ลึกลงไปในใจของมนุษย์ที่ผ่านเรื่องราวและอิทธิพลต่าง ๆ ในชีวิต ย่อมมีมุมใดมุมหนึ่งที่ความกลัวซ่อนตัวอยู่ แน่นอนว่าความกลัวสามารถสร้างความกดดันและเป็นอุปสรรคในการทำบางสิ่งได้ แต่จะให้ความกลัวเหล่านั้นมาหยุดเราไว้เท่านี้หรือ? หากยอมรับความกลัวนั้นและก้าวผ่านไปได้สำเร็จ ความกลัวก็ไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัวอีกต่อไป
หัวข้อเกี่ยวกับความกลัวและการเอาชนะตัวเองนี้ถูกคุณโนจีฮุน (Director of DRIPPIN’s Allegory) นำมาถ่ายทอดให้พวกเราชมผ่านปฐมบทของ DRIPPIN วงรุกกี้บอยกรุ๊ปจากค่าย Woollim Ent. ที่เปิดตัวไปเมื่อวันที่ 28 ตุลาคมที่ผ่านมา เนื่องจากมีรายละเอียดที่น่าสนใจเกี่ยวกับการถ่ายทำ เราเลยนำมาแปลและใส่ความเห็นเพิ่มเติมบางส่วนให้ทุกคนได้อ่านกันในบทความนี้ครับ
Allegory of DRIPPIN มี ความกลัว (fear) และการเอาชนะ (overcome) เป็นแก่นหลักในการถ่ายทำ ซึ่งสมาชิกจะมีวัตถุเป็นตัวแทนความกลัวที่แต่ละคนต้องก้าวผ่านเป็นคีย์ และกล่องที่บรรจุความกลัวของสมาชิกทั้ง 7 คนนั้น ได้แรงบันดาลใจมาจากเรื่อง ‘Le Petit Prince’ หรือ เจ้าชายน้อย ในช่วงที่เจ้าชายน้อยขอให้นักบินวาดแกะให้ตน แต่นักบินวาดกี่ครั้งก็ไม่ใช่แกะแบบที่เจ้าชายน้อยคิดเสียที เขาจึงวาดกล่องนี้ขึ้นมาให้เจ้าชายน้อยบรรจุแกะที่เขาจินตนาการขึ้นมาเอง ซึ่งความกลัวของสมาชิกแต่ละคนนั้นก็เหมือนกับแกะที่เจ้าชายน้อยนึกภาพไว้ เพราะมีเพียงพวกเขาทั้ง 7 ที่รู้ว่าความกลัวของตัวเองนั้นคืออะไร นอกจากนี้คุณโนจีฮุนยังกล่าวเกี่ยวกับกล่องใบนี้ว่า “ลักษณะของกล่องแต่ละใบนั้นมีรูปทรงที่ไม่เหมือนสี่เหลี่ยมผืนผ้าทั่วไป เพราะต้องการสื่อว่า ‘สมาชิกแต่ละคนมีความแตกต่างกัน’ เช่นเดียวกับ setting ภายในห้องที่หลากหลายและแปรผันไปตามลักษณะความกลัวของสมาชิก”
สำหรับ จุนโฮ สิ่งที่เป็นภาพแทนความกลัวของเขาคือ นาฬิกาพก (pocket watch) เนื่องจากเขาเคยเดบิวต์มาก่อนและต้องหยุดพักไปช่วงหนึ่ง ในช่วงนั้นเขาไม่รู้ว่ากำลังทำอะไรและกำลังเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง ทำให้เขากังวลกับการเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง โดยจุนโฮนำความกลัวของเขาใส่กล่องและแชร์ประสบการณ์ที่ผ่านมาของเขาแก่สมาชิกแต่ละห้อง ดังที่เราเห็นในทีเซอร์ของจุนโฮว่ามีการส่งกล่องให้สมาชิกทุกคน
นอกจากนี้ฉากที่จุนโฮแบกประตูนั้นเปรียบได้กับตอนที่พระเยซูแบกไม้กางเขน กล่าวคือฉากนี้ต้องการสะท้อนให้เห็นว่าเขาแบกรับความกดดันและความกลัวเกี่ยวกับการเริ่มต้นใหม่มายาวนานแค่ไหน
ขณะที่ ดงยุน ผู้ดูเป็นคนสดใสและร่าเริงมีความกลัวของคือการอยู่คนเดียวปราศจากการเข้าสังคม ดังนั้นคุณโนจีฮุนจึงออกแบบห้องของดงยุนให้เป็นทะเลสาปที่ดูเปล่าเปลี่ยวโดยมีเขาเป็นจุดศูนย์กลางนั่งบนพื้นยกระดับ และมีรูปปั้นหินที่มีผ้าคลุมปกอยู่หันหน้าเขาหากันด้านหลัง ในส่วนของรูปปั้นหินทั้งสอง คุณโนจีฮุนไม่ได้กล่าวถึงรายละเอียดมากนัก แต่สามารถอนุมานได้ว่า รูปเป็นทั้งสองเปรียบเสมือนคนที่คอยควบคุมและมีอิทธิพลต่อตัวดงยุน ในกรณีที่ต้องเชื่อมโยงเข้ากับสัญลักษณ์ความกลัวของดงยุน ถึงกระนั้นรูปปั้นทั้งสองก็เป็นตัวเสริมให้บรรยากาศในห้องของดงยุนมีความเงียบงันและโดดเดี่ยวมากขึ้น เพราะแม้ทั้งสองจะหันหน้าเข้าหากันแต่กลับมีผ้าคลุมปกปิดอยู่
โดยสิ่งที่คุณโนจีฮุนนำมาเป็นภาพแทนความกลัวของดงยุนคือ ตุ๊กตาหุ่นเชิด (Marionette) เนื่องจากเป็นสิ่งที่ไม่สามารถทำตามความปรารถนาได้เพราะถูกควบคุมโดยผู้อื่น จากที่ดงยุนให้สัมภาษณ์กับคุณโนจีฮุนว่า “เวลาเขาชื่นชมใคร เขาก็มีคนผู้นั้นเป็นแบบอย่างและอยากกลายเป็นเหมือนเขา บางครั้งเขาจึงเรียนรู้พฤติกรรมนั้น ๆ มา แต่เมื่อเขาพยายามแสดงตัวตนของเขาออกมานั้นดันเกิดคำถามขึ้นมาว่า ตัวตนที่แท้จริงของเขาเป็นแบบไหน?” แต่สุดท้ายเขาก็ยอมรับความกลัวนี้และตระหนักได้ว่าการที่เขาเปลี่ยนแปลงและได้รับอิทธิพลจากผู้อื่นนั้นก็คือตัวตนของเขาเช่นกัน
มินซอ ผู้เคยเกิดข้อผิดพลาดระหว่างที่เขาแสดงในรายการ Produce x 101 นั้นรู้สึกเหมือนเวลาหยุดนิ่งในขณะที่ทุกสายตาจ้องมาที่เขา ดังนั้นคุณโนจีฮุนจึงออกแบบให้มีเก้าอี้มากมายในห้องของมินซอ ซึ่งเก้านี้แต่ละตัวในที่นี้เป็นตัวแทนของผู้ชมที่จ้องมองมา อย่างไรก็ตามมินซอยังคงมีแรงผลักดันและความมุ่งมั่นที่ทำให้เขาก้าวต่อไปโดยมีต้นเมเปิ้ลสีแดงหลังประตูเป็นตัวแทนของความมุ่งมั่นนี้
สำหรับสิ่งของที่เป็นภาพแทนความกลัวของมินซอคือกล้องโทรทัศน์ (telescope) คุณโนจีฮุนกล่าวว่า ”ในขณะที่ถ่ายมินซอยกกล้องขึ้นมาส่องแบบกลับด้านและไม่ได้ตัดออกเนื่องจากเป็นซีนที่มีความหมายและน่ารัก” อีกทั้งการที่มินซอมองอีกด้านหนึ่งของกล้องซึ่งเปรียบเสมือนการเผชิญหน้ากับสายตาที่จ้องมายังและพร้อมก้าวผ่านมันไปไม่ว่าผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร
ความทรงจำอันเจ็บปวดที่ไม่สามารถแสดงศักยภาพที่เขามีอย่างเต็มที่กลายเป็นความกลัวของ ฮยอบ โดยความกลัวนี้มีภาพแทนเป็น “รูปปั้นเทพีไนกี้” (Winged Victory of Samothrace) เดิมทีเทพีไนกี้นั้นเป็นสัญญะแสดงถึงความสงบ ชัยชนะ แต่สำหรับเวอร์ชั่นที่ฮยอบใส่ลงในกล่องนั้น ปีกอีกข้างหนึ่งได้ขาดหายไป เพราะต้องการจะสื่อในทางตรงกันข้ามเสมือนว่า ความกลัวที่ไม่สามารถแสดงความสามารถออกมาได้เต็มที่ของฮยอบนั้นเหมือนกับการสยายปีกที่เป็นไปไม่ได้ของรูปปั้นที่ปีกหักนั่นเอง
อนึ่ง ความปรารถนาที่ไม่สามารถเติมเต็มได้นั้นถูกนำมาตีความใหม่ผ่านเครื่องบินกระดาษที่เกือบหยุดนิ่งและกำแพงของตึกที่พังทลายภายในห้องของฮยอบ ซึ่งองค์ประกอบทั้งสองอย่างนี้มีความเหมือนกันคือ ‘ปราศจากการเติมเต็ม’ ทั้งอาคารที่มีโครงสร้างไม่สมบูรณ์และเครื่องบินกระดาษที่ขาดแรงและสายลมซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อน ในขณะที่บันไดที่ไม่มีที่สิ้นสุดนั้นหมายถึงความฝันของฮยอบที่ยิ่งใหญ่เหมือนปลายทางที่ไม่ถูกจำกัดของบันไดนี้
ทุกคนล้วยเคยพยายามอย่างหนักเพื่อฝ่าฟันอุปสรรคบางอย่าง อเล็กซ์ก็เช่นกัน ในช่วงที่เขาไปเรียนโรงเรียนนานาชาติเป็นครั้งแรก เขารู้สึกว่าตัวเองมีอุปสรรคในการใช้ภาษา (Language Barrier) ถึงแม้เขาจะพยายามแล้วแต่ยังคงมีช่องว่างอยู่ เนื่องจากภาษาที่แตกต่างหรือวิธีการใช้ภาษาที่ต่างกันนั้นทำให้มีกำแพงภาษาขึ้นมา แต่สุดท้ายอเล็กซ์ก็ก้าวผ่านอุปสรรคเหล่านี้ด้วยความพยายามอย่างเต็มที่ ดังนั้นในห้องของอเล็กซ์จึงมีบันไดและพรมแดงซึ่งแสดงถึงความยากลำบากที่เขาผ่านพ้นมา ในขณะที่ละอองน้ำด้านหลังเป็นสัญญะแสดงถึงน้ำตาของเขา นอกจากนี้สีภายในห้องยังเป็นการผสมผสานของธงชาติเยอรมันด้วยเช่นกัน
โดยอเล็กซ์มีลูกแก้วคริสตัลระบบสุริยะเป็นภาพแทนความกลัวของเขา ซึ่งความกลัวในที่นี้คือวิกฤตอัตลักษณ์ (Identity Crisis) ที่เขาเจอในวัยเด็ก โดย Erikson กล่าวถึงวิกฤตอัตลักษณ์นี้ว่าเป็นช่วงที่เกิดการเปลี่ยนแปลงกับวัยรุ่นที่เริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับตนเองว่าเขาเป็นใคร ทำอะไรได้หรือไม่ได้ ตลอดจนความชอบและมุมมองในเรื่องต่าง ๆ โดยสังเกตผ่านสภาพร่างกายที่มองเห็นและความรู้สึก ความคิดภายใน เพื่อให้เกิดความเข้าใจตนเอง จนนำไปสู่การปรับตัวและยอมรับในตนเองในที่สุด
ชางอุค กล่าวกับคุณโนจีฮุนว่า “แต่ก่อนเขาเคยเป็นคนที่กระตือรือร้นและซื่อตรงกับความรู้สึกของตนเอง แต่หลังจากผ่านเรื่องราวต่าง ๆ ในชีวิต เขาเรียนรู้ที่จะแสดงความรู้สึกของตัวเองน้อยลงและเรียนรู้วิธีการปกปิดความเจ็บปวด” ดังนั้นภายในห้องของชางอุค คุณโนจีฮุนจึงใช้หลุมดำเป็นภาพแทนในด้านที่ต้องปกปิดตัวเองของเขา ในขณะที่พื้นผิวในโครงสร้างนั้นมีความเป็นหินมากกว่าหลุมดำ โดยพื้นผิวที่เป็นหินนั้นแสดงถึงความไม่พอใจตอนที่เขาไม่สามารถทำในสิ่งที่อยากทำหรือแสดงอารมณ์ที่แท้จริงของตัวเองออกมา กล่าวคืออารมณ์ที่เขาต้องการแสดงออกมานั้นถูกดูดกลืนไปด้วยการปกปิดมันไว้
หน้ากากที่ปิดบังซ่อนเร้นความรู้สึกที่แท้จริงของผู้สวมใส่ สิ่งนี้จึงเป็นภาพแทนความกลัวของชาอุค เพราะเขากลัวว่าการไม่แสดงความรู้สึกและปกปิดไว้อาจจะทำให้คนมองว่าเขาไม่จริงใจเหมือนใส่หน้ากากไว้หรือไม่ แต่ท้ายที่สุดชางอุคก็เลือกก้าวผ่านความคิดนั้นของเขาพร้อมกับเลือกที่จะแสดงความรู้สึกที่แท้จริงของตนเอง จึงนำหน้ากากใส่ลงในกล่องและเดินออกมาจากห้องนั้น
ยุนซอง กับคำถามมากมายในการเป็นหัวหน้าวง ดังนั้นในห้องของยุนซองถูกออกแบบให้มีเรือลอยอยู่อย่างไม่มีจุดหมายปลายทาง เพราะไม่แน่ใจว่าควรเลือกไปทางไหนดีเลยทำได้เพียงลอยอยู่เช่นนั้น ซึ่งลักษณะห้องของยุนซองนั้นมีความหมายคล้ายคลึงกับ เครื่องหมายคำถาม ที่เป็นภาพแทนความกลัวของเขา สำหรับยุนซอง การเป็นหัวหน้าวงทำให้เขาอยู่ภายใต้ความกดดันอย่างมากในช่วงแรก เพราะเขาไม่แน่ใจว่าจะนำพาวงไปในทิศทางไหนหรือควรช่วยเหลือวงอย่างไร แต่สุดท้ายยุนซองก็ตอบคำถามมากมายเหล่านั้น เลือกพายเรือไปในทิศทางที่ตนตัดสินใจและกลายเป็นหัวหน้าวงที่น่าภูมิใจของพวกเราในที่สุด
สุดท้ายนี้คุณโนจีฮุนพูดถึงต้นไม้ในฉากแรกว่าเป็นต้นไม้ที่ชื่อว่า ‘의령수’ ซึ่งปรากฏในการ์ตูนเรื่อง ‘Along with the Gods’ ของคุณ Joo HoMin คุณโนจีฮุนกล่าวว่า “หากมีคนเสียชีวิต วิญญาณของพวกเขาจะเดินทางผ่านต้นไม้เหล่านี้ด้านหน้าแม่น้ำก่อนไปยังโลกหลังความตาย และเมื่อใดที่พวกเขาพาดเสื้อผ้าของตัวเองบนต้นไม้ กิ่งไม้จะโน้มลงตามบาปกรรมที่พวกเขาทำไว้ในโลกก่อน โดยแรงบันดาลใจนี้คุณโนจีฮุนได้นำมาใช้กับการถ่ายทำครั้งนี้ด้วยเช่นกัน ในฉากเริ่มต้นนั้นมีต้นไม้ทั้ง 7 ต้น พร้อมกับเสื้อผ้าของสมาชิกแต่ละคนพาดอยู่ แต่กิ่งไม้เหล่านั้นไม่ได้โน้มลงมาตามที่ควรจะเป็นเพราะเขาต้องการสื่อว่า สมาชิกทั้ง 7 ได้รับบาทแผลจากผู้อื่นและปัจจัยต่าง ๆ โดยที่พวกเขาไม่ได้ทำอะไรผิด และพวกเขาจะเอาชนะความกลัวและผ่านเรื่องราวเหล่านั้นไปได้”
การเดินทางครั้งใหม่นี้ สมาชิกแต่ละคนถือกล่องที่บรรจุความกลัวอยู่ด้านใน ตัดสินใจออกมาจากห้องที่สร้างความกังวลและความกลัวเพื่อมารวมกัน ณ สถานที่แห่งหนึ่ง สถานที่ซึ่งประตูนำพาพวกเขาไปยังโลกใบใหม่พร้อมกับก้าวผ่านความกลัวในอดีตโดยการทำลายกล่องเหล่านั้น นอกจากนี้สีเสื้อผ้าของสมาชิกทุกคนก็เปลี่ยนจากสีดำกลายเป็นสีขาว เสมือนได้ชำระล้างความกลัวและความทุกข์ต่าง ๆ ที่ตนเผชิญ และตอนนี้พวกเขาก็พร้อมที่จะเริ่มต้นบนเส้นทางสายใหม่ด้วยกัน
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in