เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
มือเปื้อนเลือดTangmo Srisuwatjaree
โพสต์นี้มีเนื้อหาที่อาจไม่เหมาะสมกับเยาวชน บทที่ 1 สาวเก้านิ้ว
  •     กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วโรงฆ่าสัตว์ หญิงสาวคนหนึ่งบรรจงลงมีดเฉือนไปที่หมูโตเต็มวัยที่ถูกแขวนเอาไว้เพื่อรอการชำแหละชิ้นส่วน ร่างกายทุกส่วนของมันถูกหั่นออกเป็นชิ้น ๆ ทั้งส่วนหัว ขาทั้ง 4 ของมัน เนื้อส่วนต่าง ๆ อวัยวะภายในถูกนำออกมา ตอนนี้เหลือเพียงแค่วิญญาณของมันที่อาจล่องลอยอยู่ในโรงฆ่าสัตว์ แต่ร่างของมันกลับกระจายอยู่ตามกระบะที่วางไว้ที่พื้น

    หญิงสาวทำอาชีพนี้มานานหลายปี อาจนับได้ตั้งแต่เธอเกิดจนถึงตอนนี้ก็นานถึง 25 ปีแล้วครอบครัวของเธอเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา ๆ ที่ยากจน มีทรัพย์สมบัติเพียงอย่างเดียวที่ต้นตระกูลเหลือเอาไว้ให้ คือ โรงฆ่าสัตว์ที่ตอนนี้เธอเป็นคนดูแลทั้งหมดแม้เป็นโรงฆ่าสัตว์เล็ก ๆ ไม่ได้เป็นที่รู้จักหรือมีชื่อเสียงในหมู่คนฆ่าสัตว์ แต่ก็ยังมีพ่อค้าแม่ค้าในตลาดที่มีรายได้น้อยแวะเวียนมาใช้บริการอยู่เป็นประจำ ด้วยราคาที่ถูกกว่าโรงฆ่าสัตว์อื่น ๆ แถมคมมีดที่เฉือนยังคมกริบจึงได้เนื้อคุณภาพดีไม่ต่างกับโรงฆ่าสัตว์ที่มีชื่อเสียง ทำให้หญิงสาวยังคงทำงานหาเลี้ยงครอบครัวให้อยู่ได้มาตลอดหลายปี

    ตั้งแต่จำความได้เธอเริ่มรู้จักกลิ่นคาวเลือดแบบนี้มาตั้งแต่อายุประมาณ 5 ขวบ อวัยวะต่าง ๆ ของสัตว์นานาชนิดที่ถูกส่งเข้ามาเพื่อรอการชำแหละ เธอก็ได้เรียนรู้มันจากพ่อของเธอ รวมถึงลีลาการเฉือน การลับคมมีด ทักษะทุกอย่างที่เธอมีล้วนได้รับการปลูกฝังมาตั้งแต่เด็ก ๆ ทำให้จิตใจของเธอแตกต่างจากหญิงสาวคนอื่น ๆ รวมถึงสภาพร่างกายที่ไม่สมประกอบอันอาจเป็นเพราะเวรกรรมที่ครอบครัวของเธอส่งต่อมาให้ เธอมีนิ้วมือเหลืออยู่เพียงเก้านิ้ว หลังจากที่ครั้งหนึ่งเคยพลาดเฉือนนิ้วของตนไปเมื่อตอนอายุได้ 15 ปี เวลานั้นเป็นเวลาที่เจ็บปวดที่สุดสำหรับเธอ นิ้วก้อยข้างซ้ายเล็ก ๆ ถูกตัดขาดออก เลือดสีแดงไหลอาบเต็มมือและไหลลงพื้นปะปนกับเลือดของสัตว์จนแยกไม่ออก เธอร้องจนสุดเสียงก็ไม่มีใครได้ยินและช่วยเหลือได้นอกจากพ่อของเธอเท่านั้น เพราะโรงฆ่าสัตว์ของเธอตั้งอยู่ในที่ลึกลับกลางป่า มีเพียงครอบครัวและพ่อค้าแม่ค้าที่มาใช้บริการเท่านั้นที่รู้เส้นทาง เวลานั้นเป็นเวลายามวิกาลประกอบความความยากจนของครอบครัวที่ไม่ได้มีรถที่จะพาเธอไปส่งโรงหมอได้ การปฐมพยาบาลแบบผิด ๆ ทำให้บาดแผลยิ่งแย่ลงเรื่อย ๆ จนในที่สุดเธอต้องเสียนิ้วก้อยไป 

    หญิงสาวที่เสียนิ้วก้อยต้องทนกับสายตาของผู้คนที่ต่างจ้องมองมาที่มือของเธอทุกครั้งเมื่อออกไปตลาด ตามมาด้วยเสียงกระซิบกันของชาวบ้านว่าเธอน่าสงสารเพียงใด ความเจ็บปวดทำให้จิตใจของเธอเริ่มแข็งกร้าว เพราะต้องยอมรับความจริงว่านิ้วก้อยของเธอไม่อาจงอกขึ้นมาใหม่ได้ และคงต้องกลายเป็นคนที่น่าสงสารตลอดไปในสายตาของทุกคน เธอเพียงต้องยอมรับและทำใจที่เธอไม่อาจมีชีวิตที่ดีเหมือนหญิงสาวคนอื่น ๆ ได้

    เช้าวันหนึ่งขณะที่เธอกำลังเริ่มปรุงอาหารเช้าเหมือนเคยทุก ๆ วัน เธอกลับพบว่าที่ถุงกระสอบข้าวนั้นมีรอยรั่ว เป็นรอยเล็ก ๆ คล้ายหนูกัด ทำให้ข้าวสารที่เหลืออยู่ครึ่งหนึ่งรั่วกระจายไปเต็มพื้น และนั่นหมายความว่าเธอจำเป็นต้องออกไปยังตลาดอีกครั้งเพื่อซื้อข้าวสารกระสอบใหม่ การออกไปตลาดเป็นสิ่งที่เธอเกลียดที่สุด เธอเกลียดสายตาและคำพูดของชาวบ้าน แต่อย่างไรเธอก็ต้องออกไปเพราะยังมีปากท้องของพ่อแม่ที่เธอต้องคอยเลี้ยงดูอยู่

    เธอเริ่มเดินทางออกจากบ้านไปยังตลาดใหญ่ที่อยู่ในเมือง มีร้านค้ามากมายที่รอให้คนไปจับจ่ายใช้สอย แต่น่าแปลกที่ในตลาดนี้มีร้านขายข้าวสารอยู่เพียงร้านเดียว เธอจึงไม่อาจหลีกหนีจากร้านนี้ได้แม้เธอจะเกลียดการมาซื้อข้าวสารที่ร้านนี้ก็ตาม

     "ว่าไงจ๊ะ แม่สาวเก้านิ้ว" เสียงของชายที่เฝ้าหน้าร้านเอ่ยขึ้นหลังเห็นเธอกลับมาซื้อข้าวในรอบหลายเดือน 

       "เอาข้าวกี่กระสอบดีจ๊ะ เดี่ยวพี่ยกไปให้ไหม มีเก้านิ้วแบบนี้ไม่น่าจะยกไหวนะจ๊ะ" ชายคนนั้นพูดพลางเยาะเย้ยเธอแล้วหันไปหัวเราะคิกคักกับชายคนอื่น ๆ ในร้าน

           หญิงสาวไม่พูดโต้ตอบกับชายคนนั้น เธอวางเงินจำนวนหนึ่งไว้ที่โต๊ะพลางหยิบยกกระสอบข้าวกลับไปด้วยตัวเอง

                "เอ็งหัวเราะอะไรกันวะ" เสียงชายผู้เป็นเจ้าของร้านข้าวสารที่เธอไม่เคยพบเจอมาก่อนดังขึ้น

                "เปล่าครับนาย ผมแค่พูดเล่น ๆ กับเพื่อนพียงเท่านั้น"

     "เอ็งไปล้อนางที่มาซื้ออย่างงั้นเรอะ เดี๋ยวเถอะ เดี๋ยวเอ็งจะโดนไม่ใช่น้อย ไปขอโทษนางเดี๋ยวนี้"

     "ขอโทษจ้ะ"

     "ให้ฉันช่วยเถอะจ้ะ" ชายเจ้าของร้านเดินเข้ามาหาหญิงสาวเพื่อช่วยเธอยกกระสอบข้าวสาร

      "ไม่ต้อง ฉันยกเองได้" เธอตอบอย่างห้วน ๆ พลางยกกระสอบข้าวเองและรีบเดินจากไป

      "..."  ทุกคนในร้านต่างมองหน้ากันแบบเงียบ ๆ แต่ไม่นานก็กลับมาหัวเราะคิกคักกันอีกครั้ง

     "ทำไมนางนั่นมันหยิ่งจังวะ ข้าอุตส่าห์จะช่วย แอบเห็นว่ามีนิ้วเพียงเก้านิ้วด้วยว่ะ ฮ่า ๆ ข้าไม่เคยเห็นใครมีเก้านิ้ว นี่สินะที่พวกเอ็งหัวเราะกัน ข้าเข้าใจละ ทั้ง ๆ ที่ไม่สมประกอบแต่ก็ยังหยิ่งจองหอง ข้าไม่เคยเจอใครแบบนี้มาก่อน" เสียงชายเจ้าของร้านเอ่ยขึ้น พลางหันไปหัวเราะกับพวกลูกจ้าง

    ถึงเธอจะเดินจากไปแล้วแต่เธอยังคงได้ยินเสียงหัวเราะและคำพูดทุกอย่างที่ชายเหล่านั้นพูดกัน แม้จะไม่หันไปมอง เธอก็พอรู้ว่าชายที่อาสาช่วยเธอก็ร่วมพูดถึงเธอในบทสนทนาสกปรก ๆ นั่น เธอเกลียดร้านข้าวสารนี่ที่สุด และหวังว่าจะมีใครสักคนในตลาดเข้ามาเปิดร้านข้าวสารอีกร้านที่ดีกว่าที่นี่ ไม่นานเธอก็แบกกระสอบข้าวสารกลับมาบ้านได้ในที่สุด แม้เวลาจะล่วงเลยมาเกือบเที่ยงกว่าที่ครอบครัวของเธอจะมีอาหารตกถึงท้อง

    หญิงสาวใช้เวลาที่เหลือทั้งวันไปกับการทำงานในโรงฆ่าสัตว์ แม้เธอจะมีหน้าที่ปลิดชีพสัตว์เหล่านั้น แต่มันเป็นเพียงอาชีพที่หล่อเลี้ยงครอบครัวของเธอ หากถ้าไม่มีใครนำสัตว์มาให้เธอฆ่าเพื่อการค้าขาย เธอก็ไม่มีทางฆ่าสัตว์โดยไม่มีเหตุเป็นแน่

    ในทุก ๆ สัปดาห์จะมีพ่อค้าแม่ค้านำสัตว์เข้ามาที่นี่ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 – 3 ตัวเท่านั้น เพียงเท่านี้ก็พอทำให้เธอมีรายได้ประทังชีวิตแบบอาทิตย์ต่ออาทิตย์ แม้จะไม่ได้สุขสบายแต่เธอก็พอใจในสิ่งที่มีอยู่ เธอไม่ต้องการเสื้อผ้าสวย ๆ เหมือนหญิงคนอื่น ไม่ต้องการใช้เงินฟุ่มเฟือยไปกับการเที่ยวเล่นกินดื่มความทะเยอทะยานของหญิงสาวถูกกดให้ต่ำลงเพราะคำว่า 'เธอเป็นหญิงที่ไม่เหมือนใคร'

    แต่แล้วชีวิตของเธอก็เริ่มเปลี่ยนไป เมื่อจู่ ๆ พ่อค้าแม่ค้ากลับหายหน้าหายตาไปกันหมด กลิ่นคาวเลือดในโรงฆ่าสัตว์เริ่มจางหายไป เพราะไม่มีใครมาใช้บริการ เวลาผ่านไปหนึ่งอาทิตย์ สองอาทิตย์ ก็ยังไม่มีใครเข้ามาที่นี่เหมือนแต่ก่อน หญิงสาวเริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติ ถ้าหากเป็นเช่นนี้ต่อไปครอบครัวของเธอคงอดตายกันหมด เธอจึงตัดสินใจออกไปที่ตลาดอีกครั้งเพื่อไปตามหาพ่อค้าแม่ค้าและถามถึงเหตุผลว่าเกิดอะไรขึ้น

    ขณะเดินเข้าไปยังตลาด เธอเห็นกลุ่มคนจำนวนมากกำลังยืนชุมนุมกันอยู่ที่ลานกลางตลาดนั้น มีทั้งชาวบ้าน พ่อค้าแม้ค้ามากมาย ที่กำลังจำนนต่อกฎหมายบ้า ๆ ที่ประกาศออกมาจากปากของชายแก่คนหนึ่งที่เธอไม่อาจมองเห็นใบหน้าของเขาชัด ๆ ได้ ท่ามกลางเสียงซุบซิบว่าเขาคนนี้เป็นเจ้าของตลาดจึงไม่มีใครกล้าต่อต้านเพราะเกรงว่าจะหมดหนทางในการทำมาหากิน ในเมืองนี้มันช่างแคบและตลาดใหญ่แห่งนี้ก็เป็นที่ที่เดียวที่พ่อค้าแม่ค้าจะมาค้าขายและลืมตาอ้าปากได้

    "ต่อไปนี้ร้านขายเนื้อสัตว์จะมีอยู่แค่ร้านเดียวในตลาดเท่านั้น เพราะเนื้อสัตว์จากร้านของฉันผ่านการตรวจสอบจากทางการมาแล้วว่าสะอาดและปลอดภัยที่สุด ร้านของฉันได้รับการตรวจสอบคุณภาพว่ามีมาตรฐานอย่างดีเยี่ยมและนี่ก็คือหลักฐาน" ชายแก่ชูแผ่นกระดาษหนึ่งขึ้น ในกระดาษแผ่นนั้นมีตัวหนังสือเต็มไปหมดและมีตราประทับจากทางการประทับเอาไว้อยู่

    "ขอให้พ่อแม่พี่น้องโปรดวางใจในคุณภาพของเนื้อสัตว์ของฉัน เพราะเนื้อสัตว์เหล่านั้นมาจากฟาร์มที่ฉันเลี้ยงเองและดูแลเองกับมือ ปลอดภัยกว่าเนื้อสัตว์ที่พวกท่านขายกันอยู่ตอนนี้แน่ ๆ ฉันไม่ได้อยากจะทำลายอาชีพของพวกท่านหรอกนะ แต่ในเมื่อทางการเขาประกาศมาเช่นนี้ ฉันก็ต้องทำตาม ได้โปรดเห็นใจฉันด้วย และใครก็ตามที่ฝ่าฝืนกฎนี้จะไม่มีสิทธิเข้ามาเหยียบตลาดแห่งนี้อีกต่อไป และก็อย่าลืมจ่ายค่าเช่าด้วยละ ถือว่าเป็นอันเข้าใจตรงกัน" สิ้นสุดเสียงประกาศที่ชุมนุมต่างแยกย้ายไปคนละทิศละทาง มีเพียงพ่อค้าแม่ค้าที่หญิงสาวรู้จัก ยังยืนอยู่กับที่ไม่ไปไหน เสียงสะอื้นของพวกเขาดังระงม

    "นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น" เธอเดินเข้าไปถามพ่อค้าแม่ค้าเหล่านั้น

    "ก็ตามที่เขาได้ประกาศไป ฉันคงไม่ได้ค้าขายแล้วละ หมดหนทางแล้ว ฉันขายเนื้อสัตว์มาก็หลายปี จู่ ๆ จะให้ฉันเลิกขาย แล้วไปผูกขาดอยู่เจ้าเดียวมันยุติธรรมที่ไหนกัน หากเป็นเช่นนี้ต่อไปฉันขอกลับบ้านเกิดไปเสียดีกว่า ฉันขอโทษนะ ที่จะไม่ได้ไปใช้บริการโรงฆ่าสัตว์ของเธออีกแล้วละ" เสียงแม่ค้าคนสนิทของหญิงสาวเอ่ยขึ้นมา

    ถ้าเป็นเช่นนี้ไม่ใช่แค่พ่อค้าแม้ค้าเนื้อสัตว์จะอยู่ไม่ได้ แต่เธอเองก็จะขาดรายได้หลักไปเช่นกัน เธอกลับบ้านไปพร้อมกับความทุกข์ใจ หากอาชีพตอนนี้เริ่มไม่มั่นคงเธอจะทำอะไรต่อไปได้ ทรัพย์สมบัติที่มีเพียงอย่างเดียวของตระกูล 'โรงฆ่าสัตว์แห่งนี้' จะขายมันไปก็คงมีใครซื้อ จะโค่นมันลงก็ทำไม่ได้ ต่อจากนี้ไปครอบครัวของเธอคงอดตาย ถ้าเธอไม่ลุกขึ้นมาทำอะไรบางอย่าง

    ไม่นานครอบครัวของเธอก็รู้ข่าวเรื่องนี้ ด้วยร่างกายของพ่อกับแม่ที่แก่ชรามากแล้ว ทำให้ยากที่จะทำใจยอมรับว่าอีกไม่นานครอบครัวก็จะอดตาย ทั้งสามได้แต่เงียบ ไร้ซึ่งรอยยิ้มและเสียงพูดคุยกันขณะกินข้าวเหมือนแต่ก่อน หญิงสาวไม่สามารถทนเห็นครอบครัวอยู่อย่างอด ๆ อยาก ๆ ได้ จึงตัดสินใจร่ำลาครอบครัวและออกเดินทางไปหางานทำในเมืองนั้น แม้ไม่เต็มใจก็ตาม...

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in