1.รีวิวต่อไปนี้มาจากมุมมอง ความคิดเห็นส่วนตัวของเราต่อรายวิชา โดยอิงจากสิ่งที่ประสบพบเจอ ฉะนั้น หากรุ่นน้องหรือใครก็ตามที่กำลังจะเลือกเข้าศึกษาต่อ อย่าคาดหวังหรือกลัวว่าจะเจอเหมือนกัน 2.ในแต่ละวิชา เราจะไม่บอกชื่ออาจารย์ แต่วิชาไหนดีจะมีวลีเด็ดมาให้ได้หวนความทรงจำ ซึ่งรับรองว่าถ้าพูดไปต้องร้องอ๋อ แต่ถ้าวิชาไหนเราไม่ถูกใจ จะมีแค่รีวิวเท่านั้นเด้อ บางวิชาอาจมีการเยินยออาจารย์รายวิชานั้นๆบ้าง แต่รีวิวนี้ ไร้ซึ่งอคติและไม่ได้มีเจตนา จงใจ หรือตั้งใจที่จะประจารณ์บุคคลใดบุคคลหนึ่ง
3.รีวิวค่อนข้างตรง เราใช้ภาษาตรงไปตรงมา ดีเราก็บอกว่าดี พร้อมบอกว่าดียังไง ไม่ดีเราก็บอกว่าไม่ดีพร้อมบอกว่าไม่ดียังไง ฉะนั้นหากกดอ่านแล้ว อย่าโลกสวย อย่าดราม่า อย่าหาว่าเราพูดแทงใจดำเพราะเรารีวิวตรงๆจากสิ่งที่เจอ แต่ถ้าหากภาษาดูแรงและทำให้ใครขุ่นข้องใจ ก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
สาเหตุที่เรียกว่ายุคอิสรภาพเพราะเราซิ่วแล้ว อรรถรส 5555 เทอมนี้เป็นเทอมที่ภาควิชาภาษาแยกตัวจากคณะครุศาสตร์อุตสาหกรรมออกมาเป็นคณะศิลปศาสตร์เต็มตัวแล้ว ซึ่งเรามองว่าเป็นการประกาศอิสรภาพของคณะเรา
เทอมนี้เป็นเทอมที่เราค่อนข้าง Impressed นะเพราะได้ฝึกสกิลทั้งสี่อย่างเต็มที่จริงๆ โดยเฉพาะการเขียน ตอนแรกคิดว่าไม่น่าจะหนักเท่าไร
แต่พอมาเจอจริงๆคือโคตรหนัก งานเยอะที่สุดในชีวิต และมาติดๆกันแบบไม่ให้พักหายใจ ไม่มีนะที่ว่าช่วงนี้ชิลไม่มีงาน ทุกช่วงเวลาคืองานสุมหัว เนื้อหาระดับความยากคือต่างกับปี1เยอะมากกกกก กระโดดข้ามมาไกลเลยล่ะ เหนื่อยและบ่นกับเพื่อนพร้อมกันว่าเราต้องรอดใช่ป้ะ 55555 เพื่อนๆวิชา Eng for Tourism ก็งานเยอะมากก เห็นแล้วสงสารอ่ะ ทั้งเปเปอร์ทั้งพรีเซ้น ขนาดแค่วิชาเอกยังแบ่งเวลาไม่ทันเลยจริงๆ
เทอมนี้เรียนวิชาเอกเต็มๆเจ็ดตัว มีทั้งง่ายไปจนถึงยาก รายวิชามีดังนี้
วิชาภาษาหมวดศึกษาทั่วไป
English from Entertainment Media
วิชาเอกบังคับ
Introduction to Language
Academic Listening and Speaking
Reading Skill and Strategy Development 2
Essay Writing
วิชาเอกเลือก
English in Newspaper
English for Work
English from Entertainment Media
วลีเด็ด: เรื่องนี้อาจารย์อินมากนักศึกษา
สอบไฟนอล ควิซเติมคำ พรีเซ้นงานกลุ่ม
เนื้อหา
เรียนภาษาอังกฤษจากสื่อประเภทต่างๆ พร้อมวิเคราะห์อย่างมีวิจารณญาณ
ความรู้สึก
เป็นวิชาหมวดศษทป.ที่ดีมากกก ชิลๆแต่ได้ความรู้ล้ำๆอ่า มันเหมือนวิชาสาย Intercultural Communication แต่เป็นแบบเบสิคๆ ถึงแม้ว่าคอร์สจะเป็นการเรียนภาษาอังกฤษจากสื่อ แต่ไม่ได้ดูแค่โวแคบแกรมม่านะ แต่ยังวิเคราะห์ไปถึงวัฒนธรรม ค่านิยม ความเชื่ออย่างมีเหตุมีผล อย่างการ์ตูนบางเรื่อง ถ้าเราดูผิวเผินมันอาจไม่มีอะไรนะ แต่ถ้ามองดูจริงๆมันแฝงอะไรบางอย่างเกี่ยวกับวัฒนธรรมของคนในสังคมนั้นๆ หนังซีรีส์ นิตยสาร หัวข่าว คือวิเคราะห์หมดและเป็นการวิเคราะห์ที่เป็นระบบอ่า ชอบมากๆวิชาแบบนี้ แต่หาได้ยากในหลักสูตร 555555 แอบดันให้มีวิชาแบบนี้เยอะๆเพราะมันมีประโยชน์จริงๆ ที่ชอบมากก็คงเป็นเรื่อง Mean Girls มองดูแล้วก็เป็นหนังวัยรุ่นตลกๆธรรมดาที่เอาไว้ดูผ่อนคลาย แต่เอาจริงๆหนังแอบบอกตัวตนของเด็กที่ประสบปัญหา Culture Shock นะ และบอกทีละสเตจเลย คือโคตรดีอ่า อาจารย์ก็สอนสนุก ตลกด้วย เนื้อหาดีกว่าวิชาเอกบางตัวซะอีก
ข้อสอบ
ด้วยความที่ว่าเป็นวิชาพื้นฐานหมวดศึกษาทั่วไปคณะอื่นๆก็เรียน ข้อสอบจึงเป็นช๊อยส์หมด ไม่ยากนะ ออกเรื่องทั่วไป เก็บเอง่ายๆสบายๆ ได้ความรู้อีก ดี๊ดี
Introduction to Language
วลีเด็ด: เข้าใจรึยัง โอเค เห้อ จะเป็นลม
สอบมิดเทอม/ไฟนอล, การบ้าน: วิเคราะห์ data
เนื้อหา
เรียนคอนเซปภาษาศาสตร์ภาษาอังกฤษเบื้องต้น
ความรู้สึก
ชอบมาก หลงรักภาษาศาสตร์ครั้งแรกก็วิชานี้นี่แหละ ใครที่มาสายภาษาศาสตร์พอจบคอร์สนี้จะอยากลงโทภาษาศาสตร์ต่อทันทีเพราะมันดีจริงๆ ที่ดีกว่าคือมีการเชิญผู้เชี่ยวชาญในบางศาสตร์เข้ามาสอนด้วย อย่างบท Sociolinguistics อาจารย์ก็เชิญผู้เชี่ยวชาญด้านนี้มาสอนเลยบท Morphology, Syntax ก็ได้อาจารย์คนใหม่จบลิงกวิสเมืองนอกมาสอน เป็นบุญของบ่าวยิ่งนักพะยะค่ะ เนื้อหาก็เรียนภาษาศาสตร์ในแต่ละด้านแบบเบื้องต้น แตะๆให้รู้ว่าคอนเซปพื้นฐานมันคืออะไร ประกอบไปด้วย What is language, Phonetics, Phonology, Morphology, Syntax, Pragmatics, Semantics, Sociolinguistics, Language Change, History of English
ครึ่งแรก
What is language ไปรู้จักธรรมชาติของภาษากันก่อนว่ามันคืออะไร มีรูปแบบไหนบ้าง
Phonetics เป็นพาร์ทที่ไปเร็วมากกกกเรียนวันเดียวเองซึ่งก็ดี เพราะจากการซัฟเฟอร์ในปี1ก็ไม่ค่อยถูกกับมันเท่าไร
Phonology เรียนยาวสี่อาทิตย์ 555 แต่เราว่าสนุกกว่า Phonetics นะ กฎเยอะดีแต่ดูชัดเจน และที่สำคัญเราเข้าใจเรื่อง stress&intonation กับ phonemes & allophones มากกว่าในวิชา Phonetics ตอนปี 1อีก 55555 มีคลาสนึงที่เรียน Morphologyตอนบ่าย และชดเชย Phonology ตอนเย็น คือสนุกมากกกก เนื้อหามันแอบโคกันเบาๆ เรียนพาร์ทนี้แล้วจะอึ้งเพราะว่า Phonetics เป็นอะไรที่เล็กมากเมื่อเทียบกับ Phonology
ส่วนพาร์ทที่เราชอบมากๆก็คงเป็น Syntax วาดต้นไม้กันสนุกเลยจ้า ง่ายดีจัง 5555 (แต่จะง่ายจริงๆไหมต้องอ่านรีวิววิชานี้ในเทอมถัดไป5555) แต่ Syntax จะไม่เจาะมากจะเน้นแค่การวาดรูป ทั้ง phrase and sentence ทั้งในรูปแบบ binary tree และอะไรอีกอย่างที่วาดจากข้างบน ลืมชื่อ 555
Morphology ก็สนุกดี เข้าใจง่ายสุด คอนเซปไม่ Abstract เท่าไร แต่พาร์ทนี้แหละทำให้รู้สึกอึ้งกับภาษาศาสตร์มากว่ามันเจ๋งขนาดไหน
ครึ่งหลังมิดเทอมก็จะเป็น Pragmatics, Semantics, Sociolinguistics(สนุกมากกกกกก), Language Change, History of English สามพาร์ทแรกสนุกนะเพราะเรียนเข้าใจ แต่สองพาร์ทหลังคือเราไม่ชอบ 5555 เลยหลุดบ่อยไม่ค่อยฟัง หลับตลอด จำได้อย่างเดียวคือมี old English แค่นั้น555555
ในด้านการสอน อาจารย์สอนดีนะ เทพจริง อธิบายแบบพ่นไฟไม่ติดขัด และถ้านักศึกษาไม่เข้าใจเขาก็อธิบายจนกว่าจะเข้าใจให้ได้อ่า5555 และตัวอย่างที่ยกมาก็ฮาๆ เห็นภาพดี
ข้อสอบ
ข้อสอบมิดเทอมเราว่ากลางๆค่อนยาก แต่ถ้าใครอ่านมาดี คะแนนพุ่งแน่นอน พาร์ท Morphology กับ Syntax ระดับวลีง่ายนะแต่ก็มั่นใจไม่ค่อยได้ แต่พีคสุดคือพาร์ท Phonology อ่าดิ ฮือออออ ยากโคตร จะร้องไห้ คือจำกฎได้ก็ไม่ช่วยอ่าถ้า Apply ผิด คะแนนมิดเทอมเราได้ประมาณผ่านครึ่งมา 5 6 คะแนน 55555 ส่วนไฟนอลก็ถือว่ายากบางส่วนนะ อย่าง Syntax ยาก เพราะเราตีความโจทย์ไม่เคลียร์ แต่รู้สึกว่าอาจารย์ออกข้อสอบยากกว่าที่เรียนนิดนึง History of English เป็นพาร์ทที่น่าเสียดายที่สุด เพราะเราอ่านมาน้อยมาก ทั้งๆที่อาจารย์ออกพาร์ทนี้แบบง่ายสุด และก็มีเขียนเอสเสสั้นๆเกี่ยวกับความเข้าใจในภาษาโดยใช้สิ่งที่เรียนในคลาสนี้มาเขียนอธิบาย เพื่อนหลายคนได้คะแนนสวยงามกันค่อนข้างเยอะ บางคนเกือบเต็มก็มี แต่เราไม่เก่งอ่า คะแนนกับเกรดเลยไม่ปังเท่าไร
C+ ก็นะ ถึงจะชอบ Linguistics มากมายแต่เราไม่เก่งและขก.อ่านหนังสือด้วย ซึ่งไม่ใช่คุณสมบัติที่ดีเลยของคนที่จะเรียนสายนี้ (แต่จะเรียน) 55555
Academic Listening and Speaking
วลีเด็ด: useeeeeeeeeeee, เดะไล่ไปดรอป/ไปติดเอฟเลย
Assignments: Listening and summary 12 videos, presentation, discussion, debate
midterm and final: Listening and answering questions, vocabulary in context, presentation เนื้อหา
ฝึกสกิลฟังพูดเชิงวิชาการและเรียนไปตามหนังสือ
ความรู้สึก
ไม่รู้นะเพื่อนๆคิดยังไงกับอาจารย์ เพราะสอนได้ชวนง่วงมากก ซึ่งก็ง่วงจริงเพราะสอนไปตามหนังสือ (อีกแล้ว) บรรยากาศเลยค่อนข้างน่าเบื่อถ้าหลับก็หลับเลย แต่ถ้าเตรียมร่างกายมาดี นอนมาครบ 8 ชม.ก็พอเรียนได้ แต่เราโอเคนะ ถึงสอนไปตามหนังสือแต่อาจารย์เอาอะไรยากๆมาสอนเยอะดีโดยเฉพาะ Listening ให้ฟังประมาณ1-2รอบ บางครั้ง 3 เพราะยาวมากและยาก เอกสารที่ใช้เรียนคือดีจริง โวแคบแปลกตาเยอะ เนื้อหาที่เรียน มีทั้ง identify speaker'sarguments, linking sounds, etc. พร้อมแบบฝึกหัดทดสอบเล็กๆน้อยๆ ระหว่างฟังอาจารย์ก็จะให้ฝึก note-taking ไม่สตริคว่าต้องทำ แล้วแต่เราจะฝึกก็ได้ไม่ฝึกก็ได้ ทุกๆสัปดาห์ นศ.ทุกคนจะต้องหาวีดีโอเชิงวิชาการอะไรก็ได้ ความยาว 3 นาทีอัพมาฟังและเขียนสรุปพร้อมแชร์ความคิดเห็นต่อคลิป ทำลงเพจใน wordpress ซึ่งเราว่าดีนะ เพราะจะได้ฝึก listening skill แต่แอบลำไยนิดๆเพราะเยอะ5555 ด้านการสอนก็โอเคนะ น่าเบื่อจริง แต่ใช่ว่าจะไม่ได้อะไรเลย อย่าง vocab และ pronunciation อันนี้จัดเต็ม ส่วนในเรื่องของการพูดก็จะมี Discussion 2 ครั้ง Debate 1 ครั้ง พรีเซ้นเดี่ยวเป็นงาน 1 ครั้ง ทั้งตามหัวข้อที่อาจารย์กำหนดและหัวข้อที่เลือกเอง จำได้เลยว่าตอนอาจารย์ให้ฟัง Debate กับคลิปบรรยายทริปท่องที่ยว คือยากมากกกก ยาวอีก แค่ท้อปปิคก็สะพรึงละอ่ะ หลุดบ่อยด้วยเพราะสำเนียงฟังยากมาก ส่วนตัวรู้สึกว่าวิชานี้ตอบโจทย์เรื่องความเป็น academic นะ โดยรวมก็จอยแต่ไม่ถึงกับตื่นตาอะไร เพราะคลาสไม่ค่อยตื่นเต้น เอื่อยๆเรื่อยๆ ถ้าคลาสตื่นเต้นกว่านี้ได้จะดีมาก
ข้อสอบ
ข้อสอบมิดเทอมกับไฟนอลไม่ยากแต่ก็ไม่ง่าย มิดเทอมจะเป็นการฟัง จำได้ว่าอาจารย์เอาคลิปเกี่ยวกับ critical thinking มาออก ยาวประมาณ 20 นาทีและให้ตอบคำถาม พร้อมเขียนสรุปและแชร์ความคิดเห็นและประสบการณ์ให้สอดคล้องกับเรื่องที่ฟัง จริงๆมีให้ฟังอีกแต่จำไม่ได้แล้วคืออะไร
ส่วนไฟนอล อาจารย์ให้ฟังเรื่องภาษาศาสตร์ ยาวมากกกกก ยาวมากๆ และก็เรื่องอะไรอีกอย่างไม่รู้ ลืมอีกล่ะ 55555 พร้อมตอบคำถามเขียนสรุป และก็มีพาร์ทโวแคบเติมคำ ไม่ยากมาก เหมือนอาจารย์เอาโวแคบมาช่วย ส่วนสอบพูดก็เป็นการพรีเซ้นเดี่ยวทั้งมิดเทอมและไฟนอล เตรียมตัวมาได้เพราะอาจารย์กำหนดหัวข้อมาให้เลย เช็คการออกเสียง และความน่าสนใจในการพูด
A รู้สึกเกินคาดเพราะมีเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่าอาจารย์ตัดเกรดโหด แต่ก็ ขอบคุณครับอาจารย์55555
Reading Skill and Strategy Development 2
วลีเด็ด:80% ค่ะ, เอ้าช่วยๆกันเร็ว อีกนิดเดียว
เนื้อหา
เรียนการอ่านบทความเชิงวิชาการหลากหลายแบบมีทั้ง Editorial, Essay, Interview, Short Excerpt (ที่ศัพท์โคตรยาก) พร้อมทั้งตีความ จับใจความ เดาคำศัพท์ วิเคราะห์โครงสร้างงานเขียน และอภิปรายงานเขียนกับเพื่อน
ความรู้สึก
นี่แหละวิชา Reading จริงๆ เนื้อหาในคอร์สคุ้มค่าและดี มีกิจกรรมเยอะมากกก ซึ่งช่วยเรื่อง critical thinking สุดๆ ตัวบทความ คำศัพท์ อยู่ในระดับที่ยากสำหรับเรา ศัพท์แปลกตาเยอะดี บทความมาจากหลากหลายแหล่งและไม่ได้ถูก simplify ให้อ่านง่ายเหมือนเทคส์ค่ายอื่นๆ ค่อนข้างประทับใจ พูดเลยว่าไม่มีบทความไหนในหนังสือที่อ่านต่ำกว่าสองรอบ 5555 อย่างน้อยคือสามถึงจะเกท
เนื้อหาที่เรียน ก็เรียนตามหนังสือเลย และอาจารย์จะเพิ่มในส่วนของเทคนิคการอ่านเข้ามาเช่น วิธีการหาเมนไอเดีย ส่วนที่เน้นมากๆก็คงเป็นเรื่องนี้แหละ การหาเมนไอเดียในแต่ละพารากราฟและเมนไอเดียของทั้งบทความ เรารู้สึกว่าหาเมนไอเดียเป็นจริงๆก็วิชานี้แหละ 55555 และก็การทำความเข้าใจดีเทลของเรื่องโดยการ drawing inferences ดีเทลที่น่าสนใจของแต่ละพารากราฟออกมานั่นเอง นอกจากนี้ ก็จะมีการดู Organizational Patterns บ้างเล็กน้อย ดูว่าผู้เขียนซัพพอทเมนหลักของตัวเองยังไงและก็วิเคราะห์โครงสร้างไวยากรณ์ประเภทต่างๆ เน้นการอ่านตีความเชื่อมโยงเนื้อหาดูว่าในบทอ่านมี skeleton ยังไง อันไหนใจความหลักใจความรอง คำนี้รีเฟอถึงอะไร คำหรือกลุ่มคำนี้มีความหมายแฝงหรือเปล่า ตามสไตล์การอ่านอ่ะ แต่เป็นอะไรที่สนุกและดีกว่าตัวที่แล้วมากกกกก ถ้าจะเรียนวิชานี้ให้ได้ประสิทธิภาพมากๆ ควรอ่านและตีความบทความไปก่อนและนำสิ่งที่ได้จากห้องเรียนไปสอนต่อ5555 เราจะเห็นภาพมากขึ้น นอกจากนี้ก็จะดูในเรื่องของวิธีการนำเสนอข้อมูลของผู้เขียน เช่น ใช้ Funnel Model หรือเปล่า กว้างๆมาก่อนแล้วลีดอินเข้าสู่เมนหลักของเรื่อง ทำไมตรงนี้ผู้เขียนใช้โครงสร้างแบบนี้ เขาต้องการเน้นอะไร กิจกรรมเพิ่มเติมก็คงเป็นการสรุปความโดยใช้ note-taking คือเลาะตัวบทความออกมาเป็นเอ้าท์ไลน์ ทำก็ได้ไม่ทำก็ได้แต่ถ้าทำก็ดีมันเอื้อต่อการเขียนสรุปความบทอ่าน5555 และก็มีการบ้านหนึ่งงานคือพาราเฟซ เป็นคะแนนเก็บ เอาจริงๆรีดดิ้งก็คือการนำเอาโครงสร้างงานเขียนมาวิเคราะห์บทความอ่าเพียงแต่มันเจาะลึกมากขึ้นถึงแก่นหลักในการเขียนซึ่งเราว่าดีนะเพราะยิ่งมองเห็นวิธีการเขียนของฝรั่งมากๆ เราก็จะได้อะไรในแนวตะวันตกมาประยุกต์ใช้กับงานของตัวเอง แต่ถามว่าเคยทำไหม .....
ในเรื่องของการสอน ครึ่งแรกคือเนือยๆเพราะนั่งวิเคราะห์อย่างเดียวและแอบแปลเบาๆ ทำแบบฝึกหัดในหนังสือ แต่ครึ่งหลังสนุกขึ้น เพราะอาจารย์จะเน้นในเรื่องของ Discussion มากขึ้น คือให้นศ.แบ่งกลุ่มกันตีความบทความและแชร์ไอเดียกัน แล้วไปพรีเซ้นหน้าชั้นเรียน ปิดท้ายคอร์สเรียนด้วย Reading Seminar แบ่งกลุ่มกันทำโปรเจครีดดิ้งมาพรีเซ้นหน้าชั้นเรียน จำได้ว่านี่ได้เรื่องเกี่ยวกับสัตว์ บทความยาวสองหน้า ศัพท์ยากมากกก แต่หาเมนไอเดียง่าย เอ้อ ดี 555
ข้อสอบ
มิดเทอมกับไฟนอลคือเขียนตอบหมดไม่มีช๊อยส์เลย มีทั้งการหาเมนไอเดีย การอนุมานดีเทลจากบทอ่าน สรุปความ ตอบคำถามเกี่ยวกับดีเทลในบทอ่าน บทความมีทั้ง seen passage และ unseen passage พาร์ทเดาศัพท์จากบริบทมองดูผิวเผินอาจยากแต่ทำจริงๆไม่ยากเท่าไร
B+
Essay Writing
วลีเด็ด: Good morning my dear students./ That's all for today my dears./ ลูก ๆ คะ/ Very good! number?Assignments: 3 pieces of essay: extended-definition, classification, cause-effect (จะเขียนไทพ์อื่นเพิ่มอีกก็ได้เราเขียน Description เพิ่ม)
Midterm and Final: essay writing
เนื้อหา
เรียนการเขียนเอสเส 5 ย่อหน้า ตามโครงสร้าง Introduction Body Conclusion พร้อมดูองค์ประกอบอื่นๆที่สำคัญต่อการเขียนและทำให้งานเขียนกระชับ
ความรู้สึก
ว่ากันว่าการได้ครูดี เป็นศรีแก่นักเรียน คือสิ่งที่เป็นจริงแน่แท้ในโลกกลมๆใบนี้ 55555 เปิดตัวมาด้วยการเกริ่นแบบใหญ่ๆตามสไตล์การเขียน Introduction ในเอสเส อาจารย์ที่สอนเป็นอาจารย์คนเดียวกับวิชาการเขียนพารากราฟในเทอมที่แล้วซึ่งนี่ดีใจมากก555 วิชานี้ inspire เราสุดๆและทำให้รู้เลยอ่าว่าชอบเขียนขนาดไหนถึงแม้จะเขียนไม่เก่งก็ตาม ตลอดทั้งคอร์สเรามี great impression ต่ออาจารย์และเนื้อหามากๆ มันดีมันสนุก ถึงแม้ว่ามันจะใหม่สำหรับเรา แต่เราเอนจอยนะ จากใจ
เนื้อหาการเรียนเปิดตัวด้วย From Paragraphs to Essays นำพาไปรู้จักว่าพารากราฟพัฒนาตัวตนไปสู่เอสเสยังไง เอสเสที่ดีมีโครงสร้างแบบไหน ควรมี Thesis Statement อย่างไร เจาะแต่ละพาร์ทแบบถึงพริกถึงขิงพร้อมวิเคราะห์ Model Essays ต่างๆ เพื่อให้เห็นภาพยิ่งขึ้น เนื้อหาต่อๆมาก็จะเป็นเอสเสแต่ละประเภท Extended-Definition, Process, Description, Narration, Classification, Compare&Contrast, and Cause&Effect
วิชานี้เน้นเรียนเอสเสแนว Expository Writing (การเขียนเชิงอธิบายความ) ถึงแม้ว่าจะได้เรียนทุกประเภท แต่น่าเสียดายงานเขียนมีแค่ทั้งหมด 3 ชิ้น คือ Extended-Definition, Classification, Cause-Effect ส่วนประเภทอื่นๆจะเป็นการเขียนเอ้าท์ไลน์ส่งเท่านั้น หลายคนคงคิดว่าทำไมน้อยจัง ใช่ เราก็ว่าน้อย555555 ซึ่งเราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม55555 อย่างไรก็ตาม อาจารย์ก็เสนอว่า "ถึงงานเขียนมีแค่สามงาน แต่ถ้าใครอยากฝึกเขียน type อื่นๆเพิ่มเติมเพื่อฝึกฝนทักษะการเขียนเขียนมาเลย เดี๋ยวอาจารย์จะตรวจให้พร้อมบอกคะแนนว่างานเขียนของหนูควรได้คะแนนเท่าไร" อาจารย์น่ารักมาก เปิดโอกาสให้ฝึกเต็มที่ขนาดนี้ ปฏิเสธไม่ได้นะ 555 ฉะนั้นเราเลยเขียนเพิ่มอีก 1 งาน คือ Descriptive Essay มาให้อาจารย์ช่วยพิจารณา รวมกันก็กลายเป็น 4 ประเภท
แต่ละบทก็จะมีเนื้อหาดีๆอื่นๆแทรกเข้ามา เช่น การ Paraphrase (ยากมาก), Sentence Errors พวก Stringy, Choppy, Run-on บลาๆ, Redundancy, wordy, แกรมม่าที่น่าสนใจและอีกมากมายที่ช่วยให้งานเขียนเอสเสกระชับและดีงาม อาจารย์จะให้ทริคและสอน พร้อมแบบฝึกหัดให้ทำสดๆกันในห้องตามเวลาที่กำหนดและแชร์คำตอบกับอาจารย์ และแน่นอนใครแชร์เยอะ คะแนน participation มาแน่ๆ5555 เราชอบตรงที่อาจารย์เน้นให้นักศึกษาแชร์ไอเดีย ผิดไม่ว่าขอให้แชร์ ซึ่งเราว่าดีนะ มันทำให้ผู้เรียนมีความกล้ามากขึ้น จากที่ไม่รู้เลยว่าเอสเสเขียนยังไงอะไรยังไง พอจบคอร์สนี้เราได้อะไรเยอะมากในส่วนของการตรวจงานและการส่งงาน ก็คงไม่ต้องสงสัย เป๊ะทุกอย่าง อาจารย์มีการชี้แจงกฎเกณฑ์ชัดเจน ใช้รูบิคในการให้คะแนนงานเขียน เพียร์รีวิวพรอเสส เวลาส่งงานต้องแนบเอกสารสำคัญมาด้วยเสมอและเช่นเคย ไม่แนบ ไม่ตรวจ!!! พอได้รับคอมเมนต์หรือคอนเฟอเรนต์จากอาจารย์มา มายก้อด ตรวจละเอียดยิบปากกาสีแดงตรึม (แต่ฉันแดงไม่มากนะ เพราะแต่ละงานฉันทุ่มเท5555) ชอบตรงที่อาจารย์คอมเม้นอ้อมๆ ให้เราไป infer เอาเองว่ามันผิดยังไง เช่น สมมติไอเดียตรงนี้เราเสนอว่ามันเป็น fact เขาก็จะถามกลับมาว่า Is this always true? อะไรประมาณนี้
ข้อสอบ
มิดเทอมกับไฟนอลก็เขียนเอสเสอย่างเดียวภายในสามชั่วโมง แต่มิดเทอมเราเขียนไม่ทัน เสียจัย ก่อนปิดคอร์ส ก็ต้องทำโปรเจคส่งอาจารย์คือจับกลุ่มกับเพื่อนรวบรวมงานเขียนทุกชิ้นของแต่ละคนมาทำเป็น Magazine สวยๆส่ง
A
ปล.อาจารย์มักจะชมว่าเราคือ one of my best students ซึ่งอาจารย์ก็เป็น one of my best teachers เช่นกันครับ ^^
สิ่งที่อยากพูดกับอาจารย์
ขอบคุณอาจารย์มากๆนะครับที่ช่วยพัฒนาทักษะการเขียนให้เต็มที่มากๆขอบคุณที่ให้กำลังใจตลอด รักส์
English in Newspaper
วลีเด็ด: I think it's good, BUT!!!!
4 news articles/feature article/advice columnist/review blog
Final Exam: เขียนข่าวและเลือกเขียนบล้อคหรือแอดไวซ์ ตามหัวข้อที่กำหนด
เนื้อหา
เรียนการเขียนข่าวและชิ้นงานประเภทอื่นในองค์กรหนังสือพิมพ์พร้อมทั้งอ่านวิเคราะห์รูปแบบการเขียนจากบทความหลากหลายแบบ
ความรู้สึก
ตอนแรกตั้งใจเอาไว้ว่าจะลงวิชานี้ตอนปี4 แต่ในเมื่อวิชานี้เปิดในเทอม1 แถมได้อาจารย์ฝรั่งคนใหม่มาสอน ก็ไม่ลังเลอะไรเลยที่จะลงเรียนและเราก็คิดไม่ผิดจริงๆที่ลง งานเขียนในวิชานี้มีทั้งหมดสี่งานหลักๆ ประกอบด้วย news, feature article, advice columnist, blog แลดูน้อยแต่จริงๆไม่5555 เพราะแต่ละงานแก้แล้วแก้อีกแก้แล้วแก้อีกจนกว่าจะพอใจอาจารย์ การเลคเชอร์ก็ชิวมากกกก คือจะฟังก็ได้ไม่ฟังก็ได้ แต่ถ้าฟังจะได้อะไรเยอะมากกกก ในส่วนของการเขียนข่าว อาจารย์จะสอนเลยว่าโครงสร้างเป็นยังไง ส่วนไหนมีเนื้อหาสำคัญที่สุด และที่สำคัญมากๆ คือการเขียนข่าวโครงสร้างจะต้องไม่คอมเพล็กซ์มาก เอาให้ง่ายที่สุด เพราะคนอ่านเขาไม่มีเวลามานั่งวิเคราะห์ลึกๆ และเวลาเขียนพยายามฝึกใช้ hedging language นอกจากนี้ อาจารย์ก็สอนในเรื่องของความแตกต่างระหว่างหนังสือพิมพ์กับแม็กกาซีน เห็นภาพมาก แต่ถามว่าจำได้ไหม ตอนนี้ลืมหมดละ 55555
พาร์ทต่อมายากที่สุด การเขียน feature article พวกบทความตามเว็บ guardian อาจารย์เอาตัวอย่างงานมาให้อ่าน 3 เรื่อง ซึ่งเรื่องนึงก็ยาวมากกก และศัพท์ยากโคตร เราว่าฟีเจอร์เขียนยากที่สุดละในวิชานี้ เพราะเวลาเขียนคือห้ามใส่ Emotions ลงไป มันเหมือนเราแค่นำเสนอข้อมูลเท่านั้น แต่โชว์ Argument ได้นะ ที่ยากกว่าคืออาจารย์ไม่บอกโครงสร้างการเขียน เลยลอยไปหมด เขาชอบเน้นให้อ่านตัวอย่างงานเขียนเยอะๆและถึงแก่นเองว่าควรเขียนแบบไหน ด้วยเหตุนี้พอส่งไปครั้งแรก โดนเขียนใหม่จ้า 5555 เขียนเอ้าไลน์ส่งไปเค้าก็บอกว่า vague ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าจริงๆแล้วเค้าจะเอาแบบไหนอ่า55555 แต่ก็ทำได้ในที่สุดด้วยการ อ่าน อ่าน อ่าน และก็อ่านตัวอย่างงานเข้าไป
พาร์ทต่อมาก็จะเป็น Advice Columnist อันนี้ค่อนข้างสนุก เพราะสามารถใช้ภาษาพูดได้ ประหนึ่งว่าเป็นพี่อ้อยพี่ฉอดแต่ให้คำปรึกษาได้ทุกเรื่อง อาจารย์จะให้ดิสคัสสร้างหัวข้อสำหรับขอคำปรึกษามาคนละหนึ่ง แล้วสลับหัวข้อกันไปสวมรอยพี่อ้อยพี่ฉอด ดีเจเผือก ดีเจต้นหอม หรือครูลูกกอล์ฟตอบปัญหาชีวิต
ส่วนงานปิดท้ายก็เป็น blog เขียนรีวิวเกี่ยวกับอะไรก็ได้ เราเลือกรีวิวหนังแต่ก็เขียนได้ห่วยมากๆ 55555 เอาจริงๆคือแพลนเอาไว้ว่าจะทำก่อนสอบไฟนอลหนึ่งอาทิตย์แต่มีงาน cause-effect essay ของอีกวิชามาพร้อมเดดไลน์ที่เร่งสุดบวกกับโปรเจคพรีเซ้นวิชาการอ่าน และวิชาอื่นๆอีก เลยต้องเลื่อนออกไปและสุดท้ายก็มาทำหลังไฟนอลซึ่งไฟในการทำงานมอดดับไปแล้ว ใจไปอยู่กับอย่างอื่นแล้ว โคตรจะไม่ดีเลยตรู 5555
ส่วนตัวรู้สึกเสียดายมากที่เราไม่ได้ทุ่มเทความสามารถให้กับวิชานี้สักเท่าไร ช่วงนั้นงานเยอะ สอบเยอะ มันแบ่งเวลาไม่ถูกจนพอได้มานั่งทำงานวิชานี้จริงๆจังๆมันก็คิดอะไรไม่ออก ข้อเสียอีกอย่างคือเราควรลงวิชานี้ตอนปีโตนะ เพราะในงานบางงานมันต้องมีการ citation มีการโชว์อากิวเม้น แต่ตอนที่เรียนวิชานี้เรายังทำไม่เป็นสักอย่าง 555555 ภาพรวมเลยรู้สึกว่าได้เขียนแต่ไม่ได้ทำให้ปังเท่าไร น่าเสียดายจริงๆ อย่างไรก็ตาม อาจารย์ดีมากกกกกก พลังเยอะมากก เลคเชอร์สามชั่วโมงคือเหนื่อยดูดพลังแต่ได้ความรู้ดีๆตรึม ชอบสุดคือได้ดิสคัสกับอาจารย์ แชร์ไอเดีย สนุกอ่าด้วยความที่ว่าคลาสมันเล็ก มีเรียนกัน 7 คน อาจารย์เลยทั่วถึงมากก ได้คอนงานทุกชิ้นแบบเจาะเจาะหมดและอาจารย์ให้คำแนะนำดีเวอร์
ข้อสอบ
มีแค่ไฟนอลให้เขียนข่าวอุบัติเหตุรถชน และเลือกเขียนจากอีกสองท้อปปิคคือบล้อคหรือ advice columnist รู้สึกว่าไม่ยากและวันนั้นเป็นไรไม่รู้ ไฟในการเขียนมันมา เลยรู้สึกว่าทำได้ 5555
B+
English for Work
วลีเด็ด:อ้าว ปนัดดา เรืองวุฒิ, ได้ยินหมดเลย ไม่ทันแล้วล่ะ
ความรู้สึก
ถ้าจะให้นิยามวิชานี้ก็คงบอกได้แค่ว่า "ชิล" ดีแต่ก็ไม่ว้าวมาก เฉยๆ งงๆเนอะ555 เราได้รับคำแนะนำมาจากรุ่นพี่ว่าดี เนื้อหาที่เรียนได้ใช้จริง มีประโยชน์ เราเลยลงทันที ในเรื่องของเนื้อหาเราว่าดีจริงนะ แบบตอบโจทย์ชื่อวิชาและอาจารย์วางแพลนคอร์สได้โอเคเลย วิชานี้จะเรียน1คาบ ตรวจงาน1คาบ และสอบ1คาบ ฉะนั้นเลยชิลมาก ไม่หนักหนาสาหัสอะไรแต่งานมาทุกอาทิตย์ 55555 เริ่มแรกอาจารย์ก็จะพาไปรู้จักตัวตนก่อนคือ assign งานให้เราไปตอบคำถามในเว็บเว็บนึงของฝรั่งว่าเรามีภาวะผู้นำหรือผู้ตามไรนี่แหละ จากนั้น อาจารย์ก็จะให้เราเลือกอาชีพที่อยากทำจริงๆมา 1 อาชีพแล้วเขียน short essay บอกถึงสาเหตุว่าทำไมเราถึงอยากทำอาชีพนั้น จากนั้นก็จะเป็นในเรื่องของการสัมภาษณ์งาน เราจำได้แม่นเลยที่พีคสุดคือมีการให้จับฉลากคำถามขึ้นมา 1 คำถาม แล้วตอบให้ดีที่สุด ตอนนั้นเราได้คำถามว่าในอีก 5 ปีข้างหน้าคุณมองเห็นตัวเองในแบบไหนอะไรนี่แหละ ลืม 55555 ซึ่งเราก็กุกๆกักๆมาก
บทต่อๆมาก็จะเป็นการเขียนเรซูเม่ ทั้งแบบ generic และ target แต่มีข้อแม้ว่า อันไหนที่เลือกทำเป็นการบ้านแล้วข้อสอบจะต้องเลือกอีกอันนึง คือห้ามซ้ำกันอ่าเนอะ และก็มีเขียน cover letter จากนั้นก็จะเป็นบทสนทนา คือให้จับคู่ทำคอนเวอขึ้นมาตามบทต่างๆมีทั้งการชวนเพื่อนร่วมงานคุยกัน การคุยกับลูกค้า การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเมื่อเจอลูกค้าขี้เหวี่ยง(อันนี้สนุก555) โดยจะมีกฎมาให้ว่าต้องเขียนตามหัวข้อนี้ เช่นปัญหาจะต้องมีมากกว่า 1 และวิธีแก้จะต้องฉลาด พาร์ทหลังๆจะเกี่ยวกับการเขียน Memorandum คือการสรุปความในรูปของจดหมายนั่นเอง มีทั้งควิซและฝึกในห้อง สิ่งที่เราชอบมากๆในคลาสก็คงเป็นในเรื่องของการฟัง คือได้ฟังเยอะนะเกี่ยวกับเรื่องของการทำงาน เช่นการสัมภาษณ์ประเภทต่างๆทั้งดีและไม่ดี และในระหว่างฟังก็ต้องฝึก note-taking ไปในตัวด้วย เอาจริงๆเนื้อหามีมากกว่านี้ แต่เราลืมละ 555555 คร่าวๆก็ประมาณนี้แหละ
ตอนเล็คเชอร์ส่วนมากอาจารย์ก็จะเล่าประสบการณ์การทำงานให้ฟัง ยอมรับเลยอาจารย์ทำงานมาเยอะมากแบบรู้จริง แต่เราแอบหลับบ่อย5555 ในเรื่องของควิซก็เป็นควิซการฟังนี่แหละยากง่ายปนกันไป
สรุป เป็นคอร์สที่ไม่ยาก แต่งานเยอะ เรียนชิลเกรดไม่โหด แต่อาจารย์ที่สอนเราลาไปเรียนต่อแล้วนะ ก็ไม่รู้ว่าคนที่มารับต่อจะเป็นไง
ข้อสอบ
มีแค่ไฟนอล เหนื่อยมากกกก ร่างแทบพัง เราว่าอาจารย์ออกโหดอ่า 55555 มันไม่ยาก แต่เขียนเยอะมากกกก คือทุกสิ่งทุกอย่างที่เรียนในคลาส งานอะไรก็ตามที่ทำส่ง มันออกทั้งหมด ให้เราเขียนเองทั้งหมด จำได้ว่าเขียนไปเจ็ดหน้าเต็ม หักนิ้วไปสามสี่รอบ short essay, resume, cover letter, conversation, memorandum มาหมดจ้าา ไม่ให้เลือกด้วยนะ ต้องทำทั้งหมด เป็นวิชาแรกที่ต้องคิดบทสนทนาสดๆด้วยตัวเอง ยังกะออกข้อสอบพาร์ท use and usage 55555
B+ คุ้มค่ามาก หายเหนื่อยพูดเลย
เรื่องฮาๆในวิชานี้
ตอนนั้นเราชอบปนัดดา เรืองวุฒิมากกกกกก เพราะดูรายการหน้ากากนักร้องและติดตามนักร้องคนนี้มาตลอด จนตอนนี้ร้องได้ทุกอัลบั้มแล้ว (เดะจะมารีวิวอัลบั้มให้ฟังนะ555) วันหนึ่ง มันมีงานสนทนาเกี่ยวกับการพูดคุยกันของเพื่อนร่วมงาน เราก็ตัดสินใจคุยเรื่องเพลง และเอาพี่นัทนี่แหละมาเป็นประเด็น พออาจารย์เห็นบทพูดก็แนะนำว่าเพิ่มเพลงไปด้วยสิอย่างดาวกระดาษงี้ เราก็ถามอาจารย์ว่าอาจารย์รู้จักด้วยหรอ เขาก็บอกว่าเพลงเขาดังระเบิดไม่รู้จักได้ไง (เออเนาะ555) แล้วเขาก็ถามเราว่าชอบปนัดดาหรอร้องเพลงเพราะนะคนนี้ เราก็ยิ้มๆ ตั้งแต่นั้นมาเวลาอาจารย์เจอหน้าเราเขาก็เรียกเราปนัดดาแทนชื่อเราเลย เช่น อ้าว สวัสดีปนัดดา เรืองวุฒิ, อ้าว เรียนอะไรวันนี้ปนัดดา, ทำไมวันนี้ใส่หน้ากากล่ะปนัดดา คืออายมากกก แต่เราไม่โกรธนะ ขำๆดี 55555
ปี 2 เทอม 1 ก็ประมาณนี้ ยาวมากกกเลยเนาะ และเราก็พิมพ์คำว่า มากกกก เยอะเหลือกเกิน เทอมนี้หนักที่สุดในเรื่องของงาน ทั้งงานเดี่ยวและกลุ่ม แต่ได้อะไรกลับมาเยอะมากๆและเราก็คิดไม่ผิดจริงๆที่อยู่ต่อ โปรดติดตามตอนต่อไป อิอิ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in