”ผู้ที่สันโดษและโดดเดี่ยว ถ้าไม่ใช่สัตว์ร้ายก็เป็นเทพยดา“
— Aristotle
ตอนแรกของซีรีส์เปิดมาด้วยถ้อยคำจากหนังสือ Politik ของนักปรัชญาคนสำคัญที่ชื่อว่า อริสโตเติ้ล หลายคนอาจจะเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า “มนุษย์เป็นสัตว์สังคม” หรือจะเป็น “คนที่เป็นเพื่อนกับทุกคนไม่ได้เป็นเพื่อนกับใครเลย” เหล่านี้ล้วนเป็นคำกล่าวจากอริสโตเติ้ล เราก็เลยเดาไว้ตั้งแต่แรกว่าคอนเซปท์ของซีรี่ส์เรื่องนี้น่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับมิตรภาพ เพราะว่าอริสโตเติ้ลเองเป็นนักปรัชญาที่พูดเกี่ยวกับเรื่องมิตรภาพ ถือว่ามิตรภาพเป็นคุณธรรม (Virtue) หนึ่งที่มนุษย์จะต้องมีด้วยเช่นกัน นั่นทำให้เราอินกับเรื่องนี้และสนใจติดตามมาตั้งแต่ตอนแรก
…
ณ Monster Vintage ตึกเก่าทรงวินเทจซึ่งเป็นที่อยู่ของร้านซื้อขายของมีค่าที่เหอชูเฝิงและโรบินดูแลอยู่ โดยคุณยายเศรษฐีใจดีคนหนึ่งผู้เป็นเจ้าของร้านปล่อยให้เช่าพักไปพร้อมกัน ชูเฝิงได้รับจดหมายปริศนาหลายฉบับ จดหมายถูกส่งมาถึงเขาอย่างสม่ำเสมอ เนื้อหาด้านในของจดหมายมีแค่เขาคนเดียวที่รู้ แม้แต่โรบินเพื่อนสนิทยังไม่เคยได้รู้
วันหนึ่งมีไอดอลชื่อดังจ้างเหอชูเฝิงไปทำกุญแจที่บ้านให้ หลังจากเธอรู้สึกว่ามีซาแซงติดตาม งานนี้ทำให้เขาได้บังเอิญพบกับสุยอี้ ผู้เป็นแฟนคลับตัวยงและทำงานให้บริษัทกฏหมายซึ่งเป็นทนายให้กับไอดอลคนนี้ หลังจากทุกคนช่วยกันแก้ปัญหาซาแซงเสร็จสิ้นแล้ว สุยอี้ดันเจอปัญหาใหม่ และสุดท้ายก็ได้ย้ายไปพักอยู่ที่ Monster Vintage กับชูเฝิงและโรบิน ทุกคนอยู่ด้วยกันแบบครอบครัว ช่วยเหลือดูแลกัน ทำให้ทุกคนสนิทสนมกัน และความสัมพันธ์นั้นพัฒนามากขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งวันหนึ่งชูเฝิงได้พบเข้ากับอาจารย์ของตนเองที่เพิ่งออกจากคุก เจ้าของจดหมายปริศนาเหล่านั้น…
“เหอชูเฝิง” รับบทโดย ปี้เหวินจวิ้น
นักไขกุญแจอาชีพ หนุ่มหล่อสุขุม มาดนิ่ง ด้วยความที่ต้องใชัสมาธิอย่างมากในการทำงาน ทำให้เขาเป็นคนช่างสังเกตและใส่ใจคนอื่นอยู่เงียบ ๆ เสมอ ในโลกยุคดิจิตอลที่คนส่วนใหญ่เปลี่ยนไปใช้การไขกุญแจแบบดิจิตอลที่ต้องแสกนนิ้วมือ หรือไม่ก็ใส่รหัสผ่าน เหอชูเฝิงกลับชอบและสนุกกับการไขกุญแจแบบอนาล็อก ที่ใช้ความชำนาญและทักษะขั้นสูง การปลดล็อกกุญแจก็เหมือนการไขรหัสปลดล็อกด่านความท้าทายได้ เปิดประตูไปสู่หลายสิ่งหลายอย่างที่ถูกซ่อนเร้นเอาไว้
”สุยอี้ซือ“ รับบทโดย ซุนอี้หาน
ทนายความฝึกหัดผู้ห้าวหาญ ต่างจากลุคภายนอกที่ดูเป็นสาวน่ารักสดใส แน่นอนว่าเธอไม่ใช่คนที่ยอมคนง่าย ๆ สมกับที่เธอเป็นทนายความผู้ผดุงความยุติธรรมให้กับผู้คน เธออาศัยอยู่ในห้องเช่าคนเดียว และทำงานอยู่ไม่ไกลจาก Monster Vintage ร้านขายของวินเทจที่เหอชูเฝิงและโรบินดูแลอยู่ ณ ชุมชนแห่งหนึ่ง หลังจากที่ได้พบเข้ากับเหอชูเฝิงและโรบินด้วยเหตุบังเอิญ จู่ ๆ ก็ดันได้ไปช่วยกันแก้ปัญหาให้ชาวบ้านเขา วุ่นวายเอาเรื่อง หลังจากที่ได้รู้จักกันมากขึ้นเธอกลับพบว่า ความจริงแล้วโชคชะตาได้นำพามิตรดี ๆ มาให้เธอนี่เอง
การไขกุญแจอนาล็อกแบบเหอชูเฝิง ไม่ว่าจะเป็นไขประตู หีบสมบัติล้ำค่า ตู้เซฟ หรือกุญแจอะไรก็ตามแต่ การไขกุญแจล้วนก็เป็นการปลดล็อกอะไรบางอย่างที่อยู่เบื้องหลังแม่กุญแจนั้น อาจจะเป็นการช่วยชีวิตคน การเปิดเผยความจริง และแน่นอน บางครั้งอาจเป็นสมบัติล้ำค่าที่เก็บไว้และใส่รหัสอย่างดี
มุมมองของผู้คนต่อการไขกุญแจในแง่ที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ อาจมองว่าการไขกุญแจเป็นการลักขโมยได้ เช่น แอบไขบ้านคนอื่น ไขตู้เซฟเพื่อเอาของมีค่าต่าง ๆ เรียกได้ว่าเป็นการไขรหัสแบบไม่ซื่อตรง ต้องใช้ความพยายามในการเข้ารหัส เพราะวิธีที่ซื่อตรงก็คือการปลดล็อกด้วยลูกกุญแจหรือรหัสที่ตั้งไว้แต่แรก สิ่งที่สำคัญมากคือการซื่อสัตย์ต่อตนเองและผู้อื่น แน่นอนว่าการไขกุญแจโดยตัวมันเองแล้ว ไม่ได้ดีหรือเลว เหมือนกับที่อาจารย์ของเหอชูเฝิงเคยพูดไว้ ขึ้นอยู่กับคนไขกุญแจเท่านั้นว่าทำไปเพื่ออะไร
และก็นี่คือซีนต้นคริสมาสต์ในตำนาน การสารภาพรักมันง่ายขนาดนั้นเลย? (แต่คนดูน่าจะเขินไปหมดแล้วตอนนี้)
จากผู้เขียน
ต้องบอกก่อนว่า The Silence of the Monster เป็นความทรงจำที่ดีในปี 2022 ของเราจริง ๆ ถ้าถามว่าเราเห็นอะไรชัดเจนที่สุดในเรื่องนี้ คำตอบก็คงเป็น “คุณค่าของการมีเพื่อน” ส่วนตัวเราค่อนข้างอินกับเรื่องเพื่อนหรือมิตรภาพมาก ๆ เพราะเราเข้าใจว่าการมีเพื่อนมันดียังไง ยิ่งเป็นคนชนิดที่ว่า อยู่คนเดียวได้แต่มีเพื่อนดีกว่าเสมอ อะไรประมาณนั้น หัวใจสำคัญของซีรี่ย์เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องมิตรภาพ มันน่าซึ้งใจมาก ๆ การที่ตัวละครแต่ละตัวเดินมาพบกัน และต่อจากนั้น ในเส้นทางชีวิตของแต่ละคนก็มีเพื่อนร่วมทางที่เดินไปด้วยกัน และไม่ต้องพบเจออะไรคนเดียวอีกต่อไป ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ดีมาก ๆ สำหรับคนที่เผชิญอะไรมามากมายในชีวิตด้วยตัวคนเดียวตลอดมา
มีรายละเอียดหลายอย่างมากที่เราชอบในซีรีส์เรื่องนี้ นี่คงจะเป็นซีรีส์ที่รักมากที่สุดอีกเรื่องหนึ่งของเราเลย ความสัมพันธ์ของพระนางเป็นความสัมพันธ์ที่น่ารักมาก เป็นตัวอย่างของความสัมพันธ์ที่มีความเข้าอกเข้าใจกันและกัน เปิดใจคุยกันเสมอเมื่อมีปัญหาหรือว่ามีอะไรในใจ และเคารพกันและกัน เรียกได้ว่า พวกเขาทั้งสองเปิดเผยหัวใจของตัวเองออกมาอย่างซื่อตรง
นักแสดงทุกคนเคมีเข้ากันมาก ๆ เราติดตามผลงานปี้เหวินจวิ้นมาหลายเรื่อง สำหรับบทบาทนี้เขาเป็นเหอชูเฝิงได้อย่างสมบูรณ์แบบและยังได้พากย์เสียงเองอีกด้วย นอกจากนี้เรายังรู้มาว่าผู้กำกับเรื่องนี้เป็นคนเดียวกันที่กำกับเรื่อง Where the lost one goes (2017) ซึ่งเป็นซีรีส์ coming of age ที่เล่าเรื่องได้สวยงามมาก นั่นก็อาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เราตกหลุมรักผลงานชิ้นนี้ของเธอไม่แพ้กัน
หากพูดถึงซีนที่เราประทับใจมาก ๆ (สปอยล์เล็กน้อยนะคะ) ก็คงเป็นตอนสุดท้ายที่ชูเฝิงนั่งคุยกับสุยอี้หลังจากที่สุยอี้ออกจากโรงพยาบาลแล้ว เป็นซีนที่ดูแค่สายตาของทั้งคู่ก็รู้ว่าเขารักกันขนาดไหน แต่สายตานั้นก็ปนไปด้วยความเศร้า ในวันที่สุยอี้สูญเสียเสียงพูดของตัวเองไปจากเหตุการณ์บางอย่างที่เกิดขึ้น เขาที่รักเหอชูเฝิงมาก ๆ แต่ยอมที่จะปล่อยมือไป เพื่อที่จะมาใช้เวลาอยู่กับตัวเอง รักตัวเอง และเข้าใจตัวเอง ถึงแม้เขาจะต้องการเหอชูเฝิงอยู่ก็ตาม เราชอบซีนนี้เพราะเรามองว่าสุยอี้กล้าหาญมาก ในการเดินออกมาในสถานการณ์นั้น สิ่งที่สุยอี้เจอกระทบกับชีวิตตัวเองค่อนข้างหนัก เรามองเห็นเธอในมุมที่เป็นทนายฝึกหัด สดใส กล้าหาญ ไม่เกรงกลัวใครและอะไรใดใดเลย วันหนึ่งเธอทำเป้าหมายของตัวเองสำเร็จแล้ว รอวันที่จะได้เป็นทนาย ทำหน้าที่ในแบบที่ตัวเองใฝ่ฝัน แต่ดันมาสูญเสียสิ่งสำคัญอย่างเสียงของเธอไป เราสัมผัสได้ถึงความเศร้าของสุยอี้ในการสูญเสียความหวังนั้นไป และนับถือมากที่เขาเลือกที่จะเดินออกมาก่อน เธอเป็นคนที่รู้จักตัวเองและเคารพตัวเองจริงๆ
ที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลย คือตอนที่โรบินไปเจออาจารย์ของชูเฝิง และด้วยอารมณ์โมโหของเขาเมื่อรู้ว่าเพื่อนของตัวเองถูกทำร้าย เขาก็ไม่สามารถนิ่งเฉยได้ สิ่งที่เขาทำก็คือการไปแก้แค้นให้เพื่อน ความจริงคือ เขาก็น่าจะรู้ว่าสิ่งที่เขาทำอาจจะไม่ถูกต้อง แต่เขาก็ยอมที่จะรับโทษด้วยความเต็มใจ นี่อาจเป็นสิ่งเดียวที่เขาจะทำให้เพื่อนได้เพื่อคลายปมในใจระหว่างเขาและเพื่อนรักอย่างเหอชูเฝิง เราซึ้งใจสุด ๆ
โดยรวมแล้วเรารู้สึกว่าซีรีส์เรื่องนี้ทำให้เราสัมผัสได้ถึงมวลความอบอุ่น ความน่ารัก และคุณค่าของมิตรภาพ รวมไปถึงมิติความเป็นมนุษย์ที่มีทั้งดีและเลว บางคนยอมทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องเพื่อปกป้องเพื่อนของตัวเอง บางคนยอมก้าวข้ามความถูกต้องเพื่อทำให้ชีวิตตัวเองมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และบางคนเชื่อว่าการทำในสิ่งที่ถูกต้องนั้นสำคัญที่สุดและมาก่อนเสมอ
บรรยากาศของซีรี่ย์เรื่องนี้เหมาะกับช่วงเดือนธันวาคมที่ใกล้กับเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่มาก ๆ เหตุผลหนึ่งอาจเป็นเพราะว่าในเรื่องก็มีฉากที่อยู่ในช่วงเทศกาลเหล่านี้เหมือนกัน มันทำให้เราได้สัมผัสถึงมวลความอบอุ่นและสีสันในช่วงเทศกาลของช่วงเวลาใกล้สิ้นปีจริง ๆ แม้ว่าจะผ่านไปเกือบหนึ่งปีแล้ว ตัวเราเองที่กลับมาดูซีรี่ย์เรื่องนี้ซ้ำอีกครั้งในปีต่อมา ยังคงสัมผัสได้ถึงความรู้สึกของเดือนธันวาคมในปีที่แล้ว ซีรี่ย์ที่ห้อยความทรงจำเก่า ๆ ของเรามาด้วย ถ้าหากใครยังไม่ได้ดูแล้วล่ะก็ ลองเปิดดูสักหนึ่งตอนในเดือนธันวา ให้ซีรีส์เรื่องนี้เป็นหนึ่งในความทรงจำท้ายปีของคุณก่อนที่จะเริ่มต้นปีใหม่ที่สดใสของคุณ
ช่องทางการรับชม: iQiyi หรือ TrueiD, Youku
📍ซื้อ IQiyi VIP Voucher เพื่อรับชมเนื้อหาวีไอพี
…สุดท้ายนี้ก็อยากจะฝากเพลงประกอบซีรีส์ที่แสนจะอบอุ่นไว้ให้ทุกคนได้ฟังกันค่ะ ♡
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in