ณ กรุงฮานอย, ปี 2020. หลังจากตะลอนมาทั้งวันก็ได้เวลากลับที่พัก คราวนี้ตั้งใจไว้ว่าจะไม่ใช้จีพีเอสเพราะอยู่มาหลายวันแล้ว เลยปล่อยให้ความจำและความรู้สึกทำหน้าที่แทน ซึ่งมันก็ทำหน้าที่ได้ดี พาเรากลับมาได้ทันก่อนที่ฝนจะลงเม็ด
.
เดินมาเกือบถึงหน้าโฮสเทล มองไกลๆเห็นคุณลุงผมขาว หนวดขาว ยาวเฟิ้ม นั่งอยู่ตรงบันไดทางเข้า ก่อนหน้านี้เจอกันครั้งแรกก็ตอนวันเช็คอิน มียิ้มทักทายกันเป็นพิธี แต่รู้สึกถูกชะตากับแกตั้งแต่วันนั้น เจอกันรอบนี้ลุงก็ชิงเซย์ไฮทักทายก่อน เราเลยนั่งคุยกันอยู่พักใหญ่
.
เรายิงคำถามแรกไปว่ามานั่งทำอะไรตรงนี้ ลุงแกตอบ 'กลัวฝนจะตกเลยเดินกลับมาโฮสเทล แต่ยังไม่อยากเข้าไปข้างใน' (ความรู้สึกเดียวกันเลยลุงงง) ต่อไปก็เป็นคำถามเบสิคที่ผลัดกันถามว่าชื่ออะไร มาจากไหน เป็นคนประเทศอะไร จะไปไหนต่อ บลาๆๆ
.
ลุงแกอายุ 60 กว่า (จริงๆน่าจะเรียกปู่ได้ละ) เป็นคนฝรั่งเศส มาเที่ยวตามประสานักเดินทาง คือไปเรื่อยๆ ก่อนหน้านี้ไปอยู่อินเดียมาสองเดือน ไปนั่งฟังพระสวดมนต์ทุกวันจนจำบทสวดได้ แล้วแกก็โชว์อะระหัง 1 ท่อน (ประทับใจตรงที่มีสำเนียงด้วย)
.
ลุงยังบอกอีกว่าเห็นเราตั้งแต่วันแรกแล้วรู้สึกถูกชะตาด้วย เค้าใช้คำว่า 'I can feel something' เหมือนมันคอนเน็คอะไรกันสักอย่าง ซึ่งเราก็ตอบไปแบบตื่นเต้นว่า 'Yeahๆๆๆ me too' คือต่างคนต่างรู้สึกได้ถึง something ที่ไม่รู้จะเรียกมันว่าอะไร แถมยังคุยกันถูกคออีกต่างหาก
.
ด้วยวัยที่คอนทราสต์กัน ลุงเล่าเรื่องราวชีวิตที่ผ่านมา ส่วนเราเล่าถึงความฝันที่คิดอยากจะทำ พอผลัดกันฟังผลัดกันถามจนพรุน จู่ๆลุงหยิบกระเป๋าตังออกมาแล้วยื่นแบงค์ 50 ยูโรให้ ตอนนั้นงงว่าคืออะไร ให้ทำไม แล้วลุงก็พูดต่อว่าลุงแก่แล้ว ชีวิตไม่ได้ต้องการอะไรมากมาย ลุงอยากสนับสนุนความฝันของเรา (อห ซึ้งง) เรารับมา ขอบคุณ แล้วก็ยิ้มกว้างๆให้หนึ่งที
.
หลังจากนี้ลุงจะไปเที่ยวเกาะที่จีนต่อ กำลังลุ้นว่าจะได้วีซ่ารึเปล่า ส่วนเราวันมะรืนก็ต้องกลับกรุงเทพ แล้ววันถัดไปก็กลับบ้านต่อเลย (ชอบแพลนกะทันหันติดๆกันแบบนี้ โดนคนที่บ้านบ่นยับ) เดี๋ยวต้องกลับไปลุ้นต่อว่าถ้าซักผ้า มันจะแห้งทันมั้ย หรือจะขนกลับไปซักที่บ้านให้โดนด่าเล่นๆดี? 5555
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in