Hello,
ไดอารี่ในตอนนี้ อยากจะเก็บไว้ให้ตัวเราได้อ่านในปีถัดๆไปหรืออีกซักสิบปีข้างหน้า
ตัวเราในตอนนั้นจะคิดยังไงกับเรื่องราวในตอนนี้
จนถึงตอนนั้น เรื่องราวเหล่านี้ คงจะกลายเป็นเรื่องตลกที่เมื่อได้พูดถึงก็หัวเราะออกมา หรือเรื่องบางเรื่องเราอาจจะคิดว่ามันเป็นเรื่องธรรมดามาก ทำไมเราในตอนนี้ถึงได้คิดมากกัน ใช่ไหมคะ
แต่กว่าจะถึงตอนนั้น
ตอนนี้เราต้องเผชิญกับมันอยู่..
ย้อนกลับไปช่วงปีที่แล้ว เราพึ่งจบมหาลัยแห่งหนึ่งในภาคเหนือ จากคณะที่ตัวเองเลือกไว้เป็นอันดับหนึ่ง มหาลัยเป็นเหมือนปิดเทอมฤดูร้อนของชีวิตเลยค่ะ เราได้พักผ่อน ออกไปเผชิญโลกกว้างที่ไม่เคยเจอ มีความสุขกับชีวิตในทุกๆวัน เจอผู้คนที่แสนดีกับเรามากๆ จนเราไม่คิดว่าชีวิตนี้เราจะได้เจอใครที่ดีที่เท่าเค้าแล้ว แต่แล้ว เราก็ต้องจากกัน...
มันเป็นธรรมดาของชีวิต ผู้คนผ่านมาและผ่านไป มันไม่แปลก เราคิดแบบนี้
เจอคนใจร้าย ได้ทำอะไรที่ไม่เคยทำ ได้ลองอะไรที่ในชีวิตนี้เคยคิดว่าจะไม่แตะเลย
แต่ก็นั่นแหละ ชีวิตคือการเรียนรู้ เราไม่สามารถรู้อะไรได้ล่วงหน้าเลย ถ้าเราไม่ได้เจอมันเอง
เหมือนกับประโยคหนึ่งจากหนังเรื่องโปรดของเรา Forrest gump “ชีวิตก็เหมือนกับกล่องช็อกโกแลต เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าเปิดมาจะได้เจอกับอะไร”
ตลอดสี่ปีของชีวิตในรั้วมหาลัย
จากลากับเพื่อนๆที่เรียนด้วยกันมาตลอดสี่ปีเต็ม เพื่อแยกย้ายกันไปเติบโตในทุ่งดอกไม้ของแต่ละคน
ออกจากกระถางใบเล็ก ก้าวสู้โลกกว้างใบใหญ่ และวันหนึ่งเราจะได้พบกันอีก
เราในตอนนี้ ทำงานมาได้เกือบ 11 เดือนแล้ว
งานที่ทำห่างไกลจากสิ่งที่เราเรียนมาก เหมือนต้องทิ้งทุกอย่างที่เคยมี
แล้วเริ่มต้นกับมันใหม่หมด สิ่งที่หวังว่าจะเป็น ไม่ใช่สิ่งที่เป็นอยู่ในตอนนี้
แต่เราไม่ได้นึกเสียใจเลยที่เลือกทางนี้ อยากขอบคุณตัวเองมากกว่าที่กล้าตัดสินใจออกเซฟโซน
เดินทางมาที่แห่งนี้เพียงลำพัง สู้เพื่อตัวเองและคนที่อยู่ข้างหลัง
เหนื่อยมากในทุกๆวัน คิดเสมอว่าทำไมเราไม่เก่งเลย ทำไมถึงทำได้แค่นี้ อะไรก็ไม่ได้ดั่งใจซักอย่าง
แต่ว่า ทั้งที่เราอายุแค่นี้ ทำไมถึงต้องกดดันตัวเองขนาดนั้นหล่ะ จริงมั้ย?
ช่วงสิ้นปีที่แล้วเป็นช่วงที่เราได้รับบทเรียนที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่
การได้รู้จักกับคนคนหนึ่ง มันทำให้วันน่าเบื่อของเราพอมีสีสันขึ้นมาบ้าง
ถึงจะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ กับความสัมพันธ์ที่งงงวยนี้ แต่ก็เพียงพอแล้ว
ที่เมื่อถึงครั้นต้องจากลา ก็ทำให้เราสุดแสนกล้ำกลืน และมีน้ำตา..
การเอาตัวเองไปอยู่ในความสัมพันธ์แบบ toxic relationships
มันทำให้ในทุกๆวัน ความคิดคอยกัดกินเราไม่ปล่อย สูญเสียความเป็นตัวเองทีละเล็กน้อย
เรื่องของเค้าคอยวนเวียนอยู่ในหัว ตั้งแต่ลืมตาตื่น จนถึงล้มตัวลงนอน
ความรู้สึกมากมายเต็มไปหมด ทั้งโกรธและเกลียดในเวลาเดียวกัน
คอยแต่คิดหาเหตุผลกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น จนบางครั้งก็ลืมคิดไปว่า
เรื่องบางเรื่อง ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลก็ได้
หรือเหตุผลมันก็ชัดเจนอยู่แล้วตั้งแต่แรก มีแต่เราเองนั้นแหละ ที่ไม่ยอมรับเหตุผลนั้นเอง
งี่เง่าจริงๆ
เราผ่านจุดนั้นมาได้ต้องขอบคุณทุกคนที่คอยอยู่ข้างๆเราเสมอมา
คำพูดดีดีจากปากคนที่เรารัก มันคอยอุ้มชู เหมือนน้ำหล่อเลี้ยงจิตใจที่บอบช้ำ
ยอมรับเลยว่า เราไม่สามารถผ่านมันไปเพียงลำพังโดยปราศจากบุคคลเหล่านี้เลย
คำขอบคุณนี้ขอมอบแด่เพื่อนรัก บัว แอน ฟ้า โตโต้ และกัลยานิมิตรทั้งหลาย ที่ไม่ได้ถูกเอื้อนเอื่อยมา ณ ที่นี้ด้วย
บทเรียนในครั้งนี้คงหนีไม่พ้น การที่เราต้องรู้จักกรองคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตให้ดีกว่านี้
บางครั้งความน่าสงสารของใคร ก็ไม่สามารถใช้เป็นเหตุผลในการทำร้ายคนอื่นได้
ไม่ว่าจะทางวาจา หรือจิตใจ
การเอาตัวเองไปผูกติดกับใคร เหมือนกำลังผูกห่วงแขวนคอตัวเอง
พร้อมที่จะล้มได้ทุกเมื่อ เมื่อใครคนนั้นเดินจากไป
การรักใครซักคนไม่ใช่เรื่องผิด เพราะเมื่อความรักมันเกิดขึ้น ย่อมงดงามเสมอ
แต่หากรักนั้นไม่ใช่ ทั้งเรื่องสถานที่และเวลา อย่าเสียดายเลยที่จะเดินออกมา
เพราะการรักตัวเอง สำคัญที่สุด เราคิดแบบนี้
ณ ตอนนี้ เรามีความสุขขึ้น อย่างน้อยก็มากกว่าที่เคยเป็นอยู่
เพียงแค่ช่วงเวลาสั้นๆ หลังจากจบมหาลัย เราก็ได้เรียนรู้อะไรตั้งมากมาย
ช่วงวัยเยาว์ก็กำลังหมดไปในทุกวัน การเก็บเกี่ยวช่วงเวลาเหล่านี้แบบละเมียดละไม
คงจะดีกว่าการใช้ชีวิตไปวันๆ แล้วต้องมานั่งเสียดายทีหลัง
โลกใบนี้มีอะไรให้เราค้นหาอีกมายมาย
เราไม่รู้หรอกว่าวันข้างหน้าจะเจอเรื่องโหดร้ายขนาดไหน
และคงบอกไม่ได้ว่าพร้อมรึเปล่า
แต่หากต้องเจอจริงๆ เราเชื่อว่า เราจะสามารถผ่านมันไปได้อย่างแน่นอน
เพราะมีทั้งเพื่อนที่แสนดี
ครอบครัวที่แสนจะอบอุ่น
บทเพลงที่ช่วยปลอบประโลมในวันที่เหนื่อยล้า
หรือแย่หน่อย ถ้าหากต้องผ่านมันไปเพียงลำพัง
ขอเบียร์เย็นๆดื่มซักหน่อยคงดีนะ :)
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in