หลังจากอ่านจบแล้ว รู้สึกว่าเหมือนได้ทานอาหารมือเช้าที่มีครบห้าหมู่ และทานเค้กทิรามิสุต่อด้วย หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จ ก็เหลือแต่ความว่างเปล่าและแสงยามเช้าทิ้งไว้
Blue Hour ฉันชอบชื่อเรื่องนี้มากๆ แต่ใครจะไปรู้ล่ะว่าชื่อเรื่องนี้มีการ forshadow (มีเหตุบอกลางณ์กับตอนจบของเรื่องนี้) เวลาเราเห็นสิ่งสวยงาม เรามักจะมองข้ามมันไป เพราะสิ่งสวยงามนั้นมันมีให้เราได้เห็นตลอด แต่กว่าจะรู้ตัวว่าสิ่งสวยงามนั้นสำคัญกับตัวเองมากแค่ไหน มันก็สายเกินไปเสียแล้ว ไม่ต่างอะไรจากช่วง Blue Hour สวยงามแต่เพียงชั่วครู่ ถ้าหากไม่ใส่ใจมัน จะหันกลับมามองช่วงเวลานั้นมันก็ไม่ทันแล้ว
ถึงแม้ว่าเรื่องนี้จะถูกบอกเล่าโดยตัวละครผู้ชาย (ซึ่งถูกเฉลยทีหลังว่าเขาอาจจะเป็น bisexual หรืออาจจะเป็น non-binary)ก็ได้ แต่ก็มีกลิ่นอายความเป็นสิทธิสตรีเด่นมากจากเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นบทสทนา ตัวละคร ศิลปะ ภาพวาด มันก็สื่อถึงสิทธิสตรีได้ดีทีเดียว
เราอยู่บนโลกที่ต้องเร่งรีบอยู่ตลอดเวลา โลกแห่งทุนนิยม จนมันทำให้เรายุ่งเหยิงเกินกว่าที่จะพูดทักทายกันและกัน พอกว่าจะรู้ตัวว่าตัวเองควรจะให้ค่าหรือจะทักทายใครมันก็สายไปแล้ว ไม่ต่างอะไรจากช่วงเวลาของ Blue Hour
ฉันรู้สึกว่าถ้าพวกเรารู้หัวใจตัวเองตอนไหน พวกเราก็ควรจะรีบทำตามหัวใจ หรือซื่อตรงกับหัวใจกับตัวเองไปเลย ไม่ว่าจะเป็นความฝัน หรือคนรัก
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in