ด้านใต้มีคำคมเล็กน้อย
*จริง ๆ ยี่ห้อนี้แถมพู่กันขน Red Sable เบอร์ 6 มาด้วยค่ะ
แต่ยังไม่มีความรู้เพียงพอจะเขียน จึงขอไม่พูดถึงนะคะ*
แหล่งหาซื้อพู่กัน Red Sable >
CWArt
ไหนมาดูตัวกล่องสีบ้าง...
จะสังเกตได้ว่าเนื้อสีจะเงาสะท้อนแสง
และอัดก้อนมาแข็ง ไม่เหลวเกาะขอบแพน
เนื้อสีดูเงามาก คล้าย ๆ กับเนื้อพลาสติกเลย
และจะมีโค้ดสีพิมพ์ติดแพนไว้
กล่องเหล็กด้านนอกเคลือบด้วยสีดำด้าน
ด้านในเป็นเคลือบสีขาวสีนวลเพื่อให้มองสีที่ผสมได้ง่าย
จุดหมุนของกล่องมีความแข็งแรงทนทาน
หลุมผสมสีของด้านที่มียี่ห้อมี 5 หลุมใหญ่
และหลุมของอีกด้านมี 12 หลุ่มเล็ก
ชาร์ตสีจากเว็ปของ Royal Talens นะคะ
สามารถไปดูภาพขนาดใหญ่ได้ที่ >
คลิก
จากในชาร์ตด้านบนนี้จะเป็นชาร์ตของทุกสีที่มีขายนะคะ
ส่วนโค้ดสีของแบบกล่องเหล็ก 24 สี มีดังนี้
207 Cadmium Yellow Lemon
208 Cadmium Yellow Light
210 Cadmium Yellow Deep
211 Cadmium Orange
227 Yellow Ochre
238 Gamboge
303 Cadmium Red Light
306 Cadmium Red Deep
336 Permanent Madder Lake
366 Quinacridone Rose
408 Raw Umber
409 Burnt Umber
411 Burnt Sienna
416 Sepia
506 Ultramarine Deep
508 Prussian Blue
511 Cobalt Blue
534 Cerulean Blue
616 Viridian
645 Hooker Green Deep
662 Permanent Green
708 Payne’s Gray
532 Mauve
623 Sap Green
ชาร์ตสีในกล่อง 24 สีค่ะ
ภาพบนเป็นชาร์ตสีแบบสแกน ส่วนภาพล่างเป็นแบบถ่ายด้วยกล้องมือถือ
อันนี้วิธีอ่านข้อมูลในชาร์ตสีของยี่ห้อนี้ค่ะ
Payne's Grey = ชื่อสี
+++ = ความทนแสง ซึ่งมีเครื่องหมาย + 3 ตัวหมายความว่าสามารถเก็บรักษาภายใต้สภาพแวดล้อมในพิพิธภัณฑ์ได้มากกว่า 100 ปี
708 = หมายเลขของสี
เครื่องหมายสี่เหลี่ยมมีเส้นทแยงตรงกลาง = เป็นคุณสมบัติแบบกึ่งใส ซึ่งสีที่มีคุณสมบัตินี้มีเพียง 26 สี ที่เหลือทั้งหมดจะเป็นคุณสมบัติแบบค่อนข้างใส
1 = เลขบอก Series ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นตัวกำหนดราคาด้วย ยิ่ง Series สูงยิ่งมีราคาแพงขึ้น
PBk6/PB15 = เป็นหมายเลข Pigment ที่ถูกผสมในการผลิตสีนี้ โดย PBk หมายถึง Pigment Black และ PB หมายถึง Pigment Blue เลขที่ตามหลังตัวอักษรเหล่านี้จะเป็นหมายเลขสี หากอยากทราบว่าสีของแต่ละยี่ห้อมีความคล้ายคลึงกันหรือไม่ ให้ดูที่หมายเลข Pigment
เครื่องหมายข้าวหลามตัด = จะมีต่อหลังบางสี ซึ่งหมายถึงเป็นสีที่มีคุณสมบัติติดแน่นกับกระดาษ (Adhesion)
G = หมายถึงสีที่มีคุณสมบัติการตกตะกอน
เกี่ยวกับการใช้งาน
ความเห็นส่วนตัวเกี่ยวกับสียี่ห้อนี้คือ
ยี่ห้อนี้เป็นยี่ห้อที่ดาสรู้สึกชอบ และถนัดมือมากที่สุดในทุกยี่ห้อที่เคยลองมา
เรื่องของ Pigment เข้มข้นสมเป็นเกรดอาร์ตติส ในขณะเดียวกันก็ยังคงความใสไว้
ในกล่อง 24 สีนี้ให้สีโทนเหลือง Cadmium มาเยอะมากซึ่งมีคุณสมบัติกึ่งใส (ถ้าเป็นยี่ห้ออื่นจะทึบไปเลย)
ทำให้คนที่ชอบความใสมาก ๆ ของสีน้ำอาจจะไม่ค่อยชอบสักเท่าไร
(อย่างถ้าเป็นดาส เวลาจะใช้สีเหลือง จะเลี่ยงไปใช้ Gamboge หรือ Ochre แทนเสียมากกว่า)
เนื้อสีค่อนข้างเหนียวหนึบ ติดกับกระดาษได้ดี แม้จะเป็นเทคนิคเปียกบนเปียก สีก็จะไม่ค่อยไหลแพร่กระจายไปตามน้ำ จะค่อนข้างอยู่กับที่ (มีไหลบ้างเล็กน้อย)
เหมาะสำหรับผู้ที่อยากฝึกเทคนิคเปียกบนเปียก เพราะจะสามารถคุมสีบนน้ำได้ง่าย
เมื่อบีบสีจากหลอดลงในแพน สีจะเกาะตัวติดขอบแพนเมื่อแห้งเนื่องจากมีความหนึบ
ซึ่งต่างจากยี่ห้ออื่นที่หากไม่เหลวตามรูปทรงแพนไปเลยก็จะแข็งตามรูปทรงตอนบีบสี
มีครั้งหนึ่งในหน้าฝน ที่หอของดาสจะชื้นมาก เจ้ากล่องนี้ก็ไม่เคยแห้งเลย
สีไหลมารวมกับแพนข้าง ๆ บ้างก็มี แต่ถ้าแดดกทม. ไม่ต้องห่วง ไม่น่าจะเจอปัญหานี้
เพิ่่มเติมคือ
- ชอบการตกตะกอนของสี Cerulean Blue มาก ๆ
- สี Sepia จะออกเหลืองกว่ายี่ห้ออื่นนิดหน่อยหากผสมน้ำเยอะ
- สี Payne's Grey ดูมีความใกล้เคียงกับสีดำมากกว่ายี่ห้ออื่นที่เคยใช้มา
ตัวอย่างผลงานที่ระบาย
เนื่องจากเป็นคนเขียนสีน้ำโทน Real สีที่ใช้จึงจะไปทางโทนหม่น ๆ ใช้สีเดิม ๆ และใช้ไม่ครบทุกสีในกล่องนะคะ ต้องขออภัยท่านผู้อ่านไว้ตรงนี้เลย
เห็นตะกอนของ Cerulean Blue ตรงเงานิดนึงนั่นไหม น่ารักล่ะสิ ♥
ตัวหัวหอมเลยใช้ Burnt Sienna ผสมน้ำเยอะ
ส่วนตัวเส้นก็ใช้สีเดียวกันที่ผสมน้ำน้อยกว่า ตรงหัวและท้ายใช้สี Sepia
เงาใช้สี Burnt Umber, Mauve และ Cerulean Blue
(กระดาษ Canson Pochades ทำให้สีจางลงกว่าความจริงเล็กน้อย)
จำไม่ได้ว่าตัวกระดาษห่อใช้สีอะไร แต่เดาว่าเป็น Gamboge ผสมน้ำจาง ๆ
ตัวหนังสือและโลโก้ด้านในใช้สี Payne's Grey
(กระดาษ Canson Pochades ทำให้สีจางลงกว่าความจริงเล็กน้อย)
สีผิวใช้ Yellow Ochre และ Permanent madder lake ทำสีเบส
เงาหน้า ผม ดวงตา ใช้สี Burnt Umber และ Sepia
ปากใช้สี Permanent madder lake ผสมกับ Burnt Umber
สีเสื้อ Cerulean Blue และ Payne's Grey
จากที่บอกไปข้างบนว่าสีค่อนข้างหนึบ
ส่วนของผมใช้เทคนิคเปียกบนเปียกเกือบทั้งหมด
แต่สีจะค่อนข้างติดอยู่กับที่ มีเล็กน้อยเท่านั้นที่ไหลกระจายไปจุดอื่น
(กระดาษ Fabriano Artistico ผิวหน้ากึ่งหยาบ)
ตัวอาคารใช้ Burnt Sienna และ Burnt Umber เป็นหลัก
หลังคาใช้ Sepia เงาใช้ Payne's Grey
ต้นไม้ใช้ Sap Green แต้มแบบเปียกบนเปียกด้วย Sepia เล็กน้อย
(กระดาษ Saunder Waterford ผิวหน้าหยาบ)
งานนี้โทนสีจะคล้าย ๆ กับภาพข้างบน เพียงแต่จะผสมน้ำน้อยกว่า
และมีสีสันของหนังสือเข้ามาเพิ่มเติม
สีประตูสีเขียวใช้ Sap Green ผสมกับ Payne's Grey เพื่อทำให้สีเข้มขึ้น
(กระดาษ Canson Montval ผิวหน้ากึ่งหยาบ)
ในภาพใช้ Sap Green เฉย ๆ กับ Sap Green แบบผสม Payne's Grey เข้ามาแต้มเป็นเงาเข้ม
(กระดาษ Bockingford ผิวหน้ากึ่งหยาบ)
ตัวดอกไม้ใช้สี Permanent madder lake สีเดียว เล่นความจาง-เข้มเป็นแสงเงา
ตรงเกสรใช้สี Sepia เข้ามาผสมเล็กน้อยเพื่อเพิ่มความเข้ม
ใบไม้ใช้สี Sap Green เป็นพื้น และใช้สี Hooker Green Deep เพื่อเพิ่มความเข้ม
พื้นหลังใช้ Cerulean Blue ผสมน้ำมาก ๆ
(กระดาษ Saunder Waterford ผิวหน้าหยาบ)
บริเวณสีเขียวมีการผสมกันระหว่าง Cadmium Yellow Lemon, Sap Green และ Hooker Green Deep
สีแดงใช้สี Permanent Madder Lake และกระถางใช้สี Sepia ผสมน้ำ
(กระดาษ Arches ผิวหน้าหยาบ)
เอาล่ะค่ะ จบไปแล้วกับการเขียนรีวิวสีน้ำ Rembrandt ของดาสเอง
ขอขอบคุณทุกท่านที่กดเข้ามาอ่านนะคะ
ต้องขอโทษที่หายไปนานจริง ๆ ค่ะ
เนื่องจากข้อมูลบางส่วนหายจึงใช้เวลาในการรวบรวมกลับมา
(และชาร์ตสีก็ยังหายไป...)
ผิดพลาดประการใดก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี้นะคะ
หากมีข้อเสนอแนะ แก้ไขข้อผิดพลาด อยากให้กำลังใจคนเขียน
หรือจะบอกอะไรกับผู้เขียนก็สามารถคอมเม้นต์ทิ้งไว้ใต้บทความนี้ได้ค่ะ
หรือจะเข้ามาติดตามเพจแทนก็ได้นะคะ :D
ป.ล. ตอนนี้รับทำสมุดสีน้ำเย็บมืออยู่เน้อ ท่านใดสนใจสามารถอ่านรายละเอียดได้ใน >
คลิก
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in