ถ้าจะบอกว่า 'Parasite' ตีแผ่เรื่องราวและความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้นกับชนชั้นล่างของเกาหลีใต้ หากเดาเผินๆจากเรื่องย่อหรือตัวอย่างภาพยนตร์ก็อาจทำให้คิดได้ว่า 'Shoplifters' คงมีเรื่องราวที่ไม่ต่างกันมากนัก เพียงแต่เปลี่ยนสถานที่จากเกาหลีใต้เป็นญี่ปุ่น และเปลี่ยนแกนเรื่องจากการต้มตุ๋นแบบแทคทีมเป็นการลักเล็กขโมยน้อยที่อาจนำพาไปสู่อะไรบางอย่างที่มันมากกว่านั้น

'Shoplifters' หรือในชื่อภาษาไทยว่า 'ครอบครัวที่ลัก' เป็นภาพยนตร์ญี่ปุ่นผลงานการกำกับของ Hirokazu Kore-eda บอกเล่าเรื่องราวของบ้าน 'ชิบาตะ' ครอบครัวชนชั้นกรรมาชีพที่อาศัยอยู่ในบ้านรูหนูคับแคบแห่งหนึ่งในโตเกียว เปิดเรื่องด้วยฉากการขโมยของในซุปเปอร์มาร์เก็ตโดยคู่พ่อลูก

ในคืนหนาวเหน็บหลังเสร็จจากปฏิบัติภารกิจลับในระหว่างทางกลับบ้านชายที่แก่กว่าซึ่งเดาว่าน่าจะเป็นพ่อได้บังเอิญเห็นเด็กหญิงตัวน้อยถูกทิ้งให้นั่งอยู่ตามลำพังที่ระเบียงแฟลตด้วยท่าทางหิวโหย เขาเกิดเห็นใจและพากลับมากินข้าวเย็นด้วยที่บ้านโดยหวังว่าจะพากลับมาส่งหลังจากเสร็จมื้ออาหาร

หนูน้อยอายุเพียงห้าขวบพูดจายังไม่ค่อยชัดเท่าไหร่นักบอกว่าตัวเองชื่อ 'ยูริ' (Miyu Sasaki) ตามเนื้อตัวเต็มไปด้วยร่องรอยบาดแผลและดูผอมโซเอาแต่บอกว่าที่เป็นแผลเพราะตนล้มเอง หลังจากเสร็จมื้ออาหารสองสามีภรรยาก็อุ้มเด็กน้อยพามาส่งที่แฟลต และได้เห็นฉากการทะเลาะตบตีของพ่อแม่หนูน้อยรวมถึงประโยคสะเทือนใจที่ว่าไม่ได้ต้องการในยูริเกิดมา ทั้งคู่เลยตัดสินใจให้ยูริอยู่ที่บ้านต่อไป 

ในมุมมองของคนดูก็คิดล่วงหน้าไว้แล้วว่าเด็กคนนี้ต้องกลายเป็นภาระของบ้าน เพราะเรื่องค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นบวกกับสถานภาพทางการเงินของครอบครัวที่ไม่ค่อยดี และอาจทำให้สมาชิกในครอบครัวแตกหักกันอย่างแน่นอน แต่ก็ผิดคาดที่ทุกคนต่างพร้อมที่จะอ้าแขนรับยูริมาเป็นสมาชิกในครอบครัว และก็ทำให้เราได้พบความจริงที่น่าตกใจว่าทุกคนในครอบครัวไม่มีใครเลยแม้แต่คนเดียวที่มีความผูกพันกันทางสายเลือด

คุณย่า(Kirin Kiki) เป็นหญิงชราที่กินเงินบำนาญของสามีที่ตายไป คนที่เข้าใจว่าเป็นพ่อและแม่ก็คือสามีภรรยากันจริงๆโดยโนบุโยะ(Sakura Ando)ผู้เป็นภรรยาทำงานซักรีด โอซามุ(Lily Franky) สามีทำงานก่อสร้างและก็พาโชตะคุง(Kairi Jo) ที่เข้าใจผิดว่าเป็นลูกชายคนเล็กออกตระเวนขโมยของหาลำไพ่พิเศษ ส่วนอากิ(Mayu Matsuoka)ที่เข้าใจว่าเป็นลูกสาวคนโตนั้นทำงานในบาร์โฮสต์ อากิเคยตั้งคำถามแปลกๆกับโอซามุว่าสมาชิกแต่ละคนในบ้านนี้ผูกพันกันด้วยอะไร และคำตอบที่ได้นั้นถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้ชัดเจนตรงใจ แต่ในที่สุดคนดูจะได้รู้คำตอบเองว่าเพราะอะไร

ความต่างจาก 'Parasite' ที่เห็นได้ชัดคือทุกคนในบ้านชิบาตะดูมีความสุข 'ความสุข'ที่ว่าคือ ความสุขตามอัตภาพ สุขเท่าที่ตนมี ไม่มีสมาชิกคนไหนที่แสดงออกถึงความทะเยอทะยานอยากได้อยากมี ทุกคนทำหน้าที่ในบทบาทนั้นๆที่ตนได้รับอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ถึงแม้ว่าจะไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดก็ตาม หลายครั้งที่ทั้งโอซามุและโนบุโยะอยากถูกเรียกว่าพ่อกับแม่ แต่ไม่มีเด็กๆคนไหนเรียกแบบนั้น ถึงแม้กระนั้นทั้งคู่ก็ยังทำหน้าที่ให้ความรักความอบอุ่นได้ไม่ต่างจากพ่อแม่คนหนึ่ง

ทุกคนต่างเติมเต็มซึ่งกันและกันเสมือนครอบครัวสมมติที่ทุกคนต่างเลือกตัวละครในครอบครัวของตนเองได้ คุณย่าที่ไม่แน่ชัดว่ามีลูกหรือไม่แต่ชัดเจนว่าถูกสามีทอดทิ้งไปมีครอบครัวใหม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่จากลูกสมมติคือสองสามีภรรยา และมีหลานที่น่ารักทั้งสามคน ถึงแม้ว่าจะต้องแลกด้วยการใช้เงินบำนาญมาจุนเจือคนทั้งครอบครัว สองสามีภรรยาได้มีลูกสมมติถึงสามคนมาเติมเต็ม เพราะโนบุโยะไม่สามารถมีลูกได้ส่วนเด็กๆที่ไม่ได้รับการเอาใจใส่จากพ่อแม่ที่แท้จริงก็ได้ความรักความอบอุ่นจากทั้งพ่อแม่สมมติรวมถึงคุณย่า

นี่แสดงให้เห็นถึงการอยู่ร่วมกันของคนในครอบครัวแบบภาวะพึ่งพา (Mutualism) ตามหลักชีววิทยาที่ต่างฝ่ายต่างได้ประโยชน์ซึ่งกันและกัน ซึ่งเป็นคนละบริบทกันกับในเรื่อง 'Parasite' ที่เปรียบเทียบความสัมพันธ์ของสองครอบครัว(หรืออาจจะสาม) ที่เป็นแบบภาวะปรสิต (Parasitism) ที่ฝ่ายหนึ่งไปหวังอาศัยประโยชน์จากอีกฝ่าย