหลุดไปจากตีมรวมของป๊อบ/สตาร์มากนัก อาคาลิไม่บ่นหรอก การมีเส้นกรอบ (และคนที่พร้อมจะแสดงความเห็นตรงๆ) ช่วยสโคปงานให้ชัดเจนมากขึ้น และอีฟไม่ใช่คนปิดใจ เป็นมืออาชีพพอจะรับฟังหากสิ่งที่เธอเสนอมามันออกมาเข้าท่า นั่นทำให้ทุกอย่างสนุก
“ฉันนี่แหละปัญหาที่พวกเธอต้องการ– ” ได้ยินเสียงทวนอ่านอีกครั้ง เกือบจะร้องเป็นเพลง อาคาลิส่งเสียงในคอรับ นิ้วเคาะจังหวะที่เล่นวนอยู่ในหัว แต่ก็ลืมตาขึ้นข้างหนึ่งเมื่อรู้สึกถึงน้ำหนักบนเบาะนั่งที่เปลี่ยนไป เป็นเอฟเวอลินที่ขยับหันมาทางที่เธอนั่งอยู่ “เห็นไหม ฉันบอกแล้ว ดีกว่ารอบก่อนตั้งเยอะ”
“เฮ้! ฉันออกจะชอบท่อน ฉันจะตัดลิ้นแกก่อนแกจะพูดมันออกมา”
“ดุดันดี” เอฟเวอลินส่ายหัวเบาๆ น้ำเสียงติดขบขัน “แต่ตอนนี้รวมๆ ก็มากพอแล้ว ชวนให้ฮึกเหิมกับยั่วโมโหชาวบ้านมีเส้นบางๆ กั้นอยู่ เราอยากให้เพลงนี้อยู่ในประเภทแรก”
โดยไม่ทันคิด อาคาลิหัวเราะ “ว้าว.. ดูสิใครกำลังสอนเรื่องยั่วโมโห”
เอฟเวอลินตวัดสายตามาแทบทันที อาคาลิชะงักกึก บางทีอาริอาจจะพูดถูก นิสัยพูดก่อนคิดนี่ควรถูกยั้งไว้ใช้แค่ตอนแรพสด
“เธอกำลังบอกว่าฉันยั่วโมโหคนบ่อย?” แต่ผิดคาด เอฟเวอลิน.. ไม่โกรธ มีแค่รอยยิ้มที่เปลี่ยนไป “ไม่เอาน่า, ที่รัก, ฉันเคยเป็นแบบนั้นที่ไหน?”
นั่นไง นั่นไง นั่นล่ะ ประเภทที่สาม
ประเภทที่ทำให้จังหวะของประโยคยานคาง ประเภทที่พูดพร้อมตาที่ปรือลงและมีรอยยิ้มไม่ชอบมาพากล แค่คำว่าที่รักคำเดียวก็เหมือนทำให้ห้องร้อนขึ้นมาอย่าง-โคตร-ไม่สมเหตุสมผล นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มันเกิดขึ้น แต่นั่นไม่ได้ทำให้บรรยากาศเบาบางลงไปซักนิด, โอ้ ตรงข้ามเลยต่างหาก
อาคาลิกลืนน้ำลาย “ก็.. เธอชอบทำ.. แบบนั้น”
“แบบนั้น?”
มันทำอารมณ์เธอปั่นป่วน มันทำให้หัวเธอหมุน มันทำให้เธออยู่ไม่สุข มันทำให้เธออยากจะทำอะไรซักอย่างที่จะลบรอยยิ้มนั่นออกจากใบหน้าสวยๆ–
“เรียกที่รักๆ ไปทั่ว”
เอฟเวอลินเลิกคิ้วข้างหนึ่ง “นั่นเขาไม่ได้เรียกยั่วโมโห กับไคสะหรืออาริฉันก็เรียก”
“ไม่ใช่.. แบบนี้” อาคาลิหันมามองตาตรงๆ ซึ่งเป็นทางเลือกที่แย่มาก ลิ้นเธอเริ่มจะพันกันแล้ว “ไม่ใช่ด้วยเสียงแบบนี้ มันอย่างกับ..”
เหมือนจะชอบใจกับคำตอบ รอบนี้ไม่มีคำแก้ตัว เอฟเวอลินเพียงแค่ยิ้มกว้างขึ้นอีก เอียงคอ สบตาตอบ ท่าทางอย่างกับกำลังมีเวลาดีๆ เกือบจะดูสนุก สายตานั่นรอให้เธอพูดต่อ
“..อย่างกับเธอพยายามอ่อยฉันอยู่”
ครั้งนี้ เอฟเวอลินขมวดคิ้ว– ทีแบบนี้ล่ะทำหน้าเหมือนโดนดูถูก– แต่อาการนั้นทำอาคาลิใจหายวูบ ปลายนิ้วเย็นเฉียบ รีบอ้าปากจะพูดต่อ
“ซึ่งนั่นไม่–”
“..นั่นคือสิ่งที่ฉันทำมาตลอดสองเดือนนี้ ประทานโทษ เธอจะบอกว่าเธอไม่รู้ตัว?”
อาคาลิกะพริบตา “..ไงนะ?”
ปกติแล้วเอฟเวอลินไม่ได้แสดงออกทางสีหน้ามากนัก แต่ตอนนี้มีประกายขบขันแวววับเข้ามาแทนที่ในตาสีทอง ในน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ “ไม่สิ รู้ แต่ดันคิดว่าฉัน.. ยั่วโมโห?”
“ฉันไม่–”
เอฟเวอลินหลุดเสียงหัวเราะออกมาอย่างที่เธอไม่เคยได้ยิน อาคาลิทำตัวไม่ถูกยิ่งกว่าเก่า รับรู้เพียงแค่หน้าตัวเองมันร้อนขึ้นมาจนรับรู้ได้ จะจากความอับอายหรืออะไรก็ตาม
“โอ้ย— โถ่ โร้ก” อีฟเองก็หน้าแดง– แต่คงต่างสาเหตุกันอยู่ เสียงทั้งขำทั้งเอ็นดูอย่างไม่ปิดบัง “ฉันลืมไป ให้ตาย เด็กหนอเด็ก..”
“เฮ้.. เฮ้! พอเลยนะ! ฉัน– ใครจะไปคิดว่าเธอตั้งใจจะ–"
"อย่างนั้นก็เข้าใจถูกได้แล้วที่รัก," นักร้องนำของเธอยังหัวเราะเบาๆ ไมได้ใส่ใจการปรามนั่นมากนัก แต่โน้มตัวมาทางเธอมากขึ้น ปลายเท้าข้างหนึ่คลอเคลียอยู่กับขาข้างที่ใกล้ อ้อยอิ่งอยู่อย่างนั้น "ฉันตั้งใจสุดๆ เลยล่ะ"
อาคาลิคิดว่าเธอควรไปเขย่าคออาริกับไคสะคนละสองสามรอบ
ปกติทั่วไปกับผีเถอะ
อีฟ: ฟ็อกซ์ อาคาลิตามฉันไม่ทัน ;(
อาริ: ..ถ้าน้องมันตามทันสิน่าตกใจ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in