องค์ชายห้าเป็นถึงผู้ใดกัน? รอบกายองค์ชายผู้สง่าผ่าเผยจะไร้ทหารคอยอารักขาได้อย่างไร? แม้จะไม่มีการอารักขา แต่ในฐานะที่เป็นองค์ชายก็เป็นไปไม่ได้ที่จะถูกล่อลวงเอาได้ง่ายๆ
ซู่เหนียงที่เป็นดั่งมารดารังแกบุตรีผู้นั้นพอแผนการไม่สำเร็จ ก็คาดไม่ถึงว่าจะวางยาเหมิงฮั่น* แก่องค์ชายห้าโดยตรง
(*เป็นยาที่ทำให้คนหมดสติหลังจากทานเข้าไป)
“โบยเสีย โบยให้แรง” น้ำเสียงสั่นเทาที่เต็มไปด้วยความโกรธขึ้งของบุรุษดังขึ้นอีกครั้ง “จงโบยต่อให้ครบยี่สิบไม้”
‘ป้าบ ป้าบ ป้าบ’ เสียงไม้กระทบเนื้อดังขึ้นอีกครา หลังจากโบยต่อเพียงแค่สองทีกู้เจิงก็แทบจะหมดสติลงอีกครั้ง ในความทรงจำอันเลือนรางนางได้ยินเสียงร้องตะโกนอันเจ็บปวดบีบหัวใจของซู่เหนียง “เจิงเอ๋อร์ของข้า นางถูกโบยเจียนตายอยู่รอมร่อ จะโบยต่อไปไม่ได้อีกแล้ว นายท่าน ข้าขอร้องท่านปล่อยเจิงเอ๋อร์ไปเถิด”
กู้เจิงไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะร้องไห้ นางจึงได้แต่น้ำตาตกในอยู่ภายในใจพลางก่นด่ามารดาขายส่งยกใหญ่
“นายท่าน คุณหนูใหญ่หมดสติไปแล้วขอรับ”
“สาดน้ำเรียกสติแล้วโบยต่อไป”
อ่างน้ำเย็นสาดลงมา ต่อให้กู้เจิงอยากจะแสร้งเป็นหมดสติเพียงใดก็ทำต่อไม่ไหวแล้ว เมื่อนึกย้อนกลับไปในหัวของนางมีความทรงจำบางอย่าง เจ้าของร่างเดิมได้วางยาองค์ชายห้า แต่ถูกองครักษ์มาพบเข้า จึงถูกตีเข้าจังๆ จนสติดับไปและถูกจับโยนลงต่อหน้ากู้หงหย่งผู้เป็นเจ้าบ้านสกุลกู้
หลังกู้หงหย่งทราบเรื่องราวแล้วก็เกรี้ยวโกรธจนเกือบได้ขึ้นสวรรค์ก่อนเวลาอันควร ดังนั้นถึงได้มีการใช้กฎประจำตระกูลขึ้นในตอนนี้
สำหรับกฎประจำตระกูลในจวนป๋อเจวี๋ยแห่งนี้โดยปกติล้วนใช้กับบุรุษ แต่กับเด็กสตรีที่บอบบาง ต่อให้เป็นอนุภรรยาแม้แต่จะตีสักฝ่ามือก็ต้องระวังแรงกำลังและวิธีการ ด้วยกลัวว่าจะเหลือร่องรอยทิ้งไว้ให้ผู้คนรังเกียจ
“นายท่าน สีหน้าคุณหนูใหญ่ไม่ค่อยดีนัก ยังเหลืออีกสามไม้ ท่านดู...”
เสียงของกู้หงหย่งยังไม่ทันดัง กลับมีน้ำเสียงเสียดสีเยือกเย็นเสียงหนึ่งแทรกเข้ามา “ว่ากันว่าใต้เท้าป๋อเจวี๋ยอบรมสตรีได้ดี พูดแล้วไม่รักษาคำพูด นี่เป็นวิธีการสอนของใต้เท้าป๋อเจวี๋ยอย่างนั้นหรือ?”
เมื่อได้ยินเสียงนี้ กู้เจิงก็ลืมตาขึ้นทันที เจ้าของเสียงก็คือพระเอกในละครฉากน้ำเน่าองค์ชายห้า ‘จ้าวหยวนเช่อ’
ในตอนที่กู้เจิงเข้ามาอยู่ในร่างนี้ นอกจากจะรู้สึกถึงความเจ็บปวดทางร่างกายแล้ว ในขณะเดียวกันก็รู้สึกอับอายยากจะพรรณนาในส่วนหนึ่งของจิตวิญญาณ เพราะบิดาของร่างเดิมให้บ่าวรับใช้ ใช้วิธีการของตระกูลต่อหน้าคนนอกอย่างองค์ชายห้าเช่นนี้
เรื่องที่เกิดขึ้นความจริงแล้วเป็นเพราะซู่เหนียง มารดาของนาง เจ้าของร่างเดิมแท้จริงแล้วเป็นหญิงหัวโบราณและเก็บตัวอย่างยิ่ง
ดังนั้น เจ้าของร่างเดิมไม่ใช่ถูกโบยจนตาย แต่เป็นเพราะถูกโบยต่อหน้าคนนอกจึงอับอายจนตายทั้งเป็น
ได้ยินเรื่องชีวิตความเป็นความตายมามากมาย แต่อับอายจนตายนั้น นับว่าเป็นครั้งแรก
เมื่อการหวนความทรงจำสิ้นสุดลง กู้เจิงในยุคปัจจุบันก็กลายเป็นกู้เจิงในยุคโบราณ
“คุณหนูใหญ่ตื่นแล้วหรือเจ้าคะ?” ชุนหงที่ออกไปล้างหน้าเพราะรู้สึกเพลียและง่วงนอน พอกลับเข้ามาเห็นคุณหนูใหญ่มองบนเตียงอย่างล่องลอย ก็วิ่งมาหาอย่างดีใจ “คุณหนูใหญ่ตื่นแล้วจริงๆ ด้วย”
กู้เจิงเหลือบมองชุนหงเพียงชั่วครู่ ก่อนจะหลุบม่านตาลงอีกครั้ง แม้เธอจะยอมรับความจริงที่ว่าตนเองได้เข้ามาสู่ที่แห่งนี้อย่างลึกลับจนยากจะเข้าใจ แต่เมื่อใดก็ตามที่สัมผัสถึงความทรงจำสิบหกปีของเจ้าของร่างนี้ กลับรู้สึกว่าหากชีวิตไร้สิ่งให้คะนึงหาก็ช่างไร้ความหมายเสียจริงๆ
“คุณหนูใหญ่ ท่านหิวหรือยังเจ้าคะ? บ่าวต้มโจ๊กไว้ให้แล้วเจ้าค่ะ”
กู้เจิงเบนสายตาไปมองชุนหงพร้อมกับขยับริมฝีปาก “เอามาสองชาม จงจำไว้ ใส่เนื้อให้เยอะหน่อย”
“เจ้าค่ะ” ชุนหงวิ่งออกไปยกอาหารอย่างมีความสุข
ชุนหงเป็นเด็กสาวรับใช้ที่เติบโตมากับกู้เจิง อุปนิสัยซื่อตรงและจงรักภักดี ด้วยเหตุนี้จึงถูกหวังซู่เหนียง หรือก็คือมารดาผู้ให้กำเนิดของนางชักนำไปในทางไม่ดี
โจ๊กสองชามนั้นของชุนหงยังไม่ทันจะถูกนำมา หวังซู่เหนียงก็วิ่งเข้ามาอย่างตื่นเต้น
เมื่อเห็นมารดาไร้ค่าผู้นี้ กู้เจิงก็ปวดหัว ปวดตา ปวดมือ ปวดไปทุกที่ จึงหันนอนตะแคงข้างแสร้งทำเป็นหลับไป แต่ยังรู้สึกได้ถึงอ้อมกอดจากด้านหลังที่โอบเข้ามาหาและจับศีรษะนางกดลงในอ้อมอก
“เจิงเอ๋อร์ของข้า ในที่สุดเจ้าก็ฟื้นเสียที หากเจ้าไม่ฟื้นขึ้นมาอีก แม่คงจะตกใจกลัวจนตายแล้ว คาดไม่ถึงว่าพ่อที่จิตใจเหี้ยมโหดผู้นั้นของเจ้าจะสั่งให้คนโบยเจ้ายี่สิบไม้จริงๆ เจ้าเป็นแค่หญิงสาวนางหนึ่งจะทนไหวได้อย่างไร”
กู้เจิงหิวโหยมาหลายวันแล้ว แม้แรงจะผลักก็ยังไม่มี ในขณะที่นางรู้สึกว่าตนเองกำลังจะขาดอากาศหายใจตายในอ้อมอกนั้น มารดาผู้นี้ก็ปล่อยให้นางเป็นอิสระ
“โอ๊ะ เจิงเอ๋อร์ลูก เจ้าเป็นอะไรไป? จู่ๆ หน้าก็เปลี่ยนเป็นขาวซีดเช่นนี้”
กู้เจิงสูดลมหายใจเข้าระลอกใหญ่ หลังหอบหายใจอย่างยากลำบากก็รีบผลักหวังซู่เหนียงออกไป “ซู่เหนียง ข้าอยากพักผ่อนค่อยคุยกันพรุ่งนี้เถิดเจ้าค่ะ”
หวังซู่เหนียงตกตะลึง แก้วตาดำคู่นั้นเอ่อล้นด้วยหยาดน้ำตา “เจิงเอ๋อร์ เมื่อก่อนเจ้าล้วนเรียกข้าว่าท่านแม่ เหตุใดจึงเรียกข้าซู่เหนียงเล่า? แม่รู้ว่าในใจเจ้าจะต้องโทษแม่เป็นแน่ แต่ แต่แม่ก็ไม่คิดว่าองค์ชายห้าผู้นั้นจะโหดเหี้ยมเช่นนี้ นำคุณหนูใหญ่เช่นเจ้าในสภาพแต่งกายไม่มิดชิดโยนลงต่อหน้านายท่าน ซ้ำยังต่อหน้าคนรับใช้มากมาย แม่...”
“ไม่ต้องพูดแล้วเจ้าค่ะ” พอหวังซู่เหนียงเอ่ยถึงเรื่องนี้ ความละอายและความอัปยศอดสูภายในใจก็พรั่งพรูออกมา ทำอย่างไรก็ควบคุมไม่อยู่ แน่นอน นี่ไม่ใช่อารมณ์ความรู้สึกของกู้เจิง แต่น่าจะเป็นของเจ้าของร่างนี้ที่เหลือทิ้งไว้
เมื่อเห็นสีหน้าของบุตรสาวไม่ดีนัก หวังซู่เหนียงก็เงียบปากลง
ไม่ง่ายเลยที่กู้เจิงจะถอนตัวออกจากอารมณ์ความรู้สึกอึดอัดใจเหล่านั้น แววตาซับซ้อนของนางจ้องมองไปยังมารดาไร้ค่าผู้นี้ จากก้นบึ้งของหัวใจอยากจะหลุดพ้นจากนางยิ่งนัก ความทุกข์ยากลำเค็ญเช่นนี้ล้วนเป็นเพราะนางหามาให้ทั้งนั้น หรือจะบอกกับนางตามตรงว่าเจ้าของร่างนี้ตายแล้วดี? บอกว่าข้าไม่ใช่บุตรสาวของนาง?
แต่ใครเล่าจะเชื่อ
“ซู่เหนียง หลังจากลูกถูกโบยก็ตระหนักได้แล้ว แม้ท่านจะเป็นผู้ให้กำเนิดลูก แต่ท่านเป็นอนุภรรยา ตามกฎมารยาทนับแต่บรรพบุรุษได้กำหนดไว้ว่า บุตรที่ท่านให้กำเนิดจะเรียกท่านได้แค่ซู่เหนียงเท่านั้น หลังจากนี้ไปพวกเราปฏิบัติตามกฎเกณฑ์เสียจะดีกว่าเจ้าค่ะ” ช่วงหลายวันมานี้นางได้แยกแยะความทรงจำของร่างเดิมมารอบหนึ่ง พยายามจะไม่นึกถึงเล่ห์กลเพทุบายอันไร้ประโยชน์ของหวังซู่เหนียง อันที่จริงชีวิตความเป็นอยู่ของพวกนางก็นับว่าค่อนข้างสบายนัก นายหญิงมิเพียงไม่ได้ปฏิบัติต่อพวกนางอย่างโหดร้าย กระทั่งยังเรียกได้ว่ากินดีอยู่ดี นอกจากความต่างของภรรยาเอกและอนุภรรยาแล้ว หากสิ่งใดบุตรีภรรยาเอกมีนางเองก็มีเหมือนกัน ตราบใดที่พวกนางทำตามกฎเกณฑ์ชีวิตย่อมดีอย่างแน่แท้
ทว่าหวังซู่เหนียงดันมักใหญ่ใฝ่สูง ผลสุดท้ายจึงทำเอาบุตรีของนางชอกช้ำไม่ต่างกัน
อย่างน้อยก็เพื่อชีวิตของนางเอง ต้องกล่อมให้หวังซู่เหนียงสงบจิตสงบใจก่อนชั่วคราว หายนะออกทางปาก* สิ่งใดทำได้ยากก็ให้เริ่มที่ปากเสียก่อน กู้เจิงคิดเช่นนี้
(*หมายถึง ปัญหาที่เกิดจากการใช้คำพูดคำจาไม่เหมาะสม)
จะกล่าวว่านางปอดแหกก็ได้ อย่างไรไม้กระดานใหญ่ทั้งยี่สิบไม้นั้นก็ทำลายการสั่งสอนอบรมในยุคสมัยใหม่ของนางหมดสิ้นแล้ว เช่นนั้นก็ค่อยๆ ก้าวไปทีละก้าวแล้วกัน
“หากเราทำตามกฎแล้ว เกรงว่าแม้แต่หน้าท่านพ่อเจ้าก็คงมองไม่ติด” หวังซู่เหนียงกลับคิดว่ากฎระเบียบมีประโยชน์อะไรกัน
“ซู่เหนียง สิบกว่าปีมานี้ท่านพยายามดึงความสนใจของบิดามาโดยตลอด แต่ก็ไม่เคยสำเร็จเลยสักครา มิสู้ใช้ชีวิตไปอย่างมั่นคงปลอดภัยเสียจะดีกว่าหรือเจ้าคะ”
หวังซู่เหนียงเดิมเป็นสาวใช้ห้องข้างก่อนที่นายท่านตระกูลกู้จะแต่งงาน เป็นเพราะในเวลานั้นกู้หงหย่งเจ้าบ้านตระกูลกู้ซึ่งยังเป็นแค่ป๋อเจวี๋ยน้อยไม่อยู่ห้องหอกลับทำเรื่องโง่เขลา ซึ่งตระกูลกู้ตั้งใจคัดเลือกเป็นพิเศษ นับว่าเป็นการชี้ทางสว่างให้ความรู้พื้นฐานด้านการร่วมรักให้แก่เขา หวังซื่อเป็นคนเจ้าแผนการ พยายามหาหนทางเลี่ยงยาคุมกำเนิดอย่างถึงที่สุด และนับว่าโชคดีนักที่นางตั้งครรภ์จริง เพื่อที่จะให้กำเนิดเด็กคนนี้ จึงหลบเลี่ยงที่จะไม่เสพสังวาสอีก และช่างบังเอิญที่นางผอมบางร่างเล็ก คาดไม่ถึงว่าจะทำให้นางปิดบังมาได้จนถึงตอนที่ครรภ์อายุเจ็ดเดือนจริงๆ
อ่านเรื่องนี้ต่อได้ที่
?
Kawebook >
คลิกเลย
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in