เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
นิยายระบบkawebook.com
จ้าวระบบจอมอหังการ

  • เจ้าของลิขสิทธิ์ต้นฉบับ : Nanjing Fenbu Culture Development Co.,Ltd (Hongshu)
    ประพันธ์โดย : 风雨天下 (เฟิงอวี่เทียนเซี่ย)
    บรรณาธิการ : ไพสิฐ ต่วนขำ
    แปลและเรียบเรียงโดย : Duola (สุรีย์ฉาย ตารินทร์)

    คำโปรย

    ‘เจียงไป๋’ ทะลุมิติเข้ามาในโลกใหม่ ด้วยใบหน้าที่เด็กลงถึงสิบปี! พร้อมกับระบบที่จะทำให้เขาได้กลายเป็น ‘จอมอหังการ’ ผู้ยิ่งใหญ่!

    เรื่องย่อ

    “เจียงไป๋” ผู้ที่มักจะถูกคนเรียกว่า ‘ไอ้ห่วยแตก’ กระทั่งวันหนึ่งเขาได้ทะลุมิติเข้ามาอยู่ในโลกคู่ขนาน ด้วยหน้าตาอันหล่อเหลาและเด็กลงถึงสิบปี! พร้อมกับระบบที่เรียกตัวเองว่า ‘ระบบจอมอหังหาร’ มันบอกกับเขาว่า ขอเพียงแค่สะสมแต้มบารมีให้ครบก็สามารถนำแต้มมาสุ่มเป็น เงินทอง ความสามารถ หรืออำนาจก็ได้..!?
    .
    ระบบ : คุณได้รับ“ความสามารถพิเศษที่ผ่านตาก็ลืมไม่ลง”
    โอ้ อย่างนี้ผมขโมยวรรณกรรมจากโลกก่อนมาเขียนได้งั้นสิ!
    .
    ระบบ : คุณได้รับ “ทักษะมวยปาจี๋ขั้นสูง”
    พระเจ้า...ความสามารถนี้ทำคนถึงตายได้เลยนะ?
    .
    แม้ว่าหนทางสู่ ‘จ้าวอหังการ’ จะยังอีกยาวไกล... แต่ก็เริ่มสนุกแล้วสิ ต่อไปผมเข้าวงการบันเทิงดีมั้ยนะ?!



    รวมความประทับ สนุกปนฮา ไปกับระบบสุดคูล!

    สำหรับใครที่ชอบนิยายแนวแฟนตาซี ทะลุมิติ ระบบ ฮาเร็ม จะพลาดเรื่องนี้ไปไม่ได้เลยค่ะ เพราะว่า จ้าวระบบจอมอหังการ ตอบโจทย์ทุกคนแน่นอน! จุดเด่นของเรื่องนี้ก็คงเป็น ‘เจียงไป๋’ ที่ทะลุมิติเข้ามาในโลกคู่ขนาน โลกนี้เปรียบเสมือนโลกจริงๆ แต่ เมื่อสิบปีก่อน พระเอกหนุ่มขึ้นด้วย! แถมจู่ๆ ก็มีระบบดังขึ้นมาในหัว บอกว่าตัวเองเป็น “ระบบจอมอหังการ” ที่จะทำให้เขากลายเป็นจ้าวอหังการ ที่มีพร้อมทั้งเงิน อำนาจ และสาวงาม!
      
    สกิลที่สุ่มได้ก็มีแต่ทักษะแปลกๆ สุดโกง เช่น ความสามารถพิเศษที่ผ่านตาก็ลืมไม่ลง ไม่ว่าอะไรก็ตามที่เคยผ่านตาเขามาตั้งแต่โลกที่แล้ว เห็นเพียงแค่ครั้งเดียวก็จำได้ไม่ลืม! พอพระเอกได้ทักษะนี้ก็อาศัยเอาความทรงจำของตัวเองตอนที่อ่านนิยายจากโลกเดิม มาก็อปปี้เขียนนิยายลงขายบนเว็บไซต์ จนกลายเป็นนักเขียนชื่อดัง (จริงๆ แบบนี้ก็ไม่ดีนะจ๊ะ ) 

    แต่ทำได้ไม่นานก็รู้สึกละอายใจ และเริ่มมองหาอาชีพสุจริตใหม่ๆ อย่างการเป็นเจ้าของกองถ่ายทำ!? งงมาก ไปเป็นได้ยังไง5555 นั่นก็เพราะว่าพระเอกดันไปรู้จักกับคนใหญ่คนโต และสุดยอดความสามารถที่พระเอกมีดันไปถูกใจคนพวกนั้น จนเขายกกองให้ ดูเขาสิคะ5555 แต่ไปๆมาๆ จากเจ้าของกองถ่ายทำหนัง ก็กลายเป็นนักแสดงจำเป็นไปซะงั้น!?
      
    หลายคนอาจจะสงสัยว่านอกจากสุ่มสกิลแล้ว มันเป็นระบบยังไงอีก? คืออย่างนี้ค่ะ ระบบอหังการ มีเงื่อนไขว่าหากจะสุ่มสกิลของระบบได้ จะต้องนำ “แต้มบารมี” มาแลก แต้มบารมี คือแต้มความดัง พลังอำนาจ และความร่ำรวย หากพระเอกได้ค่าพวกนี้มา ก็สามารถนำแต้มมาสุ่มสกิลกับระบบนั่นเอง! แถมเรื่องนี้สาวๆ เยอะมาก สายฮาเร็มไม่ควรพลาดอย่างแรง!


    สามารถอ่านต่อได้ที่

    Kawebook > คลิกเลย!

    Dek-D        > คลิกเลย!


Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
kawebook.com (@kawebook.com)
ตอนที่ 1 เจียงไป๋เกิดใหม่
ในเดือนมีนาคม ท้องฟ้าที่เดิมทีเป็นสีครามเวลานี้กลับปกคลุมไปด้วยเมฆครึ้มหนาแน่น สายลมพัดผ่านกวาดเอาใบหลิวปลิวไป สายฟ้าแลบเป็นประกายอยู่ท่ามกลางอากาศ สายฝนพรำโปรยปรายไปทั่ว

สภาพอากาศที่อึมครึมเช่นนี้พาให้รู้สึกไม่สบายใจตามไปด้วย

เจียงไป๋นั่งเหม่ออยู่ในห้องเช่าโกโรโกโสเพียงลำพัง เวลานี้ภายในจิตใจของเขาเหมือนถูกสายฝนที่โหมกระหน่ำตกลงมาทิ่มแทงจนเป็นรูรั่วเหมือนดั่งกระชอน

“ล้อเล่นอะไรกัน! ที่นี่ที่ไหน? ดาวสุ่ยหลาน? โลกคู่ขนานหรือ? ฉันทะลุมิติเข้ามาหรือว่าเห็นผีกันแน่!”

เจียงไป๋ได้สติกลับมาสักพัก เขาอดไม่ได้ที่จะดึงปากบนใบหน้าอ่อนเยาว์ของตนอย่างรุนแรง หลังจากยืนยันได้แล้วว่าแก้มยังมีอาการเจ็บอยู่ จึงอดไม่ได้ที่จะบ่นพึมพำออกมา

มิน่าล่ะ เขาถึงมีท่าทางเช่นนี้ หากเป็นใครสักคนตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าตนเองเด็กลงไปสิบปี และต้องข้ามมาอยู่อีกโลกหนึ่งก็คงมีอาการแบบนี้ไม่ต่างไปจากเจียงไป๋นัก และหากพบว่าเขาที่เป็นคนเรื่อยๆ เฉื่อยๆ กลับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ซึ่งก็ยังไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไรนั้น ถ้าหากไม่จัดการให้ดีก็อาจจะถูกส่งไปยังโรงพยาบาลบ้าก็เป็นได้

“ดาวสุ่ยหลานคือดาวคู่ขนานของโลกดวงหนึ่ง มีลักษณะส่วนใหญ่เหมือนกับโลก นอกจากรายละเอียดที่มีความแตกต่างกันเล็กน้อยแล้ว เจ้าก็จะรู้สึกได้ว่าที่นี่ก็คือโลกเมื่อสิบปีก่อน ยินดีด้วยพ่อหนุ่ม เจ้าได้รับรางวัล และเกิดใหม่แล้ว”

ขณะที่เจียงไป๋กำลังตบหน้าตนเองอย่างมึนงง เสียงที่ฟังดูจอมปลอมที่สุดเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นในหัวของเขา

“คุณเป็นใคร?”

เจียงไป๋ตะลึงงัน และตกใจมาก

เห็นผีเข้าแล้วสิ!

“ข้าหรือ? ข้าก็คือระบบจอมอหังการ! ส่วนที่มาของข้านั้น … เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้ก็ได้ ถึงอย่างไรหนุ่มน้อยเจ้าก็โชคดีแล้ว ข้าพาเจ้ามายังที่นี่ ชีวิตของเจ้าก็จะแตกต่างออกไปจากเดิม จะมาสนใจอะไรมากมาย เพียงเก็บสะสมบารมี และข้าก็จะให้ของรางวัลตอบแทนแก่เจ้าอย่างไม่มีที่สิ้นสุด!”

เสียงนั้นดังขึ้นมาอีก และก็ไม่ได้สนใจปัญหาของเจียงไป๋เช่นเคย เขาจึงเริ่มบ่นพึมพำอีกครั้ง

“จอมอหังการหรือ? มันคืออะไร?”

เจียงไป๋มึนงงเล็กน้อย เขาพบว่าในหัวของตนยังคงตอบสนองไม่ทัน

“ระบบจอมอหังการสร้างมาเพื่อปลูกฝังให้เจ้าเป็นจอมอหังการที่สะเทือนเลือนลั่นไปทั่วฟ้าดิน โดยใช้แต้มบารมีเป็นฐาน และหากมีแต้มบารมีเจ้าก็จะได้ทุกอย่างที่เจ้าต้องการ”

เสียงของระบบดังขึ้นอีกครั้ง ข้อความต่างๆ เริ่มปรากฏอยู่ในหัวของเจียงไป๋ ทำให้เขาสามารถเข้าใจระบบบารมีในเบื้องต้นได้บ้างแล้ว

ซึ่งมันก็เป็นเหมือนกับเกมเกมหนึ่ง อธิบายคร่าวๆ คือ เจียงไป๋จะต้องทำภารกิจให้สำเร็จเพื่อเก็บสะสมประสบการณ์ และจะสามารถนำไปแลกสิ่งที่ต้องการได้

“เจียงไป๋แกลงมาเดี๋ยวนี้! เรื่องที่ให้ไปจัดการเมื่อวานเป็นอย่างไรบ้าง!”

ขณะนั้นมีเสียงเอ็ดตะโรดังขึ้นที่ลานบ้าน

ภายใต้ฝนพรำเช่นนี้ อันธพาลแต่งตัวฉูดฉาดสามสี่คนถีบประตูใหญ่ของบ้านเช่าสามชั้นหลังนี้ออก และเดินเข้ามาตะคอกเสียงดัง ก่อนจะชี้ไปที่เจียงไป๋ซึ่งกำลังนั่งอยู่บริเวณด้านหลังของราวกั้นขึ้นสนิมใต้ชายคาระเบียงชั้นสาม

“เอ่อ”

เจียงไป๋คลึงหัวเบาๆ และทบทวนความทรงจำอยู่สักพัก เขาก็นึกออกว่าคนพวกนี้คือใคร

คนที่มีผมสีเหลืองยืนอยู่ตรงกลางนั้นคือหลิวปิน อันธพาลที่มีชื่อเสียงในแถบนี้ กับเจียงไป๋ก็ถือว่ารู้จักกัน แต่ไม่ได้สนิทสนมเท่าไร

เจียงไป๋คนเดิมมีนิสัยอ่อนแอ หากได้พบอันธพาลเหล่านี้ถ้าหลบได้ก็จะหลบไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยเด็ดขาด เขาพยายามตั้งอกตั้งใจทำงานเป็น รปภ.ในเมืองหยูเล่อที่ตนอาศัยอยู่อย่างซื่อสัตย์ ใช้ชีวิตอย่างไร้ตัวตน โดยหวังว่าอนาคตจะหาภรรยาสักคน และใช้ชีวิตครอบครัวอยู่ด้วยกันอย่างสงบ

คนทั้งคู่เหมือนกับแม่น้ำสองสายที่ไหลแยกจากกันอย่างสิ้นเชิง ปกติแล้วทั้งชีวิตนี้ก็น่าจะไม่มีโอกาสได้มาคบค้าสมาคมกัน

แต่สิ่งที่แย่ก็คือ เมื่อวานแม่ของเจียงไป๋ได้ให้น้องสาวซึ่งมีหน้าตาสะสวย ที่เป็นญาติห่างๆ กัน มาส่งเสื้อผ้าอะไรสักอย่างให้กับเขา

และสิ่งที่แย่ยิ่งกว่านั้นก็คือ คนพวกนี้ดันไปเห็นเข้า

เพราะเหตุนี้เมื่อวานเหล่าอันธพาลจึงจับเจียงไป๋เอาไว้ แถมยังตบหน้าไปอีกสองทีโดยที่เขายังไม่ได้พูดอะไร คนพวกนั้นต้องการให้เจียงไป๋แนะนำน้องสาวให้รู้จัก

เรื่องอย่างนี้ถึงแม้เจียงไป๋จะอ่อนแอแต่ก็ทำไม่ลง

ถึงเจียงไป๋จะเป็นคนอ่อนแอแต่ก็รู้ดีว่าคนพวกนี้เป็นแบบไหน จะให้เขาผลักไสญาติผู้น้องของตนเข้าไปในกองไฟได้อย่างไร ถึงจะกล่าวว่า …

หากเขาตั้งใจอยากจะทำ แต่น้องสาวที่อยู่ห่างไกลคนนั้นก็คงจะไม่สนใจอยู่ดี

“อ้อ … ฉันอยู่นี่!”

เจียงไป๋ตอบกลับไปเพียงเท่านั้น และหยิบอิฐแตกๆ ที่เหลือเพียงครึ่งก้อนซึ่งอยู่ข้างๆ เท้าขึ้นมาแล้วพุ่งลงไปชั้นล่าง

เจียงไป๋คนก่อนอ่อนแอมาก แต่ในตอนนี้เขาได้เปลี่ยนเป็นอีกคนแล้ว และก็จะไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไป

เขาคนใหม่ถึงแม้จะไม่เก่งกาจอะไร แต่เรื่องต่อยตีแบบนี้ก็ไม่เคยกลัวใครมาก่อน

มากสุดก็แค่ตาย ไม่มีอะไรต้องกลัว

คนพวกนั้นจะไปกลัวมันทำไม?

“พี่ปิน เรื่องที่พี่บอก ฉันคิดได้แล้ว มา พี่เข้ามาหน่อย ฉันจะเล่าให้ฟังทั้งหมด … ”

พอเจียงไป๋ลงไปจากระเบียงก็เห็นคนของอีกฝ่ายสามคนเดินเข้ามา เขาหัวเราะเล็กน้อย พยักหน้า และโค้งตัวพลางพูด

“แบบนั้นหรือ? คิดได้แล้วสิ! เฮ้ย ไอ้น้องถือว่าแกฉลาด เรื่องของพี่ชายหากทำสำเร็จแล้ว ต่อไปถ้าแกอยู่แถวนี้ รับรองได้ว่าจะไม่มีใครกล้ารังแกแกอีก ฉันจะบอกให้ … ”

เมื่อหลิวปินผมเหลืองเห็นท่าทางอย่างนี้ของเจียงไป๋ก็คิดว่าไอ้หนูคนนี้กำลังหวาดกลัว ตอนที่ใบหน้าเผยรอยยิ้มอย่างสมหวัง เขาเดินเข้ามาใกล้เจียงไป๋อย่างไม่สนใจไยดี และหัวเราะเสียงดังก้อง ทั้งยังตบไหล่ของเจียงไป๋อย่างกล้าหาญ พลางพูดด้วยท่าทางที่บอกว่า หลังจากนี้ถ้านายอยู่กับฉัน ฉันก็จะดูแลนายเอง

“แกพูดบ้าอะไร!”

“ตุ้บ” ก้อนอิฐที่อยู่ในมือของเจียงไป๋ตีเข้าไปที่หัวของหลิวปินทันที

เวลานั้นเลือดสีแดงฉานไหลพุ่งออกมาจากหน้าผากของอีกฝ่าย ตามด้วยเสียงร้องอย่างน่าอนาถของหลิวปิน ก้อนอิฐที่อยู่ในมือของเจียงไป๋ถูกตีลงไปอีกครั้ง

“ตุ้บ ตุ้บ ตุ้บ … ”

เขาตีติดต่อกันเจ็ดครั้ง ตีจนหลิวปินร้องอย่างน่าอนาถไม่หยุด และล้มลงกับพื้นจนขยับไม่ได้ในที่สุด เจียงไป๋เพิ่งจะเช็ดเลือดที่อยู่บนแขน เขามองอันธพาลปลายแถวอีกสองคนที่มีอาการมึนงงอยู่พลางพูดว่า “ทำไม? ยังไม่พาเขาไปอีก! ฝากบอกเขาด้วยล่ะ หากเก่งจริงก็ให้เขาไปหาฉันที่ต้าชื่อเจี้ย! คนอะไรกัน!”

“เอ่อ … ”

อันธพาลสองคนนั้นน่าจะอายุประมาณยี่สิบสองยี่สิบสามปี จริงๆ แล้วก็อายุพอๆ กับหลิวปินและเจียงไป๋ ปกติเรื่องชอบใช้อำนาจบาตรใหญ่รังแกคน หรือชกต่อยก็มีไม่น้อย แต่จริงๆ แล้วก็เป็นแค่พวกที่แข็งนอกแต่ภายในขี้ขลาด มักจะรังแกผู้ที่อ่อนแอกว่าแต่กลับกลัวผู้ที่แข็งแกร่งกว่าตน เดิมทีคิดว่าแค่รังแกเจียงไป๋ก็คงไม่ยากอะไร แต่ไม่คิดว่าคนคนนี้จะโหดร้ายเช่นนี้ นี่คือการลงมืออย่างโหดเหี้ยมมาก!

ฟังอีกที ต้าชื่อเจี้ยหรือ?

แม่ง!

เดิมทีแล้วพี่ชายคนนี้ก็คือคนของต้าชื่อเจี้ย สถานที่ซึ่งในถนนสิบกว่าสายของแถบนี้นับว่าเป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียง เวลานี้อันธพาลทั้งสองคนก็ใจฝ่อ จะพูดก็ไม่กล้าพูด ได้แต่อ้าปากค้างอย่างเงียบๆ และรีบลากหลิวปินพากันหันหลังวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็วราวกับกระต่าย ทุกคนล้วนไม่มีท่าทางแยกเขี้ยวยิงฟันอย่างเมื่อครู่แล้ว

“ฟู่”

หลังจากที่พวกเขาจากไปแล้วเจียงไป๋ถอนหายใจยาว

แท้จริงแล้วร่างนี้ก็ไม่ได้แข็งแรงเท่าไร เพียงออกแรงไม่กี่ทีก็เหนื่อยหอบหมดแรงแล้ว หากสองคนนั้นเป็นคนที่โหดเหี้ยมจริงๆ วันนี้เขาก็คงจบเห่แล้ว

ถึงจะเป็นแบบนั้น ก็สามารถทำให้พวกเขาตกใจจนหนีไปได้ แต่เกรงว่าเรื่องนี้จะยังไม่จบ ที่นี่คือสังคมกฎหมาย อย่าเห็นว่าเมื่อครู่เขาต่อยตีได้อย่างสะใจ แต่หลังจากที่ต่อยตีแล้วเจียงไป๋ก็กลับรู้สึกหวาดผวาขึ้นมา

ด้วยสถานการณ์ของเขาในตอนนี้ หากหลิวปินต้องการจะแจ้งความจับเขา เจียงไป๋ก็คงลำบาก

แน่นอนว่าพวกอันธพาลเหล่านั้นจะไม่แจ้งความ แต่เรื่องก็คงจะไม่จบโดยง่าย พวกเขาจะต้องสืบข่าวของเจียงไป๋ให้ชัดเจนและจะต้องกลับมาแก้แค้นอย่างแน่นอน

“ไม่ได้การ อยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว ฉันจะต้องรีบหนีไป!”

ภายในใจของเจียงไป๋มีการตัดสินใจอย่างรวดเร็ว

“ติงตัง! การต่อสู้ครั้งแรกชนะ ด้วยตัวคนเดียวต่อศัตรูสามคน ภารกิจสำเร็จ หนุ่มน้อย ยินดีด้วยเจ้าได้รับแต้มบารมีห้าแต้ม!”

ภายในใจเพิ่งมีความคิดที่จะหนี เจียงไป๋เตรียมตัวหันหลังจากไป แต่ภายในหัวกลับมีเสียงของระบบดังขึ้นมาอย่างกะทันหัน

แต่คำพูดนี้ทำให้เจียงไป๋อดไม่ได้ที่จะบ่นพึมพำอยู่ภายในใจ นี่มันระบบจอมอหังการอะไร … คำพูดทำไมถึงประหลาดเช่นนี้

ยังมีอีก ทำไมถึงเป็นแต้มบารมีห้าแต้ม

คนสามคนที่อยู่ตรงหน้า แต้มบารมีห้าแต้มนี้มีที่มาอย่างไร?

แต่ไม่นานเจียงไป๋ก็เริ่มเข้าใจ

เพราะเขาเห็นคนอื่นๆ ที่อยู่ข้างห้องเช่าแห่งนี้มองมาอย่างงงงัน ชายหญิงที่อายุยี่สิบกว่าปีสองคน กำลังยืนมองเขาอยู่บนระเบียงชั้นสามอย่างตะลึงงัน เมื่อพบว่าเจียงไป๋สังเกตเห็น พวกเขาต่างก็รีบหดคอพยักหน้า และหนีกลับเข้าไปในห้องอย่างรวดเร็ว

ซึ่งนี่ก็ทำให้เจียงไป๋อยากจะหัวเราะอยู่บ้าง

หากจำไม่ผิด คนก่อนหน้านี้อายุมากไปหน่อย เขามีร่างกายกำยำเล็กน้อย แต่ก็ชอบแสดงอำนาจบาตรใหญ่ต่อหน้าเจียงไป๋ไว้มาก ครั้งนี้เกรงว่าต่อไปคนคนนี้ก็จะไม่กล้าอีกแล้ว ถือว่าได้ผลลัพธ์เกินความคาดหมาย

“ยินดีด้วย หนุ่มน้อย เจ้าได้รับแต้มบารมีเป็นครั้งแรก การทดสอบแรกของชีวิตสำเร็จ มีโอกาสจับรางวัลหนึ่งครั้ง! เส้นทางแห่งชีวิตนั้นยาวไกล ขึ้นอยู่กับการสะสมแต้ม หลังจากที่แต้มบารมีของเจ้าถึงหนึ่งพันแต้ม ก็จะสามารถดำเนินการจับรางวัลได้ … ”

“จับรางวัลหรือ?”

เจียงไป๋ตะลึงงัน สักพักเบื้องหน้าก็ได้ปรากฏเครื่องสล็อตแมชชีนขนาดใหญ่เครื่องหนึ่ง

ซึ่งนี่ก็ทำให้เจียงไป๋ตะลึงงันอีกครั้ง แต่ก็นึกขึ้นได้ว่า ของสิ่งนี้มีเพียงเขาที่มองเห็น คนอื่นไม่สามารถมองเห็นได้

จึงทำให้เขาถอนหายใจอย่างโล่งอก

เมื่อมองอย่างละเอียด เครื่องสล็อตแมชชีนนี้ไม่เหมือนทั่วๆ ไป มันมีลักษณะเป็นช่องสี่เหลี่ยมมีทั้งหมดเก้าช่อง แบ่งเป็นด้านละสามช่องเรียงต่อกันเป็นแนวตั้งและแนวนอน แต่ละช่องก็จะมีสีต่างกัน รวมถึงมีเข็มที่อยู่ตรงกลางอันหนึ่ง ซึ่งตอนนี้กำลังชี้ไปที่ช่องช่องหนึ่งอยู่

ในช่องสี่เหลี่ยมทั้งเก้านั้นแบ่งเป็นสีดำสามช่อง สีขาวสามช่อง สีฟ้าหนึ่งช่อง และสีม่วงสองช่อง ด้านบนจะเขียนตัวอักษรกำกับเอาไว้

โดยช่องสี่เหลี่ยมสีขาวสามช่องแบ่งเป็น “รางวัลหนึ่งแสนหยวน” “โอกาสทองหนึ่งครั้ง” “แต้มบารมีสิบแต้ม”

เห็นได้ชัดว่านี่คือรางวัลที่ธรรมดาที่สุด นอกจากเงินหนึ่งแสนหยวนที่ทำให้เจียงไป๋ตาลุกเป็นประกายแล้ว อีกสองอย่างเขาคิดว่าไม่น่าสนใจเท่าไร

ช่องสี่เหลี่ยมสีฟ้าก็มีรางวัลสูงมากคือ “ความเชี่ยวชาญมวยสานต่าชั้นสูง”

ซึ่งก็ทำให้เจียงไป๋ตาลุกเป็นประกายอีกครั้ง นี่ก็เป็นของดี!

หากคนอื่นรู้ว่าเขามีร่างกายอ่อนแอย่อมไม่ดีแน่ ไม่ว่าจะเป็นจากชาติก่อนหรือว่าในตอนนี้ จริงๆ แล้วนอกจากการใช้กำลังที่แข็งแกร่งแล้ว เขาก็ทำอะไรไม่เป็นอีกเลย

เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้พวกหลิวปินไม่เลิกราแน่นอน แต่หากเขาจับรางวัลชิ้นนี้ได้ก็คงจะปลอดภัยแล้ว

สำหรับช่องสี่เหลี่ยมสีม่วงที่มีเครื่องหมายคำถามอีกช่องนั้น เจียงไป๋เลือกที่จะไม่สนใจ แต่เบนสายตาไปที่ช่องสี่เหลี่ยมสีม่วงอีกช่องหนึ่งแทน

ตอนที่สายตาของเจียงไป๋หันไปมองที่ช่องสี่เหลี่ยมสีม่วงช่องนั้น เขาก็ไม่สามารถละสายตาไปที่อื่นได้อีก ความเชี่ยวชาญมวยสานต่าอะไร เงินหนึ่งแสนอะไร เวลานี้ล้วนโยนทิ้งไว้ข้างหลัง

เพราะบนช่องสี่เหลี่ยมสีม่วงที่อยู่เบื้องหน้าเขานั้น ถูกเขียนด้วยตัวอักษรสีม่วงขนาดใหญ่สองสามตัวที่แทบจะทำให้ตาพร่ามัวว่า “รางวัลร่ำรวยอย่างฉับพลันหนึ่งครั้ง!”
kawebook.com (@kawebook.com)
@kawebook.com
ตอนที่ 2 ความฝันขโมยวรรณกรรมแตกสลาย
“การหมุนจับรางวัลครั้งแรก รางวัลทั้งเก้าอย่างจะปรากฏบนตาราง เพื่อให้เจ้าเข้าใจข้อมูลของรางวัลอย่างชัดเจน แต่ก็จะมีให้ดูเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น ซึ่งแต่ละช่องจะมีสีที่แตกต่างกันและระดับขั้นของรางวัลก็จะแตกต่างกันด้วย โดยจะมีสีดำ สีขาว สีฟ้า สีม่วง แล้วก็ยังมีสีทองที่อยู่ในระดับสูงขึ้น แต่นั่นเป็นประเภทของรางวัลขั้นสูง รางวัลขั้นต้นกับขั้นกลางจะไม่มีสีทอง แต่จะมีสีม่วงอย่างแน่นอน เจ้าต้องสุ่มเอา หนุ่มน้อย เริ่มเถอะ จงเดินไปบนเส้นทางชีวิตอันสดใสของเจ้า!”

‘หมุน!’

เจียงไป๋ตะโกนอยู่ภายในใจอย่างอดไม่ไหว วินาทีต่อมาช่องสี่เหลี่ยมเก้าช่องที่อยู่บนเครื่องสล็อตแมชชีนนั้นก็เริ่มหมุน แต่ละช่องเลื่อนผ่านเข็มที่อยู่ตรงกลางไปอย่างรวดเร็ว สักพักความเร็วก็ค่อยๆ ลดลง แต่ช่องสี่เหลี่ยมสีต่างๆ ยังคงเลื่อนผ่านไปไม่หยุด

“ฉันต้องรวยในชั่วข้ามคืน รวยชั่วข้ามคืน … ”

เจียงไป๋มองช่องสี่เหลี่ยมที่เลื่อนผ่านเข็มสีขาวไปเรื่อยๆ เขาแอบครุ่นคิดอยู่ภายในใจ ทั้งยังพูดพึมพำขึ้นมาอย่างบ้าคลั่งและจ้องมองช่องสีม่วงจนดวงตาแดงก่ำ

ช่องสีขาวเลื่อนผ่านเข็มไปอย่างช้าๆ “เงินหนึ่งแสนหยวน” “ One Night Stand” “ทักษะมวยสานต่าขั้นสูง” ผ่านไปทีละช่อง จนสุดท้ายดูเหมือนจะเป็นช่องสีดำที่เลื่อนมาตรงเข็มพอดี ทำให้เจียงไป๋หน้ามืดขึ้นมาทันที

“ให้ตายสิ!”

เจียงไป๋กระทืบเท้าอย่างทนไม่ไหว

ไอ้เครื่องบ้านี่ คิดไม่ถึงว่าจะไม่ให้อะไรเลย?

ไม่ให้อะไรเลย?

“เอ๊ะ? ไม่ใช่ … ”

เดิมทีเจียงไป๋เตรียมที่จะกระโจนเข้าใส่ แต่เขากลับพบว่าช่องสี่เหลี่ยมนั้นยังคงไม่หยุดเคลื่อนไหว แต่ความเร็วช้าลงจนแทบจะมองไม่ออก เมื่อครู่ตอนที่เขาโกรธจนเกือบจะด่าออกมา ช่องสีดำนั้นได้เลื่อนผ่านไปแล้ว และช่องสีม่วงที่มีเครื่องหมายคำถามตัวใหญ่ได้มาอยู่ตรงกลางแทน

“ยินดีด้วยหนุ่มน้อย เจ้าได้รางวัลสีม่วง ความสามารถพิเศษแค่ผ่านตาก็ลืมไม่ลง!”

เสียงของระบบดังขึ้น น้ำเสียงคล้ายยียวนกวนประสาท และวินาทีต่อมาพลังอย่างหนึ่งก็ได้พุ่งเข้าไปในตัวของเจียงไป๋ จนทำให้เขารู้สึกปวดหัว ต่อมาความทรงจำต่างๆ ก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้น

เริ่มตั้งแต่ความทรงจำจากเล็กจนโตของเจียงไป๋ แม้แต่ความทรงจำในช่วงทารกก็ล้วนปรากฏขึ้นมาอย่างฉับพลัน และชัดเจน เหมือนดั่งเพิ่งประสบมาไม่นาน และไม่ใช่แค่ความทรงจำของร่างปัจจุบันนี้ แต่ยังมีความทรงจำที่เขาเคยประสบมาในชาติก่อนอีกด้วย ซึ่งได้ปรากฏออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน

โดยเฉพาะความทรงจำเกี่ยวกับแม่ของเขาที่กำลังทำเกี๊ยวให้ในวัยเด็ก รสชาติของความสุขตอนที่ได้กินเกี๊ยวนั้น รวมทั้งเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในอดีต …

เจียงไป๋น้ำตาไหลพรากอย่างไม่รู้ตัว เพราะเรื่องราวบางอย่างก็ย้อนกลับไปไม่ได้อีกแล้ว และคนบางคนก็มิอาจจะพบเจอได้อีก

เขาเช็ดน้ำตาแล้วคลึงขมับ เพื่อโยนอดีตทิ้งไปข้างหลังให้หมด ตอนแรกเขารู้สึกดีใจที่ได้รางวัลสีม่วงอันแสนลึกลับนี้ “แค่ผ่านตาก็ลืมไม่ลง” เจียงไป๋เริ่มกลับมาสนใจชีวิตของตนอย่างจริงๆ จังๆ อีกครั้ง อย่างแรกเขาอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้แล้ว ต้องรีบหาที่อยู่ใหม่

ถึงแม้ห้องเช่าราคาถูกๆ ในเขตช่างตงจะมีไม่มากนัก แต่ในเมืองใหญ่เช่นนี้จะหาห้องพักสักห้องไม่ได้เลยหรือ?

บุรุษย่อมต้องออกห่างจากที่ที่อันตราย ที่นี่อยู่ไม่ได้แล้วต้องรีบหาที่อยู่ใหม่ เจียงไป๋จัดสัมภาระของตนอย่างเรียบง่าย และถือคอมพิวเตอร์มือสองเก่าๆ เครื่องหนึ่ง ก่อนจะหันหลังเดินออกจากห้องที่ตนอาศัยอยู่มากว่าครึ่งปี โดยพกเงินเก็บหมื่นกว่าหยวนของตนไปด้วย

ในหมู่บ้านระดับกลางๆ สิ่งแวดล้อมไม่เลวนัก ดูสงบปลอดภัย ใกล้ใจกลางเมือง การเดินทางสะดวก โดยรอบมีบรรยากาศคึกคัก ห้องพักเนื้อที่ร้อยกว่าตารางเมตร ก็ไม่จัดว่ากว้างขวางเกินไปนัก แต่ก็ดีกว่าบ้านโกโรโกโสที่เขาอยู่ก่อนหน้านี้ไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า

แน่นอนว่าค่าเช่าก็แพงกว่าหลายเท่าเช่นกัน

เมื่อจ่ายค่าเช่าแล้ว เจียงไป๋ก็พบว่ามีเงินเหลืออยู่ไม่มากแล้ว ทั้งเนื้อทั้งตัวรวมกันก็แค่พันกว่าหยวน ต่อไปหากเกิดอะไรขึ้น ก็คงจะไม่ลำบากเรื่องที่อยู่เท่าไร เพราะเขาก็จ่ายค่าเช่าไปแล้วถึงสองเดือน

ไม่ใช่ว่าหาที่พักที่ถูกกว่านี้ไม่ได้ แต่แค่ชาติก่อนเจียงไป๋มีชีวิตที่ไม่เลวเลย มีรถ มีบ้าน มีเงินเก็บ และที่พักก่อนหน้านี้เขารับไม่ได้จริงๆ

“ชีวิตช่างน่าปวดหัว ไม่รู้ว่าไอ้หนูคนนี้มีชีวิตอยู่มาได้อย่างไร อายุตั้งยี่สิบสามแล้ว แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จอะไรสักอย่าง ตั้งแต่เรียนจบชั้น ม.ปลาย มาจนถึงตอนนี้ก็สี่ห้าปีแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะมีแค่พอกินพอใช้ งานการก็ยังไม่มั่นคง แถมยังเป็นโสดอยู่ตัวคนเดียว คิดดูแล้วช่างน่าช้ำใจจริงๆ !”

เจียงไป๋จัดเก็บของให้เข้าที่ได้สักพักก็ค่ำแล้ว เขาถือบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมาหนึ่งชาม กินเข้าไปและก็อดไม่ได้ที่จะตำหนิชีวิตในตอนนี้ไปด้วย

ชีวิตที่แม้แต่จะกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปก็ไม่กล้าเพิ่มไส้กรอกนี่มันแย่จริงๆ

“งาน รปภ.ก็คงทำไม่ได้ชั่วคราว แล้วฉันจะทำงานอะไรดีนะ?” เจียงไป๋อดที่จะพูดไม่ได้

เงินก็มีไม่มากแล้ว ทั้งยังสร้างเรื่องไว้อีก งานก็ไม่มีทำ ทางด้านต้าชื่อเจี้ยก็ไปไม่ได้ชั่วคราว เพราะไม่ว่าจะช้าหรือเร็วพวกหลิวปินก็จะต้องไปหาถึงที่แน่นอน

คิดไปคิดมาถึงแม้จะไม่มีเรื่องนี้ เขายังจะอยากเป็น รปภ.ทำงานอยู่ในสถานที่บ้าๆ นั่นไปตลอดหรือ?

นี่ไม่ใช่ว่าดูถูกตนเองเกินไปหน่อยหรอกหรือ

“อ้อ? มีแล้ว … ”

ทันใดนั้นเจียงไป๋ก็คิดออก และรีบเปิดคอมพิวเตอร์ค้นหาอย่างรวดเร็ว สักพักก็ตบโต๊ะแล้วยืนขึ้นพลางหัวเราะเสียงดัง

เจียงไป๋พบว่าโลกที่ตนเข้ามาอยู่นี้ไม่เหมือนกับดาวโลกจริงๆ ถึงแม้ส่วนใหญ่จะคล้ายกัน แต่รายละเอียดบางอย่างก็ยังคงแตกต่างกันอยู่ดี

เช่น ในด้านวรรณกรรมที่มีเพียงน้อยนิด ผลงานวรรณกรรมที่ได้รับความนิยมบนดาวโลกมีมากมาย แต่ในดาวดวงนี้กลับไม่เคยปรากฏอยู่

ซึ่งนี่ก็ทำให้เจียงไป๋ตาลุกวาวเหมือนได้ค้นพบขุมทรัพย์ทองคำมหาศาล เขามั่นใจว่าหากหยิบผลงานวรรณกรรมที่มีชื่อเสียงบนโลกมาเขียนใหม่ที่ดาวดวงนี้ จะต้องโด่งดังอย่างแน่นอน ถึงเวลานั้นก็จะหาเงินได้มากมาย เมื่อนึกถึงตรงนี้แล้วเจียงไป๋ก็อดกลั้นยิ้มไว้ไม่ได้ ถึงแม้อุดมการณ์ของเขาจะมีมากมาย แต่ในความเป็นจริงนั้นมันกลับเหือดแห้งมาก!

ตอนที่เจียงไป๋ตัดสินใจขโมยวรรณกรรม และกำลังคัดลอกอย่างดุเดือด เหมือนกับยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว เพราะจะได้ทั้งชื่อเสียงและกำไรมหาศาล แต่ในเวลาต่อมาเขาก็พบว่าชาติก่อนนั้นตนเองไม่มีวิชาความรู้อะไรเลยจริงๆ

มีเพียงความสามารถที่แค่ผ่านตาก็ลืมไม่ลง เจียงไป๋จึงจดจำความทรงจำในชาติก่อนได้อย่างชัดเจน และเขาพบว่าชาติก่อนเขามัวแต่หาเงินจนลืมการอ่านหนังสือไปเลย

สี่ยอดวรรณกรรม?

พอเถอะ โลกใบนี้ก็มี!

โดยเฉพาะ … เจียงไป๋ไม่เคยอ่านเลย

แฮร์รี่ พอตเตอร์? นั่นมันเรื่องอะไร? หนังสือเด็กชัดๆ ใครจะอ่านล่ะ! มังกรหยก แปดเทพอสูรมังกรฟ้า? ผลงานของอาจารย์จิน หรืออาจารย์กู่?

พอเถอะ นอกจากละครแล้ว ของอย่างนั้นเขาไม่เคยอ่านเลย ชาติก่อนก็มีพื้นฐานความรู้แค่ระดับ ม.ต้น หากดูหนังดูละครก็ยังพอทำได้ แต่จะให้อ่านหนังสือ? โดยเฉพาะหนังสืออย่างนี้ แบบนั้นก็พอเถอะ

และถึงจะเป็นนิยายออนไลน์ที่โด่งดังมากเหล่านั้นก็ตาม เจียงไป๋ก็ค้นพบอย่างเศร้าใจว่า วรรณกรรมที่ตนเคยอ่านมานั้นก็มีไม่น้อย แต่เรื่องที่อ่านจนจบกลับมีแค่ไม่กี่เรื่อง โดยเฉพาะเรื่องที่ดังๆ … เหมือนกับว่าจะไม่มีเลย

“นี่มันโศกนาฏกรรมของฉันชัดๆ !”

เจียงไป๋ตบหัวตนเองอย่างทนไม่ไหว เขาเสียใจกับการตัดสินใจในตอนแรก “พอแล้ว งานขโมยวรรณกรรมแบบนี้ พูดจริงๆ แล้วฉันก็ไม่ได้อยากทำนักหรอก คงต้องลองคิดหาทางอื่นดูสักหน่อย แต่เดี๋ยวนะ? ไม่ใช่ว่าฉันยังจำได้อยู่สองสามเรื่องหรือ หากจะใช้หาเงินก็ไม่น่าจะใช่เรื่องยากอะไร!”

เจียงไป๋จัดลำดับความคิดของตนสักพัก เขาตัดสินใจล้มเลิกงานที่ดูเหมือนจะมีอนาคตมากที่สุดในตอนนี้ และลองคิดหาทางอื่น แต่ในช่วงวินาทีสุดท้ายเขากลับคิดออกอย่างรวดเร็วว่า ยังมีหนังสืออีกเล่มหนึ่งที่เขาอ่านจนจบแล้วจริงๆ … นั่นก็คือ กระบี่เทพสังหาร!