(1)
"เธอตายแล้วนะ" ผมบอกคนปลายสาย เขาตอบกลับมาแค่ โอ้ ไม่แน่ใจว่าเขาตกใจเรื่องเธอหรือตกใจที่ผมโทรหามากกว่ากัน "ฉันจะไปฝังเธอ ฉันคิดว่าเธอน่าจะอยากให้นายไปด้วย" ผมบอกวันนัดหมาย และเขาตอบตกลงง่ายดายเหลือเชื่อ
ผมเคยคิดว่าความตายมักจะมาเยือนในเวลาที่เรารู้สึกอ่อนแอ เหงา เศร้า อากาศอึมครึมในฤดูฝนหรือฤดูหนาวอย่างที่เห็นในหนังหลายเรื่อง แต่ความตายของเธอมาเยือนในฤดูร้อนที่สดใสที่สุดในรอบหลายปี นอนกอดของเล่นชิ้นโปรดแล้วนิ่งไปเฉยๆ สงบและสันติจนผมแปลกใจ
น่าแปลกที่ผมไม่ได้รู้สึกเศร้าหรือตกใจกับการจากไปของเธอขนาดนั้น แค่ โอ้ เหมือนกับเขานั่นล่ะ ระยะเวลา 11 ปีนั้นยาวนานเหลือเกินแล้วสำหรับแมวตัวหนึ่ง จะว่าอย่างไรดี เหมือนผมได้ทำใจเรื่องเธอไว้แล้วโดยที่ผมไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ
ผมก้มลงเก็บของเล่นของเธอที่กระจัดกระจายบนพื้นทีละชิ้นๆ แล้วไปรวมไว้ในตะกร้าที่ร่างเธอนอนนิ่งอยู่ตอนนี้ ผมดีใจที่ของพวกนี้ย่อยสลายได้ อย่างน้อยผมจะฝังพวกมันไปพร้อมกับเธอ เธอจะได้ไม่เหงาเกินไปนักตอนอยู่ตัวเดียว ผมเคยคิดว่าจะพาเธอไปฝังในที่ไกลๆสักที่หนึ่ง ตอนแรกผมคิดไม่ออกหรอกแต่สุดท้ายผมแค่อยากฝังเธอในที่แรกที่ผมกับเธอได้เจอกัน หรือจริงๆคือ เขาพาเธอมาเจอผม
เขาไปเก็บลูกแมวข้างทางมาระหว่างทริปวันหยุดยาวของผมและเขา แล้วพาเธอมาเซอร์ไพรซ์ผมตอนทานอาหารค่ำ ใช่ เซอร์ไพรซ์สิ เพราะอพาร์ทเมนต์ของผมตอนนั้นไม่อนุญาตให้เลี้ยงสัตว์ด้วยซ้ำ กำลังจะอ้าปากปฏิเสธ แต่เชื่อเถอะ ถ้าคุณได้เห็นตาแป๋วๆ สองคู่มองมาที่คุณพร้อมกันเหมือนผมล่ะก็คุณไม่มีทางปฏิเสธได้แน่
หลังจากทริปนั้นผมเลยต้องหาที่อยู่ใหม่ และสรุปว่านอกจากแมวหนึ่งตัวแล้ว ผมยังได้คนอีกหนึ่งคนมาอยู่ด้วยอย่างเกือบถาวร โดยที่เขาบอกว่านั่นเป็นการรับผิดชอบของเขาที่ทำให้ผมต้องหาห้องใหม่เพื่อเลี้ยงเธอ ทำผมสงสัยกับคำว่ารับผิดชอบของเขาอยู่พักใหญ่เลยทีเดียว
เขามักบอกว่าเธอชอบผมมากกว่าเขาเสมอ ทั้งที่ก็เห็นอยู่ว่าจริงๆแล้วเธอชอบเขามากกว่า แม้ในวันที่เขาบอกลาเธอ เธอก็ยังชอบเขามากกว่าผมอยู่นั่นเอง ช่วงแรกเธอเอาแต่ร้องหาเขาจนผมหงุดหงิด แต่พอเธอระลึกได้ว่าเขาคงไม่มาหาเธอแล้ว เธอจึงกลับมาใช้ชีวิตสงบสุขของเธอเหมือนเคย ทำใจได้เร็วจนผมอิจฉา
วันนี้เป็นอีกวันที่อากาศสดใส ผมจัดอุปกรณ์ที่จำเป็นใส่หลังรถและเธอในตะกร้าใบเดิมอยู่บนเบาะด้านหลัง ยกนาฬิกาขึ้นดู เลยเวลานัดมาครึ่งชั่วโมงแล้ว เขาคงยุ่ง ติดภารกิจ หรืออาจนึกขึ้นมาได้ว่าการไปทำกิจกรรมแบบนี้กับแฟนเก่ามันช่างไร้สาระสิ้นดี อืม.. ผมเข้านั่งเบาะคนขับและสตาร์ทรถ กำลังจะเหยียบคันเร่งแต่เขาก็ปรากฎตัวขึ้นมาเสียก่อน
สภาพเขาดูไม่จืด เหงื่อโทรม เหนื่อย หอบ เส้นผมที่ถูกเซ็ตไว้ยุ่งกระเซิงไปหมด สูทที่ถอดพาดแขนยับยู่ ผมมองภาพตรงหน้า แล้วปลดล็อกประตูให้เขาขึ้นมานั่งข้างๆ
"โทษที" เขาเอ่ยทั้งที่ยังหอบอยู่ มือคลำหาสายเข็มขัดนิรภัยแล้วล็อกมันเข้ากับตัวยึด
"สายเหมือนเดิม" ผมวาดพวงมาลัยพารถออกถนนใหญ่ แสงที่สาดเข้ามาทำผมต้องหยีตา
"เพิ่งประชุมเสร็จ" เขาพูดแล้วปลดเน็คไทออก ทำตัวผ่อนคลายมากขึ้น ผมพยักหน้ารับไม่ได้พูดอะไร เขาจัดแจงเปิดวิทยุเหมือนที่เคยทำเป็นปกติ เสียงเพลงดังคลอเบาๆ
"คล่องดีนี่" ผมพูดถึงการที่เขาปรับสิ่งต่างๆ ในรถผมได้อย่างคล่องแคล่วเหมือนเดิมราวกับเขาทำมันอยู่ทุกวัน ทั้งที่ครั้งสุดท้ายที่เขานั่งรถผมมันผ่านมาตั้ง 5 ปีแล้ว
"รีเฟล็กซ์" เขายักไหล่แล้วเอนตัวลงกับเบาะ ผมหยิบแว่นกันแดดขึ้นใส่ รู้สึกว่าแสงแดดหน้าร้อนจะมีอานุภาพรุนแรงเกินไปเสียหน่อย
นอกจากเพลงโปรดของเขาจะดับความเงียบในรถได้เป็นอย่างดีแล้ว เพลงพวกนี้ก็ดูจะทำหน้าที่อีกอย่างหนึ่งได้ดีพอกัน เขาเริ่มฮัมเพลงเบาๆ ขาเคาะตามจังหวะ พอผ่านไปสัก 2-3 เพลงเขาก็เริ่มเต้นเล็กๆ อย่างที่ชอบทำ ราวกับเวลาที่ผ่านไปหลายปีไม่ได้ส่งผลอะไรกับเขาเลย เขาทำตัวสบายใจเหมือนเดิม ไม่ได้แสดงออกถึงความเกร็งหรืออึดอัดเลยแม้แต่น้อย
ทุกอย่างดูเหมือนเดิมมากจนผมหวั่นใจ
(2)
"ข้างหน้ามีกาแฟร้านนั้นนี่ ที่อร่อยๆ น่ะ" จู่ๆ เขาก็พูดขึ้นมา น้ำเสียงกระตือรือร้นมาก
"ไม่จอดหรอกนะ" ผมบอกเขาโดยที่สายตายังจดจ่อกับถนนเบื้องหน้า
"จอดเถอะ ฉันเลี้ยงเอง" ผมเหลือบมองเขา ถอนหายใจ แล้วเปิดไฟเลี้ยว ทันทีที่รถจอดเขาวิ่งลงไปหาร้านกาแฟเหมือนเด็กเจอร้านขนมหวาน ยังติดคาเฟอีนหนักเหมือนเดิม
ไม่นานนักเขาก็กลับมาพร้อมกับกาแฟสองแก้ว หนึ่งคือเมนูประจำของเขา หนึ่งคือเมนูประจำของผม ผมมองแก้วในมืออย่างครุ่นคิด ทำไมถึงจำอะไรอย่างนี้ได้นะ มันเป็นเรื่องปกติที่แม้เขาจะดูไม่ค่อยใส่ใจอะไร แต่กลับเป็นคนที่จำรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตผมได้เกือบหมด ในทางตรงข้ามผมจำอะไรพวกนี้แทบไม่ได้ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ฉัน เขาเคยบอกผมอย่างนั้น
เวลาระหว่างเดินทางถูกใช้ไปกับการขับรถที่ไร้บทสนทนา มันน่าอึดอัดแต่เราไม่ได้มีเรื่องที่จะคุยกันได้ขนาดนั้น เขาอาจจะมี แต่ผมเลือกที่จะไม่ หลายคนอาจเป็นประเภทที่เลิกรากันแล้วยังคบหากันเป็นเพื่อนได้ สำหรับผมมันค่อนข้างลำบากพอตัว ถามว่าผมกับเขาเราจบกันไม่สวยหรือ? ผมเองก็จำแทบไม่ได้แล้ว เลิกกันเพราะอะไร นึกแทบไม่ออกเลย รู้สึกตัวอีกทีทุกอย่างมันก็กลายเป็นอย่างที่มันเป็น
เขาถามว่าผมอยากจะสลับกันขับไหม ผมตอบตกลง เมื่อคืนผมค่อนข้างเพลียจากอะไรหลายๆ อย่าง สารภาพคือผมนอนไม่หลับเพราะเอาแต่คิดถึงเรื่องที่จะเกิดขึ้นในวันนี้ ผมคิดถูกรึเปล่านะที่จะไปฝังเธอที่นั่น คิดถูกรึเปล่านะที่ชวนเขามาด้วย บางทีผมอาจไม่ควรทำอย่างหลัง
ผมจำไม่ได้ว่าเขาขับรถนิ่มขนาดนี้ ความทรงจำสุดท้ายของผมเกี่ยวกับการขับรถของเขามันจบด้วยการที่เขาต้องจอดข้างทางให้ผมอาเจียนจนหมดสภาพ ก่อนที่ผมจะยืนกรานหัวชนฝาว่าจะไม่นั่งรถที่เขาขับอีกต่อไป แต่อะไรทำให้ผมยอมเขาในครั้งนี้นะ ไม่รู้เหมือนกัน แต่เขาขับรถได้นิ่มมากจริงๆ
(3)
เขาอาสาเป็นคนขุดหลุม เสื้อเชิ้ตเนื้อดีถูกพับแขนเพื่อความทะมัดทะแมง มัดกล้ามเนื้อของเขาขยับตามการออกแรง ส่วนผมเกล็ดบุหรี่ขึ้นสูบระหว่างรออย่างใจเย็น
"กลับมาสูบแล้วเหรอ" ผมชะงักนิ้วที่คีบบุหรี่ที่จวนจรดปาก
"อืม" ผมตอบแค่นั้น สูดควันเข้าปอดแล้วพ่นมันออกช้าๆ เขาเป็นคนขอให้ผมเลิกสูบตั้งแต่เริ่มคบกัน มันเป็นความหวังดี แต่สุดท้ายผมก็กลับมาหามันอีกอย่างช่วยไม่ได้
หลังจากเขาขุดหลุมได้ลึกพอตัวเขาก็วางจอบทิ้งไว้อย่างนั้น แล้วเดินตรงมาหาผม
"ขอมวนนึง" แล้วยื่นหน้าเข้ามาหา อะไร? ผมคงแสดงออกทางสีหน้าจนเขาต้องให้เหตุผล "มือเลอะ" เขาแบมือให้ดู แผลพุพองเริ่มปรากฎให้เห็น มีเศษดินติดเต็มมือไปหมด ผมถอนหายใจ ไอควันน้อยๆผ่านโพรงจมูก แล้วเกล็ดบุหรี่อีกมวนใส่ปากเขาแล้วจุดให้เสร็จสรรพ เขายิ้มขอบคุณ
ท้องฟ้าเริ่มกลายเป็นสีน้ำเงินเพราะดวงอาทิตย์ที่ค่อยๆลับขอบฟ้าไป ความเงียบและไอควันโรยตัวระหว่างเรา บางทีผมควรรีบจบสถานการณ์นี้ ผมพาเธอลงไปนอนในหลุมและจัดวางของเล่นของเธอลงไป ใจอยากจะจัดให้เธอกอดตุ๊กตาตัวโปรดเหมือนเคย แต่สายไปแล้ว เธอตัวแข็งเกินไป ความรู้สึกของการสูญเสียขึ้นมาจุกคอ มือสั่น น้ำตาที่ไม่คิดว่าจะไหลก็ดันพรั่งพรูออกมา เรื่องน่าเศร้าคือผมไม่รู้ว่าตัวเองกำลังร้องไห้ให้กับอะไร ความตายของเธอ ความผูกพันธ์ของผมกับเธอ หรือผมกำลังร้องไห้ให้กับการที่สิ่งสุดท้ายที่เชื่อมระหว่างผมกับเขากำลังจะจากไปตลอดกาล
เขาปล่อยให้ผมนั่งร้องไห้อยู่อย่างนั้นสักพักแล้วเข้ามาดึงตัวผมเข้าไปกอด เขาไม่ควรทำแบบนี้เลย ผมร้องไห้ราวกับทำนบแตก ยึดเขาเป็นที่พึ่งเดียว น่าสมเพชสิ้นดี เขาปล่อยให้ผมร้องไห้จนพอใจแล้วผละตัวไปกลบดินใส่หลุม เหลือเพียงกลิ่นน้ำหอมคุ้นเคยที่ยังติดปลายจมูกของผมอยู่เท่านั้นเอง
เขาขอให้ผมไปส่งเขาที่บ้าน มันเป็นสิ่งที่ผมตั้งใจทำอยู่แล้ว ผมไม่ใจร้ายขนาดปล่อยให้เขาหาทางกลับบ้านเองทั้งที่รถไฟหยุดวิ่งไปแล้วหรอก
แม้รถจะจอดสนิทหน้าบ้านเรียบร้อย เขายังคงนั่งนิ่งเหมือนเดิม ผมเคาะพวงมาลัยช้าๆอย่างประหม่า เขาควรลงไปได้แล้ว ยังมีอะไรอีกหรือไง
"ฉันดีใจนะที่นายโทรมา"
"..."
"ดีใจมากๆ" ผมรู้ว่าเขากำลังจะทำอะไร ผมหันไปมองเขาตรงๆ ดวงตาของเขาฉายความรู้สึกบางอย่างที่ผมเคยคุ้นกับมันดี
"นายจะทำอย่างนี้ไม่ได้" สิ่งที่ผมเห็นที่หางตาทำผมต้องบอกเขา แต่เขาไม่ได้สนใจฟังผมเลยสักนิด เขาทำอย่างที่เขาอยากทำ เลื่อนใบหน้าเข้ามาหาตักตวงลมหายใจของผม เนิ่นนานจนเป็นผมเองที่ต้องผลักเขาออกไป
"ถ้าไม่เห็นแก่ฉัน ก็เห็นแก่คนในบ้านของนายบ้างเถอะ!" ผมตะโกนใส่เขา เขาเบิกตาโตเหมือนเพิ่งระลึกความจริงได้ ให้ตายเถอะ ผมผลักไหล่ ไล่เขาลงไปจากรถ เขาลืมได้แม้กระทั่งลูกเมียตัวเองงั้นเหรอ
"นายมันเห็นแก่ตัว!" ผมตะโกนไล่หลังเขา แล้วเหยียบคันเร่งสุดแรงพาตัวเองออกจากบริเวณนั้น
ผมรู้ว่ามันจะต้องเกิดเรื่องบ้าๆ อย่างนี้ขึ้น รู้ตั้งแต่แรกที่คิดจะต่อสายหาเขา รู้ว่าเขาจะต้องมาสายแต่ก็ยังประวิงเวลารอ รู้การกระทำทุกอย่างของเขา รู้ว่าเขาจะเข้ามากอดผม และผมรู้ว่าเขาจะจูบผม แล้วที่น่ารังเกียจที่สุดก็คือผมที่รู้ทุกอย่าง คาดการณ์ทุกอย่างไว้แล้ว แต่ก็ยังยอมให้มันเกิด
แต่สิ่งที่ผมไม่รู้คือ 5 ปีที่ห่างกันทุกอย่างมันเปลี่ยนไปแล้ว ถ้าผมไม่บังเอิญเห็นคนในบ้านเขาเข้า ทุกอย่างมันอาจเลยเถิดไปมากกว่านี้ เลวร้ายลงไปกว่านี้ แล้วประโยคสุดท้ายที่ผมตะโกนใส่เขา ประโยคนั้นต้องเป็นผมเองที่สมควรได้รับมัน
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in