เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Hearts Collidethanyakorn4834
2
  • "นายพอจะติววิชาประวัติศาสตร์ให้ฉันหน่อยได้มั้ย"

     

     

     

    ไอที่ว่าติวน่ะ คือติวจริงๆไม่มีความหมายอื่นแฝงแถมยังจริงจังเสียด้วย

     

    ตอนนี้เขาและเพื่อนหนุ่มผมทองกำลังนั่งอยู่ในห้องสมุดของโรงเรียน  ซึ่งปกติแล้วเวลานี้อัลลบัสและน้องๆ ของเขาคงจะอยู่ที่หน้าตู้ไอศกรีมสีชมพูใกล้บ้าน แต่คงไม่ใช่กลับวันนี้

     

    เมื่อช่วงพักกลางวันอัลบัสเดินไปหาอาเบอร์ฟอร์ธเพื่อบอกว่าวันนี้เขาคงไม่ได้กลับด้วยและไม่ลืมที่จะย้ำกับน้องชายว่า 'อย่าลืมแวะรับ แอรีอานนา ด้วยล่ะ'พอเห็นว่าเจ้าตัวแซบพยักหน้าตอบรับ เขาก็วางใจ

     

    ภายในห้องสมุดมีนักเรียนอยู่กันเพียงไม่กี่คนพวกเขาทั้งคู่เลือกนั่งที่โซนด้านหลังของห้องเสียงของเครื่องปรับอาการขนาดใหญ่กำลังแข่งกับเสียงของอัลบัสที่กำลังเล่าเรื่องราวของชาวอมอไรท์(TheAmorites )  ที่เข้ายึดกรุงบาบิโลนเมื่อ2,000 B. C.

    ให้คนที่ทำหน้าหน่ายโลกอย่างเกลเลิร์ตฟัง  แต่แม้จะดูน่าเบื่อยังไงชายหนุ่มกลับชอบที่จะมองริมฝีปากเรียวนั่นขยับพูดเรื่องต่างๆอย่างคล่องแคล่วและดวงตาเป็นประกายในขณะที่พูดถึงประโยคเด็ดของกษัตริย์ฮัมมูราบี 'Aneye for eye,  a tooth for a tooth' ปฏิกิริยาแบบนั้นทำให้เกลเลิร์ตเผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว

     

     

    เขาปล่อยให้คนผมแดงได้พูดอย่างเต็มที่โดยไม่ขัดจังหวะแม้แต่น้อย เนื้อหาส่วนใหญ่อัลบัสจะพูดเจาะลึกลงไปตั้งแต่ต้นกำเนิดของแต่อารยธรรมนั้นๆซึ่งเกลเลิร์ตก็คอยโน๊ตจุดสำคัญที่อัลบัสพูดลงสมุดอยู่ตลอดตาก็พลางมองเจ้าของเสียงใสกังวานไปด้วย รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่อีกฝ่ายเงียบเสียงลงไปได้สักพักแล้ว

     

     

     

    "เป็นไงบ้าง" อัลบัสไม่แน่ใจว่าสิ่งตนเองเล่าไปนั้นจะทำให้เกลเลิร์ตเข้าใจหรืองงหนักกว่าเดิมกันแน่

     

     

    "อืมช่วยให้ฉันตาสว่างขึ้นมากเลย" คำตอบทีได้รับนั้นไม่ได้มีอะไรพิเศษมากมายนัก ออกจะเรียบง่าย ไม่ได้เยินยอแต่กลับทำให้ใจของเด็กหนุ่มในคาบคุณครูประวัติศาสตร์เต้นผิดจังหวะขึ้นมาได้เขาไม่รู้ว่ามันคืออะไร เหมือนกับว่าก้อนเนื้อในอกซ้ายกำลังจะดีดผึงออกมาโชว์จังหวะความเร็วให้คนทั้งโลกได้รู้

     

     

    อัลบัสกระแอ่มไอออกมาครั้งหนึ่งก่อนจะสะบัดหัวน้อยๆเพื่อไล่ความรู้สึกแปลกๆนั้นออกไปและเริ่มทวงสิทธิ์การเรียนของตนเองบ้าง

     

     

    โดยที่เจ้าตัวไม่ได้รู้เลยว่าทุกการกระทำนั้นอยู่ในสายตาของใครอีกคน

     

    "แล้วนายจะเริ่มสอนเลขให้ฉันได้บ้างหรือยัง" เมื่อเกลเลิร์ตเห็นว่าเด็กนักเรียนของเขาเริ่มเรียกร้องขอความรู้บ้างเขาจึงตอบรับคำหนึ่ง ก่อนจะสวมบทบาทคุณครูจำเป็น

    .

    .

    .

     

    ดูเหมือนว่าการเรียนวิชาคณิตศาสตร์จะกินเวลาไปนานพอสมควร จากที่ก่อนหน้านี้มีนักเรียนเข้ามาใช้ห้องสมุดอยู่เรื่อยๆก็เริ่มทยอยหายไปกันจนหมด เหลือเพียงแค่พวกเขาสองคนในห้อง

     

     

    อัลบัสยืดตัวบิดขี้เกียจเล็กน้อยเพื่อไล่ความเมื่อยล้าออกจากร่างกายหลังจากที่เพ่งสมาธิไปกลับตัวเลขเศษส่วนและทศนิยมมากมายอยู่นานสองนานมันทำให้เขาตระหนักได้ว่าตัวเขาคงจะไม่เหมาะกับวิชาคำนวณนี่จริงๆคิดได้เท่านั้นก็หาวออกมาวอดใหญ่จนทำให้เกลเลิร์ตหลุดหัวเราะออกมาอย่างห้ามไม่อยู่

     

    อัลบัสที่พึ่งรู้สึกตัวก็อดจะอายไม่ได้จึงรีบสำรวมกริยาก่อนจะเอ่ยเปลี่ยนเรื่อง

     

     

    "ฉันว่าฉันเข้าใจที่นายสอนนะแต่พอนายให้ฉันลองทำ มันกลับทำไม่ได้เฉยเลย" พูดแล้วก็อยากจะร้องไห้นอกจากบวกลบคูณหารแล้ว อัลบัสก็ทำอะไรไม่ได้อีกเลยในสายวิชานี้

     

    "เอาน่า ของแบบนี้มันต้องใช้เวลา" หนุ่มผมทองเว้นจังหวะไปสักพักก่อนจะพูดต่อ "ตัวฉันเองก็ด้วย"

     

     

     

    อืม.........นั่นสิ

     

     

     

    ...........................

     

     

    "แล้ว..นายกลับยังไง?"  เกลเลิร์ตถามขึ้นหลังจากพวกเขาทั้งคู่ออกจากห้องสมุดแสงอาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบฟ้าในตอนเย็นเปลี่ยนอาคารเรียนและสิ่งรอบข้างให้เป็นสีส้มบรรยากาศที่เงียบสงบแบบนี้ช่างหาได้ยากนักในรั้วโรงเรียนมัธยม

     

    "คงเดินไปเรื่อยๆนั่นแหละแปปเดียวก็ถึงแล้ว" เขาตอบพร้อมกระชับกระเป๋าสะพายขึ้นพลางคิดว่าการได้ลองเดินกลับคนเดียว ก็เป็นอะไรที่ดีเหมือนกันคิดได้ดังนั้นก็ตัดสินจะหันไปโบกมือลาเพื่อนใหม่

     

    แต่ความคิดนั้นก็ต้องหยุดลงเมื่ออยู่ดีๆคนข้างๆเขาก็อาสาจะพาไปส่งที่บ้าน

     

    "ฉันเอามอเตอร์ไซค์มายังไงฉันไปส่งนายก่อนก็ได้" ไม่พูดเปล่า ยังจับมือเขาให้เดินตามไปยังทิศทางที่รถจอดอยู่ด้วย

     

    "มะ ไม่เป็นไรหรอก ฉันเกรงใจนายนะอีกอย่างบ้านฉันก็ไม่ได้ไกลมาก เดินไปแปปเดียวเอง" อัลบัสยื้อตัวเองเล็กน้อยก่อนพูดออกมา แต่คำพูดประโยคหลังของเขากลับแผ่วลงเมื่อคนที่อาสาจะพาเขากลับบ้านหันมาตีหน้านิ่งใส่ 

     

    "แต่ฉันไม่ลำบาก"  และเกลเลิร์ตหมายความอย่างนั้นจริงๆ

     

    "เอ่อ...โอเคเอาอย่างนั้นก็ได้" อัลบัสจึงต้องตอบตกลงอีกฝ่ายไปอย่างจำใจ

     

     

    เมื่อเกลเลิร์ตได้คำตอบที่ตัวเองพอใจก็เดินนำเขาไปโดยไม่ยอมปล่อยมือออก มีแต่จะจับแน่นขึ้นเสียด้วยซ้ำคล้ายกับว่าเขาจะวิ่งหนีอีกฝ่าย ถ้าเจ้าตัวเผลอปล่อยมือออกแม้แต่นิดเดียว

    .

    .

    .

    เรามาหยุดอยู่หน้าชอปเปอร์TriumphAmerica ปี 2011 สีดำที่ดูคุ้นตา ซึ่งจอดเด่นอยู่คันเดียวในลานจอดรถตอนนี้

     

    รู้สึกเหมือนเคยเห็นที่ไหน แต่กลับนึกไม่ออก

     

     

    เกลเลิร์ตขึ้นไปนั่งคร่อมประจำที่คนขับก่อนจะส่งหมวกกันน็อคสีดำให้เขา อัลบัสเอ่ยขอบคุณและรับมาใส่อย่างเก้ๆกังๆอาจเป็นเพราะเขาไม่ได้นั่งเจ้ารถจักรยานยนตร์นี่บ่อยนักจึงทำอะไรไม่ค่อยคล่องเท่าไหร่

     

    เกลเลิร์ตเห็นดังนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะยื่นมือเข้าไปช่วยหนุ่มผมแดงตรงหน้าปรับสายหมวกกันน็อคให้เข้าที่จนทำให้เขาสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นของอีกฝ่ายที่เป่ารดมือ  เจ้าของหมวกจึงต้องรีบดึงมือของตนเองออกมา

     

    ความรู้สึกแบบนี้มัน..น่าตื่นเต้นเป็นบ้า

     

     

    พอทุกอย่างลงตัวแล้ว  อัลบัสก็ขึ้นไปซ้อนท้ายอีกฝ่าย แต่จนแล้วจนรอดเจ้าของมอเตอร์ไซค์ก็ไม่ยอมออกรถเสียที อัลบัสจึงอดไม่ได้ที่จะโน้มตัวเข้าไปถาม

     

    "มีอะไรหรือเปล่าเกลเลิร์ต" 

     

    "นายคงไม่อยากตกรถหรอกจริงมั้ย"อีกฝ่ายไม่ตอบ แต่กลับถามเขากลับมาเสียอย่างนั้นอัลบัสขมวดคิ้วเล็กน้อยแต่ก็ยอมตอบออกมาก่อน

     

    "แน่นอนว่าไม่ " ใช่ใครกันอยากจะลงไปนอนเล่นที่พื้นคอนกรีต

     

    พอเขาพูดจบฝ่ามือใหญ่ของคนด้านหน้าก็เอื้อมมาด้านหลังก่อนจะจับมือแต่ละข้างของเขาให้ไปวางไว้บนบริเวณเอวของเจ้าตัว

     

    "จับแน่นๆล่ะ"พูดจบก็ไม่รอคนที่ยังอ้าปากค้างได้ตอบกลับก็สตาร์ทเครื่องและขับออกจากลานจอดรถในทันที

     

    .

     

    เกลเลิร์ตไม่ใช่คนที่ขี่รถเร็วอะไรออกจะเรื่อยๆชิวๆเสียมากกว่าเขาไม่ได้ชอบแข่งกับความเร็วและไม่ได้ชอบแข่งกับใครนัก

     

    แต่ดูเหมือนคนที่อยู่ด้านหลังของเขาคงจะไม่ค่อยได้นั่งรถเล่นก็ตั้งแต่ออกมาจากโรงเรียน เจ้าตัวก็ไม่ยอมพูดอะไรเลยมีแต่มือที่กระชับเสื้อเขาแน่นขึ้นทุกครั้งที่เร่งเครื่อง

     

     

    แบบนั้นมันก็ ..น่ารักดี

     

    ……..

     

    รู้อีกทีชอปเปอร์สีดำก็จอดลงในที่ที่คุ้นตาอัลบัสเงยหน้าขึ้น ก็พบว่าตัวเองมาถึงบ้านแล้ว

     

     

    แต่

     

    "นายรู้จักบ้านฉันได้ยังไง"นั้นแหละปัญหา เพราะตั้งแต่ออกจากลานจอดรถมา สติเขาก็ไม่อยู่กับเนื้อกับตัวอีกเลยลืมแม้กระทั่งบอกทางไปบ้านให้แก่สารถีจำเป็น อัลบัสถามพลางลงจากรถก่อนจะถอดหมวกและยื่นให้อีกฝ่าย

     

     

    "วันๆ นายทำอะไรบ้างไม่สนใจเพื่อนบ้านเลยหรือไง"

     

    ห้ะ?

     

    "นายรู้จักบ้านป้าบาธิลด้าใช่มั้ย"เกลเลิร์ตถามออกไปโดยที่รู้คำตอบของคำถามนั้นอยู่เเล้วว่า ใช่

     

     

    "ใช่ ฉันรู้จักท่านชอบอบคุกกี้มาให้พวกฉันบ่อยๆ"บ้านของป้าบาธิลด้าอยู่ตรงข้ามบ้านของเขานี่เอง ไม่รู้จักก็แย่แล้ว

     

     

    "นั้นแหละ นั่นป้าฉันเอง"สุดท้ายเกลเลิร์ตก็เฉลยคำตอบทุกอย่างออกมา อัลบัสได้ยินดังนั้น ก็อ้าปากค้าง จนชายหนุ่มผมทองหลุดหัวเราะอย่างลืมตัว

     

    วันนี้เขาหัวเราะไปกี่ครั้งแล้วนะ

     

     

    "นะ นายเป็นหลานป้าบาธิลด้าหรอ"เขาถามออกไปเพื่อความแน่ใจ เกลเลิร์ตจึงทำได้แค่พยักหน้ายืนยัน จริงๆก็แอบจำได้ลางๆว่าท่านเคยเล่าให้ฟังว่าหลานจะย้ายมาอยู่ด้วยแต่เขาไม่คิดว่าจะเป็นอีกฝ่ายนิ

     

     

    อ้อ มอเตอร์ไซค์คันนี้  ที่คุ้นตาก็เพราะเขาเองก็เคยเห็นมันจอดอยู่หน้าบ้านป้าบาธิลด้านี่นา

     

     

    แต่ทำไมเขาถึงไม่เคยเห็นเจ้าของล่ะ?

     

     

    "ก็นายไม่ค่อยออกจากบ้าน"เหมือนเจ้าตัวจะอ่านความคิดเขาได้ เลยพูดออกมาก่อนที่จะได้ถามออกไป  ซึ่งมันก็คือเรื่องจริง

     

    ส่วนใหญ่อัลบัสมักจะใช้ชีวิตอยู่แต่ในบ้าน ไม่ค่อยออกไปไหนเท่าไหร่นัก จะมีก็แต่เพื่อนบ้านที่มากดกริ่งแล้วแบ่งปันขนมของกินต่างๆให้เขาจะออกไปข้างนอกก็ต่อเมื่อไปซื้อของเข้าบ้านหรือไปโรงเรียนเท่านั้นหรือก็คือหากไม่จำเป็น เขาก็ขอไม่ออกไปไหนเลยดีกว่า

     

     

     

    "เพราะอย่างนี้นายถึงรู้ชื่อฉันใช่มั้ย" นั้นก็แทบจะไขข้อสงสัยออกไปได้หมดแล้ว

     

     

    "ก็ป้าฉันชอบพูดถึงนายให้ฟังบ่อยๆน่ะสิ"ได้ยินอย่างนั้นก็อดเขินไม่ได้เหมือนกันนะ

     

     

    "เอ่อ..ยังไงก็ขอบใจที่มาส่งนะเกลเลิร์ต" เขาไม่อยากจะยื่นอยู่ตรงนี้อีกแล้วรีบขอบคุณแล้วเข้าบ้านเสียดีกว่า

     

     

    "ไม่เป็นไร" เกลเลิร์ตเว้นจังหวะก่อนจะตอบแล้วก็จ้องลึกเข้ามาในดวงตาของเขา นั่นทำให้คนที่กำลังจะหมุนตัวเข้าบ้านต้องชะงัก

     

    อัลบัสจ้องตอบดวงตาคู่สวยนั้นด้วยความรู้สึกบางอย่างที่เขาเองก็บอกไม่ได้ว่ามันคืออะไร

     

    มันเหมือนกับว่าเวลากำลังจะหยุดเดินไม่มีใครพูดอะไร เพียงปล่อยให้ความเงียบเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของความคิดจากตอนแรกที่อัลบัสคิดว่าตัวเองอยากจะรีบเข้าบ้านเสียให้ได้นั้นก็ต้องหยุดลงเมื่อนัยน์ตาสีฟ้ากลับดึงดูดเขาเอาไว้ไม่ให้ไปไหน

     

     

    ไม่รู้นานเท่าไหร่แต่เสียงของแอรีอานนาที่เรียกชื่อเขา ได้ปลุกให้เขาออกจากห้วงเวลานั้น

     

    อัลบัสรีบหันไปหาต้นเสียงก็เห็นน้องสาวตัวน้อยโผล่หน้าออกมาจากประตูบ้านโดยมีอาเบอร์ฟอร์ธยืนอยู่ทำหน้ามุ่ยอยู่ด้านหลัง

     

     

    "งั้น..พรุ่ง-"

     

     

    "พรุ่งนี้ตอนเย็นนายว่างมั้ย"ความรู้สึกเหมือนเดจาวูเมื่อคำถามนี้หลุดออกมาจากปากของเกลเลิร์ต กรินเดลวอล์

     

     

    "อืม... ฉันว่าง"เขาแทบจะไม่ต้องคิดคำตอบให้เสียเวลาเลยด้วยซ้ำ

     

     

     

    "งั้น ม--"

     

     

     

    "งั้นนายช่วยสอนคณิตฯให้ฉันอีกได้มั้ย"ไม่ทันให้เด็กชายผมทองพูดจบ เขาก็เป็นฝ่ายชิงถามก่อน

     

    อีกฝ่ายหัวเราะเบาๆก่อนตอบ

     

    "แน่นอน"



    To be continued


    จะยาวไปแล้วนะ555คงจะมีสัก3-5ตอน ไม่มากกว่านี้แล้ว เดี๋ยวดอง555


    ปล.ในตอนที่หนึ่งเราเข้าไปรีไรท์มา พวกสำนวนแล้วก็พวกวรรคต่างๆ เพราะครั้งแรกที่ลง เราไม่ได้ตรวจดูเลย วันนี้มีโอกาสเลยเข้าไปอ่านซ้ำ มันแบบ อิหยังวะ?5555

    ตอนปรับแก้ให้ดูสมู้ทขึ้นแล้ว(มั้ง)นะคะ55

    ขอบคุณทุกคนที่ยังตามอ่านค่ะ///


Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in