เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ทดลองอ่านฟรี!Jinovel
(ทดลองอ่านฟรี❗) เกิดใหม่ไปเป็นฮูหยินแพทย์ ของท่านขุนนางทรยศ
  • ทดลองอ่านฟรี



    ?เล่มที่1 บทที่1 ไร้ยางอายนัก?

            รัชศกไท่เยี่ยนรัชกาลหมิงเจิ้งปีที่สิบ กลางเดือนห้า

    ในหมู่บ้านชิงอวี่ค่อนไปทางตอนเหนือของอำเภอฉางขุย อากาศร้อนอบอ้าว ทุ่งนาเขียวขจี เมล็ดรวงข้าวสาลีอวบอิ่ม ขณะก้มหน้าก้มตา รอเพียงถึงเดือนหก ฤดูร้อนนำพาผลผลิตอุดมสมบูรณ์สีทองอร่ามมาเยือน

    บุรุษในหมู่บ้านล้วนเตรียมตัวเพื่อฤดูกาลเกษตรในเดือนหน้า คนในตระกูลอวี๋ก็ยุ่งวุ่นวายอยู่กับการเตรียมกระบุงทำจากหวายเพื่อบรรจุธัญญาหารเช่นกัน หลังจากฮูหยินเฒ่าอวี๋จัดแจงกระบุงสานจากหวายในมือเสร็จเรียบร้อยจึงเหลือบมองไปทางเรือนฝั่งตะวันออก เอ่ยถามสะใภ้สามแซ่จ้าวว่า “คนผู้นั้นที่อยู่ในเรือนฝั่งตะวันออกหมดลมแล้วหรือยัง? หากหมดลมแล้ว บอกให้สะใภ้รองรีบเอาเสื่อชำรุดม้วนร่างแล้วไปโยนไว้บนเขา จะได้ไม่ส่งกลิ่นอายอัปมงคลอยู่ในเรือน!”

    ครั้นแซ่จ้าวได้ยินแล้ว สีหน้านางไม่ค่อยน่ามองนัก แค่นเสียงเย็นหนึ่งเสียง “นางช่างดวงแข็งเสียจริง เมื่อเช้าข้าแอบเข้าไปมองดูอยู่ครู่หนึ่ง นางยังหายใจอยู่เสียด้วยซ้ำ ยังไม่ตาย!”

    กล่าวจบ นางใช้มือสานหวายเส้นหนึ่งอย่างแรง เอ่ยพลางขบเขี้ยวเคี้ยวฟันว่า “โชคดีที่เจ้าสี่ในเรือนของพวกเราเป็นคนประพฤติตัวตามทำนองคลองธรรม ไม่เกิดเรื่องวุ่นวายอะไรขึ้นมา ไม่เช่นนั้น...”

    ทันใดนั้นกดเสียงต่ำ ยังคงเผยสีหน้าขุ่นเคืองดังเดิม “ต่อให้สะใภ้รองอยากเสริมเรื่องมงคลเพื่อขจัดเสนียดจัญไร แต่ก็ไม่ควรเอาผู้ที่มีมลทินเข้ามาในเรือน เกือบจะทำร้ายเจ้าสี่ของสกุลเราเสียแล้ว”

    ใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยของฮูหยินเฒ่าอวี๋ฉายแววดุดัน “ไม่ต้องไปสนใจว่ายังจะมีชีวิตอยู่หรือไม่ คนผู้นี้ สะใภ้รองจงเลิกคิดจะเก็บเอาไว้อีกต่อไปเถิด!”

    สองสามีภรรยาคนโตที่อยู่ด้านข้างต่างก้มหน้าก้มตาทำงานในมือของตน ไม่กล้าเอ่ยสิ่งใดมากความ

    ภายในเรือนฝั่งตะวันออก หลัสะใภ้รองแซ่ซ่งป้อนยาอวี๋เมิ่งซานเสร็จเรียบร้อย นางมองสำรวจบาดแผลบนขาซ้ายของสามีตนอย่างระแวดระวัง ครั้นพบว่าปากแผลไม่มีเลือดไหลซึมออกมาหรือเน่าเปื่อยถึงวางใจ เพียงแต่ใบหน้ายังคงฉายแววเป็นกังวล

    อวี๋เมิ่งซานซับยาตรงมุมปากแล้วส่งผ้าเช็ดหน้าให้สะใภ้แซ่ซ่ง เอ่ยถามออกเสียงว่า “แม่หนูตระกูลเมิ่งผู้นั้นเป็นอย่างไรบ้าง?”

    สะใภ้แซ่ซ่งถอนหายใจ เอ่ยเสียงเบาเพราะเกรงว่าบุตรชายที่กำลังอ่านตำราอยู่ในห้องจะได้ยินเข้า “บ้านสามลงมือโหดเหี้ยมเพื่อจิ่นเหยียน ขาทั้งสองข้างของแม่นางผู้นั้นถูกตีจนเลือดไหลออกมาเป็นสาย ท่านพ่อสั่งให้ส่งไปไว้ในห้องเล็กแล้วเจ้าค่ะ ไม่ให้ผู้ใดไปเยี่ยม อีกทั้งยังไม่ยอมให้รักษานาง ความหมายของฮูหยินเฒ่าคือรอให้นางสิ้นลมแล้วใช้เสื่อชำรุดม้วนร่างไปโยนไว้บนเขาเจ้าค่ะ!”

    อวี๋เมิ่งซานเอ่ยอย่างค่อนข้างร้อนใจหลังได้ฟัง “เช่นนั้นจะ...” กล่าวยังไม่ทันจบ เพราะลมปราณแปรปรวน ทันใดนั้นก็ไอโครกออกมาอย่างรุนแรง สะใภ้แซ่ซ่งรีบเข้าไปช่วยลูบหลังให้เขาผ่อนคลายลง

    อวี๋เมิ่งซานเอ่ยด้วยน้ำเสียงค่อนข้างแหบพร่า “เช่นนั้นจะไปรอดได้อย่างไร? ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นชีวิตคนผู้หนึ่ง ถึงอย่างไรก็เป็นเพราะต้องเสริมเรื่องมงคลให้ครอบครัวรองถึงได้ทำร้ายแม่นางของตระกูลอื่น...”

    เขาถอนหายใจ เอ่ยต่อไปว่า “เจ้าไปเถิด ไปดูแม่นางเมิ่งผู้นั้นสักหน่อย หากฟื้นแล้วก็เอาอาหารไปส่ง อย่าได้ทำร้ายหนึ่งชีวิตเข้าจริงๆ ”

    ใบหน้าของสตรีแซ่ซ่งเผยความลำบากใจ หากนางไปเยี่ยม เมื่อฮูหยินเฒ่าอวี๋รู้เข้า เกรงว่าคงบันดาลโทสะใส่นางอีกยกหนึ่ง

    ทว่านางยังคงขานรับ “ได้ ข้าจะไปดูสักหน่อย”

    ขณะสะใภ้แซ่ซ่งกำลังจะเดินออกไป ร่างแลดูอ่อนแอและซูบผอมของคนผู้หนึ่งก็เดินออกมาจากข้างใน แสงภายในห้องไม่สว่างมากนัก ทว่าใบหน้าสะอาดสง่างามของชายหนุ่มยังคงขาวบริสุทธิ์ แต่ว่านั่นเป็นสีหน้าขาวซีดที่เกิดจากการล้มป่วยมานานปี

    “ข้าจะไปเอง” น้ำเสียงของชายหนุ่มเย็นชา ไม่ช้าไม่เร็ว ให้ความรู้สึกเย็นชืดเช่นม้วนตำราโบราณ

    สตรีแซ่ซ่งและอวี๋เมิ่งซานต่างพากันตะลึงเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าบุตรชายเอ่ยผู้วาจาน้อยนิดต่อแม่นางเมิ่งมาโดยตลอดจะเป็นฝ่ายต้องการไปเยี่ยมนางเช่นนี้

    อวี๋เมิ่งซานได้สติกลับมาก่อน มองบุตรชายที่ร่างกายอ่อนแอของตนแล้วเอ่ยว่า “ฉี่เจ๋อไปก็ดีเช่นกัน เจ้าก็เอาของกินพวกนี้ไปให้แม่นางเมิ่งด้วย”

    เขาชี้ไปยังขนมรังนกในชามตรงหัวเตียง นี่คือของกินที่อวี๋เมิ่งซานตั้งใจเหลือเอาไว้หลังจากทานอาหารเช้า

    อวี๋ฉี่เจ๋อเดินไปข้างเตียงอย่างเชื่องช้า คว้าเอาขนมรังนกในชามมาซ่อนไว้ในชายแขนเสื้อแล้วเดินออกไปข้างนอก ถึงแม้ร่างกายจะอ่อนแอเพราะอาการป่วย แต่ยามเขาย่างก้าว แผ่นหลังกลับตั้งตรงดุจต้นไผ่หยก เหยียดตรงเป็นพิเศษ

    สะใภ้แซ่ซ่งมองแผ่นหลังบุตรชายของตน เอ่ยเสียงเบาว่า “ภายในใจฉี่เจ๋อคงไม่ได้ถือโทษแม่นางเมิ่งแล้วกระมัง?”

    อวี๋เมิ่งซานส่ายหน้า “ข้าดูแล้วไม่ใช่ นิสัยของเขาเย็นชาเกินไป ไม่มีความรู้สึกอะไรต่อแม่นางเมิ่งเลยแม้แต่นิด ไม่ได้ใส่ใจแม้แต่น้อย ความคิดถือโทษโกรธเคืองจะมาจากที่ใดกัน?”



    อวี๋ฉี่เจ๋อถือขนมรังนกมาถึงห้องเล็กตรงมุมเรือนตะวันออก เดิมทีห้องเล็กนี้เป็นห้องหุงต้ม แต่เพราะภายหลังสร้างห้องหุงต้มใหม่ ห้องหุงต้มเล็กนี้จึงถูกปล่อยว่าง หลังจากขุดเอาเตาออกไป จึงใช้เก็บข้าวของเบ็ดเตล็ด ถือเสียว่าเป็นห้องเก็บฟืน

    อวี๋ฉี่เจ๋อผลักประตูไม้ของห้องเก็บฟืนเล็ก ฝุ่นผงลอยฟุ้ง เขาใช้ชายแขนเสื้อพัดไล่พลางขมวดคิ้วเล็กน้อย ปรายตามองหยากไย่ตรงมุมประตูแล้วค้อมกายเข้าไปในห้องเล็ก

    อวี๋เจียวที่นอนอยู่ภายในห้องเล็กเพิ่งจะรู้สึกตัว ทว่าดวงตาไม่ต่างอะไรกับถูกทากาว ไม่ว่าทำอย่างไรก็ไม่อาจเปิดเปลือกตาขึ้นมาได้ ขณะสะลึมสะลือนางรับรู้เพียงทั้งร่างเจ็บปวดไปหมด โดยเฉพาะหน้าอกและขาทั้งสองข้าง ราวกับเพิ่งผ่านอุบัติเหตุทางรถยนต์ครั้งใหญ่มา นอกจากนั้นเบื้องล่างของร่างกายยังทั้งแข็งทั้งเย็น จมูกได้กลิ่นเชื้อราตลบอบอวลไปทุกแห่ง

    แสงสว่างที่สาดส่องเข้ามาอย่างฉับพลันทำให้อวี๋เจียวลืมตาขึ้น ภายในสายตาของอวี๋เจียวปรากฏแผ่นหลังทอแสงเป็นประกายและใบหน้าหล่อเหลาดุจหยกเจือกลิ่นอายบัณฑิตหลายส่วน นางพบว่าชายคนนี้สวมชุดสีเขียวแขนยาว ชายแขนกว้าง คอเสื้อทาบไปทางด้านขวา ภายในดวงตากระจ่างแจ้งของนางฉายแววสงสัย นี่มันอะไรกัน? หรือว่าอยู่ในความฝัน?

    อวี๋ฉี่เจ๋อเห็นอวี่เจียวฟื้นแล้ว เขาไม่ได้ส่งเสียง หยิบขนมรังนกออกมาจากชายแขนเสื้อแล้วส่งให้อวี๋เจียว

    อวี๋เจียวมอง 'เจ้าก้อน’ ดำๆ บนมือของเขา พยายามฝืนใจให้เชื่อว่าคือขนมรังนก คิดอยากจะเอื้อมมือออกไปรับ แต่การกระทำนี้กลับกระทบไปถึงซี่โครงบริเวณหน้าอก นางเจ็บจนใบหน้าเหยเกทันที จำต้องสูดอากาศเย็นเข้าไปหลายครั้ง ทันใดนั้นใบหน้าเรียวเล็กซีดเผือดลงหลายส่วน

    อวี๋ฉี่เจ๋อเห็นเช่นนี้ค่อยๆ ค้อมเอวลง นำขนมรังนกยัดใส่มือของอวี๋เจียว ก่อนจะหันหลังมุ่งหน้าเดินไปทางด้านนอกห้องเล็ก

    ถึงแม้อวี๋เจียวจะยังไม่เข้าใจสถานการณ์ ทว่าริมฝีปากแห้งผากทำให้นางเอ่ยกับบุรุษหนุ่มรูปงามที่กำลังมุ่งไปข้างหน้าโดยสัญชาตญาณว่า “พ่อรูปหล่อ ขอน้ำให้ฉันสักแก้วได้ไหม?”

    การกระทำของอวี๋ฉี่เจ๋อชะงักค้าง บนใบหน้าของผู้ที่หันหลังให้อวี๋เจียวฉายแววขุ่นเคือง สตรีนางนี้ ช่างไร้ยางอายยิ่งนัก!

    เขาสะบัดชายอาภรณ์เดินออกไปจากห้องเล็กทันใด

    อวี๋เจียวเผยสีหน้าประหลาดใจ ถึงแม้สายตาจะมองเห็นเพียงแผ่นหลังของชายหนุ่ม แต่กลับรู้สึกเหมือนเขาโมโหเสียแล้ว

    เธอก็แค่ขอน้ำแก้วเดียว เขาโมโหอะไร?

    อวี๋เจียวอยากจะพลิกกาย ครั้นเพิ่งขยับตัวกลับเจ็บจนส่งเสียง ‘ซี๊ด’ ออกมา นางใช้มือลูบหน้าอก ผลคือไม่ต่างจากที่คิดเอาไว้ ซี่โครงหักไปหนึ่งซี่ โชคดีที่ไม่ได้เป็นตำแหน่งร้ายแรง พักรักษาอีกไม่กี่วันก็ดีขึ้นแล้ว

    แต่ขาทั้งสองข้างที่เจ็บจนเหมือนกับหักไปแล้วนี่หมายความว่าอะไร? อวี๋เจียวค่อยๆ เงยหน้ามองไปยังขาทั้งสองข้าง พบเพียงบนกระโปรงเต็มไปด้วยเลือด เมื่อใช้มือลูบดูพบว่าคือรอยแผลจำนวนมาก เป็นสภาพหลังถูกทรมานอย่างสาหัส

    อวี๋เจียวเจ็บจนบนหน้าผากมีเหงื่อเย็นผุดออกมา นางมองสำรวจสภาพโดยรอบ ที่ๆ นางอยู่คือห้องเล็กโกโรโกโส ด้านข้างกองสุมไว้ด้วยอุปกรณ์ทำนาจำนวนหนึ่ง มีหน้าต่างบนหลังคาหนึ่งบาน ด้านบนหลังคามีรอยรั่วไม่น้อยแห่ง และนางนอนอยู่บนกองฟางหนึ่งกอง มิหนำซ้ำบนตัวยังสวมชุดโบราณ นางพลันก้มหน้าลง เมื่อใดความฝันที่ไร้สาระนี้จะจบสิ้นลงสักที?

    นางปิดเปลือกตาลง คิดว่าหลังนอนหลับแล้วลืมตาตื่นอีกครั้งคงจะกลับไปยังเตียงใหญ่นุ่มสบายของตัวเอง ความเจ็บปวดทั่วกายจะไม่มีอีกต่อไป

    ภายในลานเรือน หลังอวี๋ฉี่เจ๋อออกมาจากห้องเล็กได้ถูกสะใภ้สามแซ่จ้าวกับฮูหยินเฒ่าอวี๋เห็นเข้าเสียแล้ว ฮูหยินเฒ่าอวี๋เรียกเขาเอาไว้ “ตายแล้วใช่หรือไม่?”

    อวี๋ฉี่เจ๋อเอ่ยอย่างราบเรียบ “ยัง”

    กล่าวจบก็มุ่งหน้าไปทางเรือนหุงต้ม ตักน้ำสะอาดขึ้นมาจากถังใหญ่หนึ่งถ้วย จากนั้นเดินออกมาแล้วมุ่งหน้าไปทางห้องเล็กอีกครั้ง

    ฮูหยินเฒ่าอวี๋เอ่ยพลางขมวดคิ้วเมื่อเห็นเช่นนั้น “เจ้าห้า สาดน้ำทิ้งไปเสีย!”
  • ?เล่มที่1 บทที่2 จอหงวนสามสนาม?

     อวี๋ฉี่เจ๋ออยู่ลำดับที่ห้าจากบรรดาพี่น้องตระกูลอวี๋ คนในครอบครัวจึงมักใช้ลำดับเรียกเด็กไม่กี่คนนี้

    อวี๋ฉี่เจ๋อไม่ส่งเสียงใด อีกทั้งยังไม่ชะงักฝีเท้า เขาถือถ้วยใส่น้ำอย่างมั่นคง มุ่งหน้าตรงไปยังห้องเล็กมุมลานเรือน

    ฮูหยินเฒ่าอวี๋โยนหวายในมือด้วยความโมโห “ลูกชายตัวดีที่สะใภ้รองเลี้ยงดู วันทั้งวันโรคภัยรุมเร้า รู้จักแต่ทำตัวต่อต้านข้า!”

    สะใภ้สามแซ่จ้าวเอ่ยพลางกัดฟันเช่นกัน “ก็แค่ได้อันดับหนึ่งจากการสอบสามสนามตั้งแต่ยังเยาว์ ตลอดหลายปีมานี้ไม่มีอะไรดีสักอย่าง เอาแต่กินยาทั้งวัน สะใภ้รองยังตามใจจนเเทบลอยขึ้นฟ้าเสียแล้ว!”

    พี่ใหญ่นามอวี๋เฉียวซานที่อยู่ด้านข้างทนฟังไม่ได้ เอ่ยด้วยน้ำเสียงอัดอั้นว่า “เจ้าห้ามีร่างกายเป็นตัวถ่วง มิเช่นนั้นคงมีรายชื่อติดประกาศได้เป็นขุนนางมียศ”

    ฮูหยินเฒ่าอวี๋ได้ฟังก็ไม่ส่งเสียงใด เพราะนายท่านยังหวังว่าสักวันหนึ่งร่างกายของอวี๋ฉี่เจ๋อจะหายดีจนสามารถลงสนามสอบอีกครั้ง จากนั้นกลับมาพร้อมตำแหน่งจวี่เหรินผู้เป็นขุนนางระดับท้องถิ่น

    อวี๋เจียวได้ยินเสียงสนทนาภายนอก เพียงแต่ไม่ชัดเจนนัก นางปิดเปลือกตาลง พยายามบังคับให้ตนนอนหลับ แต่กลับไร้ซึ่งความง่วงงุนแม้แต่น้อย

    ประตูไม้ส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าด ภายในห้องเล็กพลันพบกับแสงสว่างอีกครั้ง อวี๋เจียวเปิดเปลือกตา พบเพียงถ้วยดินเผาถูกส่งมาตรงหน้าของเธอ มือที่ถือถ้วยเอาไว้มีนิ้วมือเรียวยาวขาวสะอาด เล็บถูกตัดให้เข้ารูปเป็นระเบียบ ปลายนิ้วประดุจหยก ข้อมือขาวผ่องอยู่ภายใต้อาภรณ์แขนกว้างสีเขียว

    อวี๋เจียวปรายตามองใบหน้าขาวกระจ่างของชายหนุ่ม กระตุกมุมปากหยักยิ้มตามฉบับที่ตัวเองคิดว่าดูดีและมีรสนิยมมากที่สุด นึกถึงคำพูดในบทละครโทรทัศน์ จากนั้นพูดจาหยอกล้อออกไปอย่างใจกล้าว่า “พี่ชายตัวน้อย ข้าเจ็บหน้าอกยิ่งนัก เจ้าป้อนข้าได้หรือไม่?”

    อวี๋ฉี่เจ๋อได้ฟังพลันขมวดคิ้ว มุมปากบึ้งตึง เอ่ยเสียงต่ำว่า “ไร้ยางอาย!”

    สิ้นคำกล่าวถือถ้วยน้ำหันหลังเดินจากไป

    อวี๋เจียวร้อง ‘เฮ้’ อยู่ภายในใจ ทำไมถึงได้แตกต่างจากความฝันอันสวยงามที่นางคิดไว้ลิบลับ ทำไมหนุ่มน้อยรูปงามถึงเย็นชากับนางขนาดนี้?

    แต่นางกระหายน้ำมาก เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มรูปงามกำลังจะเดินออกไปจากห้องเล็ก นางจึงพูดเสียงอ่อนว่า “พี่ชายตัวน้อย กระดูกซี่โครงของข้าหักแล้ว เจ็บหน้าอกเหลือเกิน ขยับไม่ไหวแล้ว เจ้าจะทนเห็นข้ากระหายจนตายหรือ?”

    ร่างผอมสง่าของชายหนุ่มหันกลับมา ใบหน้าดุจหยกเย็นชา ช่างราวกับบนใบหน้าปกคลุมด้วยน้ำค้างแข็ง ภายใต้ดวงตางดงามดังดอกท้อฉายแววรังเกียจ เขาย่อกายวางถ้วยดินเผาลงบนพื้นตรงข้างกายของนางด้วยความรุนแรง

    “ตายเสียได้ยิ่งดี” อวี๋ฉี่เจ๋อพ่นวาจาเย็นชาออกมาไม่กี่คำด้วยเสียงแผ่วเบา

    ความเย็นชาและน้ำเสียงหมางเมินของชายหนุ่ม แม้จะเป็นวันท้องฟ้าปลอดโปร่งในเดือนห้า พระอาทิตย์ทอแสงอบอุ่น แต่กลับไม่อาจกลบความเย็นชาดุจดังน้ำแข็งในยามเช้าตรู่ของฤดูหนาวที่เผยจากดวงตาของเขาได้

    หลังสิ้นเสียงเขาพลันลุกขึ้น ชายแขนเสื้อสีเขียวม้วนสะบัดแสดงให้เห็นถึงการขับไล่ ครั้นหันหลังมุ่งหน้าเดินไปข้างนอก แผ่นหลังผู้สวมอาภรณ์สีเขียวไม่ต่างจากสายหมอกมรกตประปรายริมแม่น้ำหมื่นสีสัน ถึงแม้จะร่างกายอ่อนแอ ทว่าแผ่นหลังราวกับต้นไผ่มรกต เงาของเขาเลือนหายไปพร้อมกับพาแสงสว่างภายในห้องเล็กและหน้าประตูจากไปพร้อมกัน กลับกลายเป็นความมืดสลัวอยู่หลายส่วน

    อวี๋เจียวหัวเราะขมขื่น พยายามออกแรงยกถ้วยดินเผาบนพื้นขึ้นมาจรดริมฝีปากแล้วดื่มเข้าไปหลายอึกใหญ่ กระทั่งหยดสุดท้าย ริมฝีปากแห้งผากถึงชุ่มชื้นขึ้นมาบ้าง

    หลังจากคลายความกระหาย ภายในท้องยังคงว่างเปล่า อวี๋เจียวคว้าขนมรังนกสีดำในถ้วยดินเผาขึ้นมาส่งเข้าปาก สงสัยเหลือเกินว่าหลังจากกินเจ้าของสิ่งนี้เข้าไปแล้วจะติดพิษหรือไม่ หลังจากลองกัดหนึ่งคำด้วยความสงสัย เมื่อพบว่ารสชาติเหมือนหมั่นโถวไส้ถั่วจึงกัดกินต่อทีละคำอย่างละเมียดละไม

    หลังจากคลายความหิวในท้อง อวี๋เจียวปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง เฝ้าหวังว่าหลังจากหลับฝันแล้วตื่นขึ้นมาจะได้กลับไปยังโลกแห่งความเป็นจริง

    แต่ความเจ็บปวดบริเวณหน้าอกและรอยแผลบนขาทั้งสองข้างกลับเตือนสตินางว่า นี่ก็คือโลกแห่งความเป็นจริง

    จริงหรือเท็จล้วนไม่ต่างกัน ราวกับชมจันทรากลางสายชล ยลบุปผากลางสายหมอก

    อวี๋เจียวสะลึมสะลือก่อนจะผล็อยหลับไปอีกครั้ง

    เมื่อเห็นอวี๋ฉี่เจ๋อกลับเข้ามาในห้อง สะใภ้รองแซ่ซ่งจึงเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงว่า “แม่นางเมิ่งเป็นอย่างไรบ้าง? เมื่อครู่ถูกท่านย่าของเจ้าเห็นเข้าหรือไม่?”

    “ฟื้นแล้วขอรับ” หลังจากเอ่ยอย่างเรียบง่าย อวี๋ฉี่เจ๋อจึงเข้าไปในห้องเพื่ออ่านตำราต่อ

    อวี๋เมิ่งซานผู้นอนอยู่บนเตียงวางใจไม่น้อยหลังได้ฟังเช่นนี้ เอ่ยกับสตรีแซ่ซ่งว่า “เจ้าแอบเก็บอาหารกลางวันไว้ให้แม่นางเมิ่งสักหน่อยเถิด”

    สะใภ้แซ่ซ่งพยักหน้า “ข้าจะไปทำกับข้าว หากท่านอยากจะลุกไปเข้าห้องน้ำก็ร้องเรียกฉี่เจ๋อนะเจ้าคะ”

    อวี๋เมิ่งซานมองภรรยาครู่หนึ่ง ดวงตาฉายแววอบอุ่นพลางส่งยิ้มให้

    นางแซ่ซ่งแย้มยิ้มเช่นกัน จากนั้นเดินออกไปข้างนอก

    อวี๋ฉี่เจ๋อผู้เป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของครอบครัวรอง ร่างกายอ่อนแอ โรคภัยรุมเร้าตั้งแต่ยังเล็ก แต่กลับเปี่ยมความสามารถ ฉลาดหลักแหลมเหนือผู้คน ตอนอายุสิบสองเข้าร่วมการสอบขุนนางระดับต้น ล้วนได้รับอันดับหนึ่งจากการสอบ[1]เซี่ยนซื่อ ฝู่ซื่อและย่วนซื่อ คว้าตำแหน่งสามจอหงวนมาครองและสอบติดขุนนางระดับซิ่วไฉ ทว่าร่างกายกลับขาดคุณสมบัติ นับแต่นั้นเป็นต้นมาร่างกายอ่อนแอ โรคภัยไข้เจ็บน้อยใหญ่รุมเร้า ดื่มยาไปไม่รู้ตั้งเท่าใดล้วนไม่เห็นผล

    บรรพบุรุษตระกูลอวี๋เคยมีหมอหลวงหนึ่งท่าน ทว่าภายหลังถูกลงโทษจนเสื่อมเสียชื่อเสียง ชนรุ่นหลังของตระกูลอวี๋ตกต่ำลงเรื่อยๆ ราวกับลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น เพียงแต่วิชาที่สืบทอดมาจนทุกวันนี้ มีคนในตระกูลอวี๋รู้อยู่แค่ไม่กี่คน นายท่านอวี๋ยังพอรู้วิชาการแพทย์อยู่บ้าง เป็นท่านหมอในหมู่บ้าน แต่กลับไม่อาจรักษาร่างกายของอวี๋ฉี่เจ๋อได้

    แม้เชิญท่านหมอจากโรงหมอที่ดีที่สุดในอำเภอมาตรวจอาการ กลับถูกตัดสินชี้ขาดว่าอวี๋ฉี่เจ๋อจะมีอายุไม่เกินยี่สิบปี ภายในร่างกายคนทั่วไปมีพลังชีวิตและสารจำเป็นต่อชีวิตไหลเวียนหล่อเลี้ยงร่างกายไม่ขาดสาย ทว่าพลังชีวิตของอวี๋ฉี่เจ๋อถูกใช้ไปเพียงน้อยนิดก็สลายไป ไร้ยาใดรักษา เว้นเสียแต่เทพเซียนต้าหลัวจะลงมาเยือนโลกมนุษย์

    แต่อวี๋ฉี่เจ๋อกลับเป็นผู้มากพรสวรรค์ยากพบเจอ ในปีนั้นพึ่งอายุสิบสองก็คว้าตำแหน่งสามจอหงวนในการสอบขุนนางระดับต้น นายท่านอวี๋อยากจะเทิดเกียรติให้บรรพบุรุษ เฝ้าฝันว่าวันหนึ่งในภายหน้า ร่างกายของอวี๋ฉี่เจ๋อจะกลับมาเป็นปกติ สามารถลงสอบขุนนางอีกครั้งเพื่อนำชื่อเสียงเกียรติยศของตระกูลอวี๋กลับมา ด้วยเหตุนี้จึงยอมกลั้นใจนำเงินให้สะใภ้รองซื้อยารักษามาโดยตลอด

    สตรีแซ่ซ่งไปห้องหุงต้ม ซาวข้าวและก่อไฟเพื่อทำอาหาร แต่กลับไม่อาจกลั้นหยาดน้ำตา ภายในใจระทมขมขื่นยิ่งนัก

    เดิมทีเป็นครอบครัวยากจน ฉี่เจ๋อร่างกายอ่อนแอมีโรคภัยสารพัดมาโดยตลอด กินยาเข้าไปกลับไม่เป็นผล ทำให้ท่านแม่ไม่พอใจมานานแล้ว แต่โชคชะตายังคงซ้ำเติมผู้คน เคราะห์ซ้ำกรรมซัด เมื่อหลายวันก่อนอวี๋เมิ่งซานผู้เป็นสามีขึ้นเขาไปเก็บยา บังเอิญพบสัตว์ร้ายจนถูกกัดขาขาด ภายหน้าครอบครัวรองของพวกนางจะใช้ชีวิตกันต่อไปอย่างไร

    “น้องสะใภ้รอง เจ้าจะทำกับข้าวหรือ? ข้าจะเป็นลูกมือให้เจ้าเอง” เมื่อครู่พี่สะใภ้ใหญ่แซ่จางเห็นสะใภ้แซ่ซ่งมุ่งหน้ามายังห้องหุงต้ม พลันรู้ว่านางจะมาก่อไฟทำอาหารถึงได้ตามมาเพราะอยากช่วยเหลือ

    นางแซ่ซ่งรีบปาดน้ำตาบนใบหน้า “ไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ ข้าทำคนเดียวได้ ท่านควรจะไปช่วยท่านแม่สานกระบุง”

    สะใภ้แซ่จางเดินมาอยู่ตรงเตาเพื่อช่วยก่อไฟเสียแล้ว นางใส่ฟืนเข้าไปในเตา พบว่าหางตาของสตรีแซ่ซ่งแดงเล็กน้อยจึงเอ่ยพลางหัวเราะออกเสียง “เฉียวซานกับครอบครัวสามยังอยู่ด้วย ไม่ได้มีแค่ข้าคนเดียว เดือนหน้าถึงจะเก็บเกี่ยว ย่อมต้องสานเสร็จทันแน่นอน”

    สะใภ้แซ่ซ่งไม่เอ่ยสิ่งใดต่อไป ขัดหม้อจนสะอาดอย่างชำนาญ เทน้ำมันหมูลงไปเล็กน้อย ใส่มะเขือม่วงที่แช่เอาไว้เรียบร้อย ตามด้วยเห็ดจำนวนหนึ่งแล้วผัดให้เข้ากัน

    ท่ามกลางเสียงทำอาหาร สตรีแซ่จางเอ่ยปลอบเสียงเบาว่า “น้องสะใภ้รอง คนเราต้องมองไปข้างหน้า ชีวิตความเป็นอยู่ย่อมต้องดีขึ้น อย่าได้เสียใจเกินไป ยามนี้ครอบครัวรองยังต้องพึ่งแรงสนับสนุนของเจ้านะ!”

    ซ่งชุนน้ำตารื้นหลังได้ฟัง พยายามกลั้นน้ำตาแล้วเอ่ยทั้งรอยยิ้ม “ข้ารู้ ทว่าเหตุใดชีวิตความเป็นอยู่ถึงลำเค็ญเช่นนี้ ทำให้ยิ่งรู้สึกไม่มีความหวังเสียแล้ว”

    สตรีแซ่จางรู้สถานการณ์ของครอบครัวรองในยามนี้ เมื่อเกิดเรื่องเลวร้ายขึ้นกับสตรีนางหนึ่งล้วนต้องรู้สึกเป็นทุกข์ ภายในใจรู้สึกสงสารชีวิตขมขื่นของสตรีแซ่ซ่ง เอ่ยปลอบโยนว่า “เหตุใดถึงจะไม่มีความหวัง? ไม่แน่วันหนึ่งวันใดร่างกายของเจ้าห้าอาจหายดี เจ้าต้องคิดในแง่ดีสักหน่อย”

    “หากเป็นเช่นนั้นคงดีจริงๆ ...จะให้ข้าสละอายุขัยสิบปีหรือยี่สิบปีล้วนแต่ยินดี” สะใภ้แซ่ซ่งเต็มใจจะใช้ชีวิตของตนเพื่อแลกกับหนึ่งชีวิตของบุตรชาย




    เชิงอรรถ

    [1] คือการสอบทั้งสามระดับของการสอบขุนนางขั้นต้นที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี ระดับเสี้ยนซื่อจะมีนายอำเภอเป็นผู้จัดสอบ ระดับฝู่ซื่อจะมีข้าหลวงระดับเมืองเป็นผู้จัดสอบ ระดับย่วนซื่อถือเป็นการสอบคัดเลือกเพื่อคัดสรรข้าราชการเข้าปกครองในระดับอำเภอ หากผ่านการสอบระดับย่วนซิืื่อจะถูกเรียกขานว่า ซิ่วไฉ

    สามารถอ่านต่อได้ที่

    Kawebook > คลิกเลย!




Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in