ก่อนจะไปพูดถึงรายละเอียดเพลงต่างๆที่เราประทับใจในคอนเสิร์ตนี้ เราก็ขอพาทุกคนไปทำความรู้จักกับ Taylor Swift กันคร่าวๆก่อนสักนิด Taylor Alison Swift (เทย์เลอร์ แอลิสัน สวิฟต์) หรือที่รู้จักกันเป็นอย่างดีในชื่อ Taylor Swift เธอเป็นนักร้องและนักแต่งเพลงชาวอเมริกันชื่อดัง ขณะที่เธอมีอายุ 14 ปี เธอได้เริ่มทำงานเกี่ยวกับเพลงแนวคันทรีที่เธอหลงรักโดยได้เซ็นสัญญากับค่ายเพลง Big Machine Records และเป็นนักแต่งเพลงที่อายุน้อยที่สุดที่ได้เซ็นสัญญากับบริษัท Sony/ATV Music Publishing
สำหรับอัลบั้มแรกของ Taylor Swift นั้นมีชื่อเดียวกันกับชื่อของเธอ โดยวางจำหน่ายในปี 2006 ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากแฟนเพลงอย่างมาก ส่งผลให้อัลบั้มเปิดตัวในอันดับที่ 5 ของ Billboard 200 chart และอยู่ในชาร์ตได้นานที่สุดในทศวรรษ 2000 และซิงเกิ้ลที่ 3 "Our Song" ทำให้เธอกลายเป็นคนที่มีอายุน้อยที่สุดที่แต่งเพลงด้วยตัวเองและสามารถขึ้นอันดับ 1 บน Billboard Hot Country Songs chart
หลังจากนั้นเส้นทางสายดนตรีของเธอก็ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง โดยเธอได้ปล่อยอัลบั้มออกมามายมายหลายแนวเพลง โดยอัลบั้มแรกๆจะเป็นแนว Country ที่เธอชื่นชอบ เช่น Taylor Swift (2006) Fearless (2008) Speak Now (2010) อัลบั้มต่อมาจะเริ่มมีความ Pop เข้ามาผสมกับ Country มากขึ้น อย่าง Red (2012) และอัลบั้มต่อๆมาก็ได้เปลี่ยนเป็นแนว Pop เต็มตัว ได้แก่ 1989 (2014) Reputation (2017) Lover (2019) และสองอัลบั้มล่าสุดอย่าง Folklore (2020) และ Evermore (2020) ที่เป็นแนว alternative เทย์เลอร์ถือเป็นนักร้อง
light lyric soprano มีช่วงเสียง B2 – G5 – D6 (3 octaves, 1 note and a semitone) เทย์เลอร์เป็นคนที่ไม่ได้ร้องเพลงโดยใช้เทคนิคอะไรแพรวพราวมาก แต่เอกลักษณ์ของเธอคือเสียงที่นุ่มและหวาน ฟังง่าย อบอุ่น สบายหู รวมถึงเนื้อเพลงที่ใช้ภาษาสวยลึกซึ้งกินใจ (
https://music.trueid.net/th-th/detail/P1KMOoLvW3nm)
(https://www.miaminewtimes.com/music/concert-review-taylor-swift-at-hard-rock-stadium-august-18-10643847)
ถึงแม้ Reputation Stadium Tour จะเป็นคอนเสิร์ตสำหรับอัลบั้ม Reputation ซึ่งเป็นอัลบั้มล่าสุดของเทย์เลอร์ในปีนั้น แต่เทย์เลอร์ก็ได้เลือกหยิบเพลงจากอัลบั้มที่ผ่านๆมาของเธอทุกอัลบั้มมาแสดงด้วย เช่น Should've Said No จาก Taylor Swift, You Belong With Me จาก Fearless, Long Live จาก Speak Now, All Too Well และ We Are Never Ever Getting Back Together จาก Red, Shake It Off และ Blank Space จาก 1989 เพลงหลากหลายสไตล์เหล่านี้จึงทำให้คอนเสิร์ตนี้มีความสนุก น่าตื่นตาตื่นใจ มีครบทุกอารมณ์และสื่อถึงตัวตนความเป็น Taylor Swift ในหลายๆด้านได้อย่างดี โดยคอนเสิร์ตนี้ดำเนินด้วยการขับร้องเดี่ยวของเทย์เลอร์เป็นหลักและมีกลุ่มนักร้องคอรัสคอยช่วยประสานเสียงอยู่ด้านหลัง
(https://finance.yahoo.com/photos/end-era-taylor-swift-ends-172435264/)
Setlist ของคอนเสิร์ตนี้มีทั้งหมดด้วยกัน 24 เพลง โดยบางเพลงจะไม่ได้แสดงเต็มเพลงแต่เทย์เลอร์นำมาทำเป็น medley ความยาวของคอนเสิร์ตอยู่ที่ประมาณเกือบ 2 ชั่วโมง โดยแบ่งโชว์ออกเป็นประมาณ 7 ช่วงหลักๆ ซึ่งแต่ละช่วงก็จะให้อารมณ์ที่แตกต่างกันออกไป คอนเสิร์ตนี้จะพาผู้ชมไปสัมผัสกับอารมณ์ที่มีทั้งขึ้นมีทั้งลงสลับสับเปลี่ยนกันไปตามแนวเพลงที่แสดงในช่วงนั้นๆ รวมถึงเวที การจัดแสง สี ภาพที่ฉายบนจอและชุดที่เทย์เลอร์ใส่ อย่างช่วงแรกสุดจะเปิดคอนเสิร์ตมาด้วยความหนักแน่น มีพลัง ออกแนวเท่ๆหน่อยเพื่อปลุกความตื่นเต้น เร้าอารมณ์ผู้ชมเพื่อเริ่มคอนเสิร์ต ต่อมาช่วงที่สองจะเริ่มเปลี่ยนเป็นเพลงแนว R&B ที่ให้อารมณ์และสื่อเนื้อหาที่ intense ขึ้น ต่อมาช่วงที่สามเป็นช่วงที่เปลี่ยนไปแสดงเพลงแนวสดใสขึ้น ให้อารมณ์สนุกๆ ดูแล้วต้องยิ้มตาม ขยับตาม ช่วงที่สี่เป็นช่วงที่เทย์เลอร์พาคนดูย้อนกลับไปสมัยอัลบั้มแรกๆ ไปสัมผัสกลิ่นอายเก่าๆของเธอด้วยกีต้าร์และเพลงแนว Country เป็นช่วงที่ให้อารมณ์อบอุ่น เบาๆสบายปนซึ้ง ต่อมาช่วงที่ห้า เทย์เลอร์ก็ปลุกเอเนอร์จี้ความเร้าใจขึ้นมาอีกรอบด้วยเพลงแนว Pop ก่อนจะเชื่อมต่อไปยังช่วงที่หก ซึ่งเป็นช่วงที่ให้ความรู้สึกจมดิ่ง มืดๆหม่นๆที่สุดในคอนเสิร์ตนี้ด้วยเพลงที่เน้นเสียงกลองและเสียงร้องโทนต่ำ แล้วต่อด้วยเพลงที่เทย์เลอร์นำเปียโนออกมาบรรเลงเอง และเมื่อเดินทางมาถึงช่วงที่เจ็ดซึ่งเป็นช่วงสุดท้ายของคอนเสิร์ต เทย์เลอร์ก็ดึงอารมณ์คนดูให้กลับมาสดใสอีกครั้งด้วยเพลง Pop แนวหวานๆ ฟังแล้วให้ความรู้สึก bright&uplifting เพื่อเป็นการจบคอนเสิร์ตลงอย่างสวยงาม น่าประทับใจ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in